อันที่จริงเผยเฉียนยังไม่รู้สึกง่วง เพียงแต่ว่าถูกเฉินผิงอันไล่ให้ไปนอน ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านเรือนของเฉินยวนจี ในเรือนยังคงมีเสียงออกหมัดจนอาภรณ์สะบัดดังทึบๆ ลอยมาให้ได้ยิน จูเหลี่ยนกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน ยิ้มตาหยีมองมายังเฉินผิงอัน
คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากัน ความสูงของร่างกายแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เดิมทีบุรุษทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปก็ตัวสูงอยู่แล้ว หนุ่มฉกรรจ์ของต้าหลีก็ยิ่งมีเรือนกายบึกบึนล่ำสัน แสดงให้เห็นถึงความมีพละกำลัง เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้น เสื้อเกราะและดาบศึกที่ต้าหลีสร้างขึ้นล้วนอิงตาม ‘แบบตระกูลเฉา’ และ ‘แบบตระกูลหยวน’ ต่างก็มีชื่อเสียงในด้านความหนัก หากไม่ใช่พลทหารของถิ่นทางเหนือก็ล้วนไม่อาจสวมใส่หรือพกพาได้
ตอนนี้เรือนกายของเฉินผิงอันสูงเพรียว จูเหลี่ยนก็เคยชินที่จะงอหลังค้อมเอว หากมองแค่ด้านหลังคนหนึ่งก็ราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน
เฉินผิงอันคิดว่าจะให้จูเหลี่ยนไปที่ทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อนำเงินฝนธัญพืชซึ่งใช้ในการจัดงานพิธีการทางศาสนาสองลัทธิไปมอบให้กับพวกกู้ช่านเจิงเย่ จูเหลี่ยนไม่มีความเห็นต่าง ระหว่างนี้ต่งสุ่ยจิ่งก็จะติดตามไปด้วย แต่ต่งสุ่ยจิ่งจะหยุดอยู่แค่ที่นครน้ำบ่อ เพื่อไปพบปะกับกวนอี้หรานหลานชายสายตรงสกุลกวนอันเป็นเสาหลักของแคว้นเป็นการส่วนตัว จูเหลี่ยนก็ดี ต่งสุ่ยจิ่งก็ช่าง ล้วนเป็นคนที่ทำให้เฉินผิงอันวางใจให้ทำเรื่องต่างๆ คนทั้งสองเดินทางพร้อมกัน เฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกำชับสั่งความอะไรเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบังแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้ากับจูเหลี่ยน จูเหลี่ยนที่พอรับฟังแล้วก็ไม่ได้พูดจาปลงอนิจจังหรือทอดถอนใจใดๆ เพียงเอ่ยว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว การกระทำของเขาก็เป็นเพียงแค่การจัดงานพิธีในเปลือกหอยเท่านั้น *(เปรียบเปรยถึงการอยู่ในที่แคบๆ คล้ายสำนวนไทยว่ากบในกะลา)*ตอนนี้มาอยู่ใต้หล้าไพศาลจึงไม่คิดถึงเรื่องการสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่อะไรอีกแล้ว เขาจูเหลี่ยนคงได้แต่ทำงานยิบย่อยประเภทกวาดหิมะหน้าประตูและน้ำค้างบนกระเบื้องเท่านั้น
พอมาถึงชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนนั่งลงก่อน ส่วนตัวเองเริ่มเก็บสัมภาระข้าวของ วันมะรืนก็ต้องไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อขึ้นเรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่เดินทางไปกลับระหว่างนครมังกรเฒ่ากับอุตรกุรุทวีป จุดหมายก็คือ ‘สถานที่ชัยภูมิดี’ ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เพราะมีชื่อเสียงมากจนเฉินผิงอันเคยอ่านเจอจากในตำราเทพเซียนเล่มที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัว อีกทั้งความยาวยังไม่ใช่สั้นๆ ชื่อของสถานที่แห่งนั้นคือชายหาดโครงกระดูก คือซากปรักของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป สำนักตระกูลเซียนที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้มีชื่อว่าสำนักพีหมา (สวมผ้าป่าน/ผ้าที่ทอด้วยปอ หมายถึงการใส่ชุดไว้ทุกข์ของคนจีน) คือสำนักเบื้องล่างของสำนักใหญ่แห่งหนึ่งในแผ่นดินกลาง ในสำนักเลี้ยงทหารหยินขุนพลหยินไว้นับแสนตน เพียงแต่ว่าแม้จะเป็นการคบค้าสมาคมกับภูตผีวัตถุหยิน ทว่าชื่อเสียงของสำนักพีหมากลับดีเยี่ยม ยามที่ลูกศิษย์ในสำนักลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ล้วนจะต้องนำวิญญาณอาฆาตชั่วร้ายที่สร้างหายนะให้กับโลกคนเป็นมาเป็นต้นทุน อีกทั้งเจ้าสำนักคนแรกของสำนักพีหมา ในอดีตได้ย้ายจากแผ่นดินกลางมาที่ชายหาดโครงกระดูกพร้อมกับเพื่อนร่วมสำนักอีกสิบหกคน ก่อนที่จะเปิดขุนเขาก็ได้ตั้งกฎเหล็กไว้ข้อหนึ่งว่า ลูกศิษย์ในสำนัก หากลงภูเขาไปกำจัดภูตผี สยบปีศาจ ห้ามรีดไถเอาค่าตอบแทนใดๆ จากคนที่มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางชนชั้นสูง หรือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ตาม ห้ามรับไว้แม้แต่เงินอีแปะเดียว ผู้ที่ละเมิดกฎจะโดนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้วถูกขับไล่ออกจากสำนัก
