ภาคที่ 5 บทที่ 138 ทางหนี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 138 ทางหนี

เมื่อดวงตาของเทพอสูรที่มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับเรือเคลื่อนเมฆาของตระกูลจูหันมามองที่ซูเฉิน เขาก็พลันรู้สึกสะท้านทันทีโดยไม่รู้ตัว

แต่ปฏิกิริยาถัดไปของซูเฉินก็แทบจะทำให้เค่อเหลยซีต๋าต้องกระอักเลือด… อีกฝ่ายกลายร่างเป็นเค่อเหลยซีต๋าเสียอย่างนั้น !

แต่อันที่จริงแล้วอสูรร้ายไม่ได้สนใจว่าใครเป็นใคร มันไม่สนใจว่ายุงตัวไหนที่กัดมัน

ทว่าเค่อเหลยซีต๋ารู้ดีว่าซูเฉินกำลังคิดจะดึงเขาเข้าไปให้ต้องเดือดร้อนด้วย

วินาทีต่อมาคางคกพันพิษก็เงยหน้าขึ้นและพ่นพิษจากปากใส่ซูเฉิน

ก่อนหน้านี้มันพ่นพิษไปทั่วโดยไม่มีเป้าหมาย แต่ครั้งนี้มันกำลังเพ่งเล็งไปยังยุงทั้งสองที่ตรงหน้า

ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าหายวับไปพร้อมกัน

แต่เทพอสูรก็คงไม่ใช่เทพอสูรหากมันปล่อยให้ทั้งสองหนีไปได้ง่ายดายอย่างนั้น

ไม่ช้ากระแสพิษนั้นก็กระจายวงกว้างออกไปราวกับกลับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร การโจมตีของอสูรไม่มีความแม่นยำอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่มันครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้าง ซึ่งตราบใดที่คางคกยักษ์ยังโจมตีภายใต้ขีดจำกัดตามธรรมชาติของกฎแห่งพลัง มันก็จะยังโจมตีต่อไปได้อย่างอิสระ

เพราะขีดจำกัดที่ว่านี้ก็เหนือไปว่าที่ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าจะสามารถต้านทานได้อยู่มาก คลื่นพิษยังแผ่ขยายต่อไปจนสุดลูกหูลูกตา

“ไอ้บัดซบ !” เค่อเหลยซีต๋าสบถก่อนจะหายวับไปอีกครั้ง

พิษที่ถูกพ่นออกมาเพียงครั้งเดียวนั้นทำให้เขาต้องใช้วิชาเคลื่อนกายถึงสามครั้งเพื่อหลบหลีก

เมื่อเทียบกันแล้ว ความชำนาญในการใช้พลังในด้านพื้นที่ของซูเฉินนั้นเหนือกว่ามาก ซึ่งเห็นได้จากการใช้วิชาเคลื่อนกายที่เขาปรากฏตัวขึ้นได้ไกลออกไปมากกว่าเค่อเหลยซีต๋า แต่นี่ก็เป็นเพียงด้านเดียวที่ซูเฉินได้เปรียบกว่า วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเพียงหนึ่งครั้งก็เพียงพอที่จะพาซูเฉินออกไปจากบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากพิษได้ แต่ยิ่งระยะทางในการเคลื่อนกายยิ่งไกลมากขึ้น นั่นก็ทำให้ซูเฉินต้องใช้พลังไปกับมันมากขึ้นด้วยเช่นกัน

แม้ไม่ได้กลัวพิษ แต่พลังของคลื่นนั้นเพียงอย่างเดียวก็สามารถบดร่างของเขาให้แหลกละเอียดได้แล้ว

เทพอสูรแข็งแกร่งเกินไปจริง ๆ พวกมันไม่ต้องใช้วิชาพิเศษอะไรในการทำลายสุดยอดผู้เก่งกาจของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งสองเลยด้วยซ้ำ แต่พลังของมันก็เป็นเหมือนดาบสองคม ถึงแม้เทพอสูรจะแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ และความสามารถของมันก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นได้เรื่อย ๆ แต่อสูรร้ายกลับไม่สามารถสังหารเป้าหมายได้โดยตรงเลย ไม่ต่างไปจากการที่คนเราไม่สามารถตบยุงได้ขณะที่มันบินอยู่กลางอากาศ

ซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วยิ่งกว่ายุงอยู่แล้ว และทั้งสองก็ยังมีสติปัญญาที่เป็นเลิศอีกด้วย พวกเขาไม่มีทางหยุดนิ่งอยู่กับที่และรอให้คางคกพันพิษนั่นระบุตำแหน่งได้อย่างแน่นอน