ดังนั้นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกจึงมีชื่อเรียกที่งดงามอีกอย่างหนึ่งในอุตรกุรุทวีปว่า ‘เซียนซือน้อย’
รัศมีหนึ่งพันลี้โดยรอบสำนักพีหมา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนผีฝ่ายธรรมะที่มาลงหลักปักฐาน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงคิดว่าพอไปถึงชายหาดโครงกระดูกจะต้องไปเดินเล่นอยู่สักหลายๆ วัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการยึดครองเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนเพื่อสร้างสำนักที่เหมาะสมให้ผู้ฝึกตนผีฝึกตนก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เฉินผิงอันพะวงถึงตลอดเวลา แต่กลับยังไม่อาจทำให้สำเร็จได้
จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันหยิบชุดอาคมจินหลี่ที่พับเป็นระเบียบออกมาแล้วก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับคิดจะเก็บมันลงไป ไม่นำไปอุตรกุรุทวีปด้วย
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองพัดพับที่เฉินผิงอันวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้น เป็นพัดที่ชุยตงซานมอบให้ จูเหลี่ยนใช้ก้นคิดก็ยังรู้ว่าต้องเป็นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงยิ้มกล่าวว่า “นายน้อย จินหลี่บวกกับพัดพับ ก็เหมือนโฉมสะคราญงามล่มเมืองในวัยที่เหมาะสมคนหนึ่ง กับกระจกแก้วบานหนึ่งที่ยามส่องก็เผยให้เห็นรูปลักษณ์ชัดเจนทุกซอกทุกมุมซึ่งเหมาะสมเข้าคู่กันอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันนั่งลงด้านหลังโต๊ะหนังสือ คิดคำนวณเงินเทพเซียนอย่างละเอียดพลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ข้าไปฝึกกระบี่ที่อุตรกุรุทวีป ไม่ได้เป็นเที่ยวเล่นตามภูเขาแม่น้ำสักหน่อย อีกอย่างต่างก็พูดกันว่าที่อุตรกุรุทวีปนั้น หากเห็นใครไม่ถูกชะตาก็ต่อยตีฆ่าแกงกันแล้ว หากข้ากล้าไปท่องยุทธภพทั้งแบบนี้จะไม่กลายเป็นว่าเลียนแบบเผยเฉียนที่แปะยันต์ไว้บนหน้าผาก แล้วเขียนคำว่า ‘อยากโดนเตะ’ ไว้บนแผ่นยันต์หรอกหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “นายน้อย ต่อให้เป็นยุทธภพที่วุ่นวายแค่ไหนก็ไม่มีทางมีแค่การรบราฆ่าฟันกันอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้เป็นที่ทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังมีสุนทรียะ มีรสนิยมกันไม่ใช่หรือ? เก็บจินหลี่ไว้กับตัวเถอะ อาจจะต้องได้ใช้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เปลืองที่สักเท่าไหร่”
แต่แล้วแสงสว่างก็ผุดวาบขึ้นมาในหัวของจูเหลี่ยน จึงยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม หรือนายน้อยคิดจะมอบวัตถุชิ้นนี้ให้ใคร ‘ยืม’ ใช้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อยากจะหาโอกาสไหว้วานให้คนนำไปส่งที่สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป มอบให้หลิวเสี้ยนหยาง”
จูเหลี่ยนถาม “ผ่านทางสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยที่มาสร้างโรงเรียนอยู่ในเมืองเล็กน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันคีบเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งขึ้นมาเบาๆ ลักษณะของมันเหมือนเงินหยกเหลือง ทั้งด้านตรงและด้านหลังล้วนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ ไม่เหมือนกับตัวอักษร ‘ออกเหมยเข้าร้อนจัด’ และ ‘อสนีกัมปนาทฟาดฟ้า’ ที่สลักไว้บนเงินร้อนน้อยเหรียญที่เหวยเว่ยหนึ่งในผีสาวของสี่พิฆาตเอาออกมาฟาดเคราะห์ แต่ทั้งด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เก้ามังกรพ่นน้ำ’ ‘แสงเทพแปดส่วน’ เนื้อหาที่สลักลงบนเงินร้อนน้อยมักจะเป็นเช่นนี้ มีมากมายหลากหลาย ไม่มีข้อกำหนดที่แน่นอน ไม่เหมือนเงินเกล็ดหิมะที่ทั่วหล้าใช้เพียงชนิดเดียว แน่นอนว่านี่ก็คือความร้ายกาจของสกุลหลิวเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป ส่วนที่มาของเงินร้อนน้อยก็กระจัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ เป็นเหตุให้เวลานำเงินร้อนน้อยทุกชนิดที่ได้รับความนิยมมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเกล็ดหิมะจึงค่อนข้างจะมีความผันผวน
เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นสกุลเฉินผู้รอบรู้มาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู คนที่มาตรวจสอบต้นเจียที่ขึ้นบนหลุมศพมีนามว่าเฉินตุ้ย แม้ว่านางจะอารมณ์ร้าย พูดจากระโชกโฮกฮาก แต่นิสัยกลับไม่เลว และเฉินซงเฟิง บัณฑิตสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยของราชวงศ์ต้ายงที่มารับรองเฉินตุ้ยในปีนั้นก็สนิทกับเพื่อนคนหนึ่งของข้าที่ชื่อว่าหลิวป้าเฉียวมาก แม้ว่านิสัยของเฉินซงเฟิงจะนุ่มนิ่มไปหน่อย ยามที่เผชิญหน้ากับทายาทสตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่มาจากทักษินาตยทวีปก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ แต่ความสุภาพอ่อนโยนของเฉินซงเฟิงผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะเสแสร้งกันได้ เชื่อว่าคงมาจากตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงดีงามเป็นพันปีตระกูลหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่ามากกว่าสมบัติกึ่งเซียนหนึ่งชิ้น”
ไม่ว่าจะให้อีกฝ่ายยืมก็ดีหรือยกให้เลยก็ช่าง จูเหลี่ยนไม่รู้สึกว่าการที่เฉินผิงอันจะส่งชุดคลุมอาคมจินหลี่ชิ้นนี้ไปให้หลิวเสี้ยนหยางมีอะไรไม่เหมาะสม แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ดังนั้นจึงยืนกรานในความคิดของตัวเองกับเฉินผิงอันอย่างหาได้ยาก “นายน้อย แม้จะบอกว่าตอนนี้ท่านคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกแล้ว ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ก็จะกลายเป็นซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้นกลายเป็นตัวภาระ แต่คำว่า ‘ขาดอีกแค่ก้าวเดียว’ นี้ จะไม่คิดเล็กคิดน้อยเลยได้อย่างไร? การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปจะต้องมีทั้งอันตรายและโอกาสที่มาเยือนพร้อมกัน พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากเจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่แข็งแกร่งเข้าจริงๆ อีกฝ่ายมีพลังพิฆาตรุนแรง ต่อให้นายน้อยสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของสำนักการทหารที่เอาไว้ต้านรับกระบี่สองสามครั้ง ก็ยังถือเป็นเรื่องดี รอจนคราวหน้าที่นายน้อยกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าจะสามปีห้าปี หรือต่อให้สิบปีแล้วค่อยส่งไปให้หลิวเสี้ยนหยางก็ยังไม่สายเกินไปอยู่เหมือนเดิม ถึงอย่างไรขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว อย่าว่าแต่เซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดสองขอบเขตนี้เลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งก็ไม่กล้าพูดว่าสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้แล้วจะเป็นการลดสถานะของตัวเอง”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที แล้วจึงเก็บชุดคลุมอาคมจินหลี่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นอย่างกระบี่บินสืออู่
จูเหลี่ยนเอ่ย “ในเมื่อชุยตงซานก็บอกแล้วว่ายังเหลือเวลาอีกครึ่งร้อยปีให้พวกเราได้วางแผนรับมืออย่างมั่นคง นายน้อยเองก็ยอมรับในข้อนี้ เหตุใดพอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับเปลี่ยนความคิดกะทันหันเสียเล่า? นี่ไม่เหมือนนิสัยของนายน้อยเลย”
เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังไฟของตะเกียงที่วางไว้บนโต๊ะ แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ “จูเหลี่ยน พวกเรามาดื่มเหล้าแล้วพูดคุยกันดีไหม?”
จูเหลี่ยนก้มหัวค้อมเอว ถูมือกล่าวว่า “ย่อมดีอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักกุ้ยฮวาสองกาที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีออกมา ขยับสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ จูเหลี่ยนนั่งอยู่ตรงข้ามโดยมีโต๊ะตัวหนึ่งกั้นขวาง
เฉินผิงอันจึงเริ่มเล่าถึงด่านในจิตใจและการสูญเสีย การได้มา ความโชคดี ความโชคร้ายระหว่างที่ต้องสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นใหม่ให้จูเหลี่ยนฟัง ไม่แบ่งแยกว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ถูกทุบแตกยามเยาว์ การชักคะเย่อทางใจกับเจ้าลัทธิลู่เฉิน การมองดูแม่น้ำแห่งกาลเวลาสามร้อยปีร่วมกับนักพรตเฒ่าในพื้นที่มงคลดอกบัว ต่อให้เป็นเรื่อง ‘ช่องโหว่’ ในจิตใจที่ได้มาจากการออกกระบี่สองครั้งของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะและจั่วโย่วที่ร่องเจียวหลงก็ล้วนเล่าให้จูเหลี่ยนฟังหมด รวมไปถึงการใช้หลักการเหตุผลของตัวเองในทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วต้องชนตอหัวร้างข้างแตกอย่างไร เหตุใดถึงต้องทำให้หัวใจบุ๋นร่างทองที่มีแนวโน้มว่าจะมี ‘คุณธรรมประจำกาย’ ดวงนั้นแหลกสลายไปด้วยตัวเอง การเคาะประตูหัวใจเบาๆ เพื่อบอกลา รวมไปถึงสิ่งที่มากกว่าคือเสียงร้องไห้คร่ำครวญของพวกภูตผีที่อยู่นอกประตูหัวใจ…
เดิมทีนี่ก็เป็นรากฐานมหามรรคาของคนคนหนึ่ง เป็นเรื่องต้องห้ามอย่างใหญ่หลวง ควรจะให้ฟ้ารู้ดินรู้และตัวเองรับรู้เท่านั้น จะไม่มีทางนำไปบอกใครง่ายๆ คู่รักเทพเซียนบนภูเขาหลายคู่ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะยินดีเปิดเผยเรื่องนี้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันพูดอย่างง่ายๆ ผ่อนคลาย จูเหลี่ยนเองก็ไม่มีท่าทีอึดอัดใจใดๆ เพียงแค่ตั้งใจรับฟัง บางครั้งก็ดื่มเหล้าช้าๆ หนึ่งอึก
เฉินผิงอันค้อมตัวหยิบไหใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้วเทเศษกระเบื้องที่กองกันเป็นพะเนินเล็กๆ ออกมา ไม่ได้เทลงบนโต๊ะโดยตรง แต่วางลงบนฝ่ามือตัวเองก่อน จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ถ่ายลงบนโต๊ะด้วยท่าทางอ่อนโยน
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเศษกระเบื้องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตที่ปีนั้นท่านพ่อของข้าทุบแตกด้วยมือตัวเอง หลังจากนั้นไม่นาน ท่านแม่ของข้าก็ป่วยและจากโลกนี้ไป ปีนั้นตอนที่ได้พวกมันมา ข้ายังคงมึนงง จึงไม่ได้คิดอะไรมากนักว่าเหตุใดพวกมันถึงถูกส่งมาถึงมือข้าได้ในท้ายที่สุด มัวแต่เสียใจอย่างเดียวเท่านั้น”
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบชิ้นหนึ่งขึ้นมา สายตาหม่นหมอง พูดเบาๆ ว่า “ก่อนจะออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนที่ลอบสังหารไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรืองก็อาศัยมันนี่แหละ หากว่าล้มเหลวก็ไม่มีทุกอย่างในวันนี้ เรื่องราวต่างๆ นานาก่อนหน้านั้น เรื่องราวต่างๆ นานาหลังจากนั้น อันที่จริงล้วนกำลังเดิมพันอยู่ไม่ต่างกัน ก่อนจะไปเป็นลูกศิษย์ที่เตาเผามังกร ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร หลังจากเรียนการเผาเครื่องปั้นกับผู้เฒ่าเหยาแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหิวตาย หนาวตาย ก็เลยเริ่มคิดหาวิธีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ นึกไม่ถึงว่า สุดท้ายที่ต้องออกไปจากเมืองเล็กจะยังต้องเริ่มใคร่ครวญอีกครั้งว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร หลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวของอารามกวานเต๋าแห่งนั้น ก็มาย้อนคิดดูอีกครั้งว่าควรจะมีชีวิตที่ดีอย่างไร จะทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง…”
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองลวดลายของโต๊ะหนังสือที่อยู่ใต้แสงสะท้อนของแสงไฟ “ชีวิตของข้ามีทางแยกปรากฎขึ้นมากมาย เคยเดินไปบนเส้นทางที่อ้อมไปไกล แต่การไม่รู้ก็มีข้อดีของการไม่รู้”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น “นั่นก็คือหลังจากที่ในชีวิตของข้าได้พบเจอกับคนที่ข้ารู้สึกเคารพเลื่อมใสจากใจจริง ข้าก็รู้แล้วว่าพวกเขายืนอยู่ตรงไหน ข้าจะรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า เพราะเหตุใดพวกเขาถึงได้เดินไปที่นั่น จากนั้นก็ง่ายแล้ว เมื่อข้าแน่ใจในทิศทางใหญ่แล้วก็แค่ต้องก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวเองไป หมั่นทบทวนถามใจตัวเอง คิดให้มากขึ้นว่าหากพ่อแม่ของตัวเอง อาจารย์ฉี อาเหลียงเจอเรื่องแบบเดียวกันนี้ พวกเขาจะคิดอย่างไร ทำอย่างไร หลังจากนั้นมา อันที่จริงข้าก็กำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ข้าอยากจะนำสิ่งที่ข้าคิดว่าเป็นข้อดีบนตัวของคนอื่นมาทำให้กลายเป็นของตัวข้าเองทั้งหมด ข้าจึงคล้ายหัวขโมยตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เพราะว่าข้ากลัวความยากจน กลัวมากเหลือเกิน ข้าต้องการรั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทะนุถนอมและเห็นค่าเอาไว้ เรื่องของเงินทอง ใช่ว่าข้าจะไม่สนใจเลยสักนิดเดียว ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันเกิดมาก็เป็นกุมารแจกทรัพย์ แต่เป็นเพราะสำหรับข้าแล้ว การที่บ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน บนกายไร้วัตถุใดๆ การที่ต้องทนกับความยากลำบาก เป็นเรื่องที่ธรรมดาเกินไป ข้าไม่กลัวแม้แต่น้อย ต่อให้วันนี้ข้าไม่มีภูเขาลั่วพั่วแล้ว กลับคืนไปมีสภาพเดิม เหลือแค่บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงหลังเดียว ข้าก็ไม่กลัวอยู่เหมือนเดิม”
“ข้าแพ้ให้กับข้อดีมากมายบนตัวของพวกเจ้า แล้วก็ได้เรียนรู้มามากมายเช่นกัน นอกจากเจ้าจูเหลี่ยนแล้วก็ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสซ่งแห่งหมู่บ้านวารีกระบี่ ฟ่านเอ้อร์แห่งนครมังกรเฒ่า หลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรว เฉาสือที่ฝึกหมัดอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ลู่ไถ หรือแม้แต่ราชครูจ้งชิวของพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ วิญญูชนจงขุยแห่งภูเขาไท่ผิง และยังมีหลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่าศัตรูคู่อาฆาต เจิงเย่แห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ฯลฯ ข้าล้วนมองดูพวกเจ้าอยู่เงียบๆ ยามเห็นส่วนที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดบนร่างของพวกเจ้าทุกคน ข้าก็อิจฉาอย่างยิ่ง”
—–