การที่มีร่างขนาดเล็กกว่านั้นเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อคลื่นพิษของคางคกยักษ์พุ่งตรงมา มันไม่สามารถตามทันชายทั้งสองได้เลย

ซูเฉินยังมีโอกาสที่จะได้หัวเราะเยาะเสียด้วยซ้ำ “ท่านหาเรื่องใส่ตัวเองนะ”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ข้าไม่มีทางไว้ชีวิตเจ้าแน่ !” เค่อเหลยซีต๋าร้องขึ้นด้วยความเคียดแค้นและส่งหอกสายฟ้าออกไปใส่ซูเฉินอีกครั้ง

เขายังคงไม่ต้องการที่จะปล่อยซูเฉินไปง่าย ๆ

การโจมตีนั้นทำให้ซูเฉินต้องหลบอีกครั้ง

เค่อเหลยซีต๋าคำรามและไล่ตามซูเฉินทันที คลื่นพิษยังคงกระจายออกไปทุกทิศทาง แต่เค่อเหลยซีต๋าก็ผลักมันออกไปได้ด้วยร่างที่เปล่งแสงเจิดจ้าของเขา

ซูเฉินใช้ลักษณ์เลือดต้นกำเนิดอย่างเต็มประสิทธิภาพพร้อมกันกับที่ร่างของเขาหายวับไปอีกครั้ง

คลื่นพิษยังคงพุ่งกระจายออกไปราวกับน้ำหลาก และเทพอสูรก็ชูคอขึ้นราวกับขุนเขา ท่ามกลางอันตรายที่น่ากลัวนี้ เค่อเหลยซีต๋ากับซูเฉินไม่ต่างไปจากคนที่กำลังเต้นรำอยู่ท่ามกลางความตาย อีกทั้งพวกเขายังไล่ล่ากันราวกับแมวและหนูอย่างไรอย่างนั้น

ซูเฉินไม่เคยมีประสบการณ์กับการต่อสู้ที่เร้าใจเช่นนี้มาก่อน เขาเหมือนกำลังยืนอยู่ที่ปากเหว ที่หากก้าวพลาดไปเพียงครั้งเดียว นั่นหมายถึงชีวิตของเขาจะจบลงในทันที

แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกเพลิดเพลินกับเลือดลมในกายที่พลุ่งพล่านไม่ได้

ขณะที่ต้องเคลื่อนกายฝ่าหมอกพิษเพื่อหนีจากการไล่ล่าของปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานนั้น ซูเฉินกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ความรู้สึกนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้จากการขลุกอยู่กับการค้นคว้าทั้งวัน การต่อสู้อันดุเดือดเท่านั้นที่จะทำให้เขาได้ลิ้มรสมันอีกครั้ง

ซูเฉินเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก่อนแล้ว แต่นั่นก็แค่ไม่ครั้งเท่านั้น และการต่อสู้เช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากยิ่งนัก

เขารู้สึกราวกับว่าทุกอณูของร่างกาย ทุกหยดหยาดของพลังงาน และการทำงานทั้งหมดของสมองกำลังทำงานอย่างเต็มที่ ในสภาพที่ตึงเครียดเช่นนี้… ชายหนุ่มกลับรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างประหลาด !!

แม้แต่เค่อเหลยซีต๋าเองก็ยังสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกไป เกิดอะไรขึ้นกับชายคนนี้กันแน่ เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าไม่สามารถทำอะไรซูเฉินได้เลย

ความรู้สึกนั้นทำให้เขายิ่งรู้สึกอยากสังหารซูเฉินมากขึ้นไปอีก ขณะที่เขาโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าและใช้วิชาอาร์คาน่าในตำนานไปนับครั้งไม่ถ้วน เขาก็ไม่ลืมที่จะร้องขึ้น “ตายซะ ! แกต้องตายซะ !”

ราวกับว่าเขาได้เสียสติไปเสียแล้ว

ซูเฉินสัมผัสได้ว่าบางอย่างในตัวของเค่อเหลยซีต๋าได้ขาดผึงลง

ทว่าความบ้าคลั่งของเค่อเหลยซีต๋าไม่ได้มีผลใด ๆ กับเขาเลยแม้แต่น้อย ชายคนนี้แข็งแกร่งเกินไป ซูเฉินคงถูกเขาสังหารไปแล้วหากไม่ใช่เพราะเค่อเหลยซีต๋าต้องใช้สัมผัสที่หกเพื่อหลบหลีกการโจมตีจากพิษร้าย แต่ตอนนี้ความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้ต่อไปนั้นสูงนัก เป็นไปได้ว่าเรือที่บอบบางของเขาอาจล่มลงได้ทุกเมื่อ

ปัญหาก็คือการที่เค่อเหลยซีต๋ากำลังเสียสตินั้นหมายความว่าเขาไม่มีทางหันหลังกลับไปอย่างแน่นอน

คางคกพันพิษดูเหมือนจะฉุนเฉียวมากขึ้นเมื่อยุงทั้งสองบินไปมาอยู่รอบตัวมัน

คางคกยักษ์อ้าปากขึ้นอีกครั้ง

แต่คราวนี้มันไม่ได้พ่นพิษออกมา… สิ่งที่ออกมาจากปากขนาดมหึมานั้นคือลิ้นยาวเฟื้อยที่น่าเกลียดของมัน !!

คางคกนั้นไม่มีปัญหากับการที่จะต้องกินยุงอยู่แล้ว

ทันทีที่ลิ้นนั้นปรากฏขึ้น มันก็พุ่งตรงเข้าหาซูเฉินกับเค่อเหลยซีต๋าด้วยความเร็วสูง

โชคดีที่ทั้งสองไม่ใช่ยุงธรรมดา ๆ ขณะที่ลิ้นยาวของคางคกยังคงเหยียดยืดออกไปเรื่อย ๆ เค่อเหลยซีต๋าก็สัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังตรงเข้ามาหาตัวเอง เขายังไม่ได้เสียสติไปเสียทีเดียว จึงยังสามารถใช้วิชาเคลื่อนกายเพื่อหนีไปจากตรงนั้นได้ และซูเฉินนั้นก็จับตาดูชายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเค่อเหลยซีต๋าที่กำลังใกล้เข้ามาพลันหายวับไป เขาก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น และเมื่อรู้ดังนั้นซูเฉินจึงใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายและหายไปจากตรงนั้นเช่นกัน

ชายทั้งสองหายไปจากตรงนั้นพอดีกับที่ลิ้นยาวของเจ้าคางคกพุ่งผ่านไป ความรวดเร็วของลิ้นยาวนั้นทำให้มวลอากาศสั่นไหวอย่างรุนแรง

ในที่สุดซูเฉินก็นึกขึ้นได้ว่าเทพอสูรนั้นไม่เข้าใจวิธีการใช้กฎแห่งพลังก็จริง แต่พวกมันก็แข็งแกร่งเหลือเกินจนทำไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนั้นแต่อย่างใด

พวกมันไม่จำเป็นต้องเข้าใจกฎแห่งพลังเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่อาศัยพลังร่างกายที่แข็งแกร่งและพลังต้นกำเนิดที่มีอย่างล้นเหลือก็เพียงพอแล้ว !

และเมื่อเป็นเช่นนั้น ซูเฉินจึงเข้าใจแล้วว่าเทพอสูรนั้นไม่ได้ไร้เทียมทานแต่อย่างใด

มีสิ่งหนึ่งที่จะมีอิทธิพลเหนือมันได้… กฎแห่งพลังนั่นเอง !!

และมันคือพลังที่เหนือกว่าพลังต้นกำเนิด

เป้าหมายเดิมของซูเฉินก็คือการได้เป็นผู้ฝึกตนด่านมหาราชัน แต่ตอนนี้เขากำลังต้องการในสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่า

ซูเฉินรู้แล้วว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป

ทว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาควรเก็บไปคิดฝันเฟื่องหลังจากนี้ ตอนนี้เขาต้องหาทางหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน

คางคกพันพิษยังคงอาละวาดไม่หยุด แต่ซูเฉินก็เชื่อว่าเขาจะสามารถหนีไปได้อย่างแน่นอน อย่างไรแล้วคางคกยักษ์ก็ไม่มีเจตนาที่จะสังหารเขา ถ้ามันยังกลืนกินเขาเข้าไปไม่ได้ ก็ปล่อยให้มันทำอย่างนั้นต่อไปก็แล้วกัน

ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือเค่อเหลยซีต๋า อีกฝ่ายแทบจะเสียสติไปแล้ว และจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสังหารซูเฉินได้สำเร็จ หากทั้งสองหนีจากคางคกพันพิษไปได้แล้วนั้น… ซูเฉินยังไม่รู้เลยว่าเขาจะสามารถหนีไปจากเค่อเหลยซีต๋าได้หรือไม่

ชายคนนี้แข็งแกร่งเหลือเกิน และวิชาในการซ่อนตัวก็ใช้ไม่ได้ผลกับเขาเลยแม้แต่น้อย ซูเฉินควรทำอย่างไรดี ?

เขาคิดถึงความเป็นไปได้สารพัดอย่างและใช้งานผลึกวิญญาณอย่างเต็มประสิทธิภาพ จนในที่สุดความคิดที่น่าสนใจความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของชายหนุ่ม

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางออกเพียงทางเดียวแล้วสินะ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

ชายหนุ่มเหลือบมองเค่อเหลยซีต๋าที่ยังไล่ตามมาอย่างเกรี้ยวกราด เขาขบกรามแน่นและหยิบเอาเทียนไขชีวิตออกมาเล่มหนึ่ง

ซูเฉินจุดเทียนไขอีกครั้ง

คราวนี้เขากำลังใช้มันเพื่อยกระดับวิญญาณของตัวเอง

ความเชี่ยวชาญด้านวิญญาณของเขาอยู่ในระดับ 7 และราวหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เพราะความขัดแย้งกับเค่อเหลยซีต๋าที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ช่องว่างต่าง ๆ ในเรื่องของความเข้าใจที่เคยมีนั้นจึงไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับซูเฉินอีกต่อไป ดังนั้นตอนนี้ชายหนุ่มจึงสามารถพัฒนาพลังไปได้อีกขั้นหนึ่ง !

พลังจิตของซูเฉินบรรลุไปถึงระดับที่จำเป็นเมื่อนานมาแล้ว แต่เขาไม่เคยใส่ใจกับการใช้เวลาที่จำเป็น และในตอนนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากเทียนไขชีวิตแล้ว เวลาก็ไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญอีกต่อไป

ชายหนุ่มเผาไหม้เทียนนั้นอย่างกระตือรือร้นและพัฒนาวิชาด้านวิญญาณไปจนถึงระดับที่น่าทึ่ง เขาเริ่มซึมซับทุกอย่างที่ได้เรียนรู้จากสมบัติของอวี้ชิงหลานแล้ว และนั่นเป็นผลทำให้ซูเฉินสามารถบรรลุพลังในระดับ 9 ได้ เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีเทียนไขชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว เขาจึงหลอมร่างตัวเองและจุดเทียนพวกนั้นต่อไปด้วยความเร็วสูง แต่ดูเหมือนว่าพลังของซูเฉินจะสิ้นสุดอยู่ที่ระดับที่ 9 เสียแล้ว

ในเมื่อเขาไม่สามารถบรรลุพลังระดับต่อไปได้อีก ซูเฉินจึงหยุดและเก็บเทียนไขชีวิตอีกสามเล่มสุดท้ายที่เหลืออยู่ แต่แล้วเขากลับหยิบเอาเทียนเล่มหนึ่งในนั้นมาจุดและใช้มันเพื่อเพิ่มพลังให้กับตัวเองชั่วคราว

การเพิ่มพลังชั่วคราวนั้นง่ายกว่าการบรรลุพลังอย่างถาวรอยู่มากทีเดียว

ไม่ช้า วิญญาณของซูเฉินก็บรรลุจากพลังระดับ 9 สู่พลังระดับ 10

เขาหันหน้าไปมองเค่อเหลยซีต๋า

วิชาสรรพสิ่งลวงตา !

เขายังคงใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา แต่มันแตกต่างไปจากทุกครั้งที่เขาใช้มันก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

หลังจากความเชี่ยวชาญด้านวิญญาณของซูเฉินพัฒนาสู่ระดับ 10 วิชาจิตทุกแบบที่เขาใช้ก็จะมีพลังเพิ่มขึ้นอีกมาก สำหรับวิชาสรรพสิ่งลวงตาแล้ว พลังในการลวงของมันพุ่งทะยานขึ้นไปไม่น้อยเลย จนวิชาสรรพสิ่งลวงตาธรรมดา ๆ ที่เขาเคยใช้นั้นเทียบไม่ติดเลยก็ว่าได้

…แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถจัดการกับปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานอย่างเค่อเหลยซีต๋าได้อยู่ดี

โชคดีสำหรับเขาที่เค่อเหลยซีต๋าในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเสียสติไปเสียแล้ว

มือแห่งโชคชะตาถูกซูเฉินกำจัดแล้ว องค์กรที่ใช้เขาใช้เวลานับหลายพันปีเพื่อเสียเลือด เสียเหงื่อ และน้ำตาให้นั้นได้ถูกทำลายลงแทบจะในชั่วข้ามคืน เค่อเหลยซีต๋าไม่มีวิธีการใดที่จะรับมือกับความทรมานเช่นนี้ได้ แม้จะชำระแค้นด้วยเลือดของคนชั่ว มันก็สามารถบรรเทาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ภายใต้สถานการณ์ปกตินั้น ซูเฉินคงไม่มีทางที่จะกล้าใช้วิชานี้เพื่อต่อกรกับเค่อเหลยซีต๋าเป็นแน่ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าปฏิกิริยาสะท้อนกลับนั้นจะเป็นอย่างไรหากเค่อเหลยซีต๋าสามารถทำลายการโจมตีนั้นได้

แต่แล้วทันใดนั้น ซูเฉินก็รับรู้ได้ว่าโอกาสที่เขาจะหลอกเค่อเหลยซีต๋าได้สำเร็จนั้นสูงกว่ามาก… อาจสูงถึง 6 ใน 10 ส่วนเลยก็ได้

แต่ถึงกระนั้น ความเป็นไปได้ 6 ใน 10 ส่วนก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงมากอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะหากซูเฉินทำพลาด… เขาอาจต้องเสียชีวิตก็ได้ !

แต่จากจุดยืนในฐานะนักรบแล้ว 6 ใน 10 ส่วนก็ถือว่าสูงพอที่จะยอมเสี่ยงได้

ซูเฉินเริ่มจากการสร้างร่างแยกขึ้นจากแก่นโลหิตจำนวนมากที่เขากักเก็บไว้ จากนั้นแสงหนึ่งก็สว่างวาบผ่านสายตาไป

“นี่เป็นร่างแยก และนี่คือร่างหลัก…”

เขาไม่ได้ต้องการจะโกหกแต่อย่างใด ซูเฉินต้องการให้เค่อเหลยซีต๋าเข้าใจผิดว่าร่างแยกนั้นเป็นร่างจริงของเขา และให้เข้าใจว่าร่างจริงนั้นเป็นร่างแยกก็เท่านั้น

การจะโกหกได้สำเร็จนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของคำโกหกเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับความต้องการของคำโกหกนั้นด้วย

ยิ่งคำโกหกนั้นซับซ้อนมากขึ้น วิชาภาพลวงที่ใช้ก็จะเป็นต้องทรงพลังมากขึ้นไปด้วย และยิ่งคำโกหกนั้นง่ายดาย วิชาภาพลวงที่ใช้ก็จะสัมพันธ์ไปในทางเดียวกันกับมันด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการโกหกที่ง่ายกว่าก็ทำได้ง่ายกว่าด้วย การหลอกเอาเงินใครบางคนสักหนึ่งเหรียญนั้นง่ายกว่าการหลอกเอาเงินทีละหนึ่งหมื่นเหรียญอยู่แล้ว

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าวิชาสรรพสิ่งลวงตาสัมฤทธิ์ผล ซูเฉินไม่เพียงจำเป็นต้องพัฒนาพลังไปให้ได้มากที่สุด แต่เขายังต้องลดความซับซ้อนของสิ่งที่จะโกหกอีกด้วย

ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะทำอะไรมากไปกว่าหลอกล่อให้เค่อเหลยซีต๋าสับสนระหว่างร่างแยกและร่างจริงของเขา ด้วยวิธีนี้ซูเฉินจะมีโอกาสทำสำเร็จเพิ่มขึ้นอีก 2 ใน 10 ส่วนเลยทีเดียว

แน่นอนว่าเมื่อเขาเหลือบไปมอง… เค่อเหลยซีต๋าก็ตัวแข็งทื่อไปในทันที

ซูเฉินรู้สึกบีบหัวใจอย่างควบคุมไม่ได้

เขาทำสำเร็จแล้วหรือ ?

ซูเฉินไม่รู้เลย…

เขาแทบไม่สามารถหายใจได้ และทำได้เพียงแค่จ้องเขม็งไปที่เค่อเหลยซีต๋าเท่านั้น

เมื่อซูเฉินใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตากับเค่อเหลยซีต๋า นั่นถือว่าเขาได้ละทิ้งความสามารถในการเลือกไป และทิ้งโชคชะตาของตัวเองไว้ในมือของฝ่ายตรงข้ามไปแล้วโดยสิ้นเชิง

ซูเฉินไม่ได้ชอบที่จะทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีก

และดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะเข้าข้างเขาเสียด้วย

หลังจากทุกอย่างหยุดลงไปชั่วขณะ ในที่สุดเค่อเหลยซีต๋าก็หันไปไล่ล่าร่างแยกที่คิดว่าเป็น ‘ตัวจริง’ แต่ด้วยความเกลียดชังที่เขามีต่อซูเฉิน อีกฝ่ายจึงอดไม่ได้ที่จะปล่อยสายฟ้าออกไปใส่ ‘รางแยก’ นั้นก่อนจะจากไป

ถ้าอ่าน “ราชันบัลลังก์เลือด” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย