บทที่ 1382 : ล่องหน
“ซิงเฉินนี่เจ้าพัฒนาขั้นแล้วงั้นรึ!”
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าเย่ซิงเฉินสามารถรับรู้ได้ทันทีที่พลังปราณของนางพัฒนาขึ้น จึงได้แต่เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“อืมม..”
หลังจากที่พัฒนาขั้นแล้วเย่ซิงเฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลับ นางรู้สึกว่าจุดซือไห่ของตนเองนั้นมีบางอย่างที่ผิดแปลกไป คล้ายกับมีเงาของดวงอาทิตย์สีแดงอยู่ด้านใน และแสงสีแดงเร่าร้อนนั้นก็ทำให้นางรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อสองวันที่ผ่านมาระหว่างที่นางเฝ้าอารักขาหลิงหยุนในช่วงพัฒนาขั้นพลังนั้น นางเองก็ได้ฝึกฝนวิชาสุญตาดูดดาวไปด้วย และก็ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก ที่ระหว่างอยู่ภายในดวงตาค่ายกลหยินนั้น นางก็ใกล้ที่จะพัฒนาเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว เรียกได้ว่าเหลืออีกเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งก้าวด้วยซ้ำไป
และวิชาสุญตาดูดดาวนั้นก็คือการดูดซับเอาพลังดวงดาวพลังจันทรา และพลังสุริยะเข้าไป ในเมื่อเวลานี้เย่ซิงเฉินอยู่ทางด้านชายฝั่งทะเลจีนตะวันออก แสงอาทิตย์สีแดงเจิดจ้าและร้อนแรงที่ปรากฏขึ้นอย่างใกล้ชิด ประกอบกับวิชาสุญตาดูดดาวอันทรงพลัง จึงทำให้เย่ซิงเฉินสามารถพัฒนาขั้นได้ในทันที..
หากจะอธิบายให้ชัดเจนกว่านั้นก็คือการดูดซับเอาทั้งพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวเข้าไปนั้น ย่อมไม่ต่างจากการได้รับพลังหยินและหยางเข้าไปในร่างนั่นเอง..
ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงนั้นเย่ซิงเฉินก็ได้ดูดซับเอาพลังจันทรา และพลังดวงดาวเข้าไปในร่างกายอย่างมากมาย จนสามารถพัฒนาเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ได้ และสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้ในคราวเดียว เวลานี้กลับดูดซับเอาพลังสุริยะที่ร้อนแรงจากดวงอาทิตย์เข้าไป เมื่อได้รับหยินและหยางเข้าไปอย่างสมดุลย์มากพอเช่นนี้ การพัฒนาขั้นได้เองเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด..
อีกทั้งจุดซือไห่ของเย่ซิงเฉินยังแตกต่างจากจุดซือไห่ของหลิงหยุนซึ่งฝึกวิชาพลังลับหยิน–หยางอีกด้วย การพัฒนาขั้นของหลิงหยุนจะส่งผลต่ออัตราความเร็วในการกลั่นเสินหยวนภายในจุดซือไห่ แต่ของเย่ซิงเฉินนั้นจุดซือไห่จะเป็นวงกลมสีแดงเจิดจ้า รอบวงกลมสีแดงคือแสงสีขาวสว่างไสวซึ่งเกิดจากพายุหมุนดวงดาวที่อยู่ภายใน และเวลานี้พายุหมุนดวงดาวก็กำลังหมุนด้วยความเร็วมากกว่าเดิมถึงห้าหกเท่า!
“วิชาบ่มเพาะพลังนี้ช่างน่าอัศจรรย์มากจริงๆ!”
เย่ซิงเฉินร้องบอกด้วยแววตาเป็นประกายและใบหน้าที่เปี่ยมสุขหลังจากที่ปรับตัวเข้ากับขั้นพลังใหม่ของตนเองได้แล้ว เย่ซิงเฉินก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับพึมพำออกมา
“เอาล่ะ..อย่าเพิ่งพูดอะไรในตอนนี้ ในเมื่อเจ้าสามารถพัฒนาขั้นได้แล้ว พวกเราก็อยู่ที่นี่ฝึกฝนวิชาต่ออีกสักครู่!”
หลิงหยุนดีใจกับเย่ซิงเฉินและล้มเลิกความคิดที่จะรีบกลับจิงฉู จากนั้นทั้งคู่จึงนั่งฝึกฝนวิชาอยู่ที่นั่นกันต่ออีกครู่ใหญ่
หลังจากรับทัณฑ์สวรรค์สำเร็จแล้วเวลานี้ภายใจุดซือไห่ของหลิงหยุนก็มีเสินหยวนอยู่มากถึงห้าหมื่นหยด และสิ่งสำคัญสำหรับเขาในเวลานี้ก็คือ เร่งกลั่นเสินหยวนให้เต็มจุดซือไห่ที่ขยายใหญ่ขึ้นนี้โดยเร็ว..
จุดซือไห่ของหลิงหยุนหลังจากผ่านการชำระล้างจากอสุนีบาตห้าธาตุครั้งแล้วครั้งเล่านั้นได้ขยายใหญ่โตขึ้นอีกมากจนสามารถรองรับเสินหยวนได้เพิ่มขึ้นนับสิบล้านหยดเลยทีเดียว
ความจริงแล้วหากหลิงหยุนไม่รีบร้อนที่จะกลั่นเสินหยวน ภายในเวลาสิบวัน ร่างกายของเขาก็จะสามารถกลั่นเสินหยวนจนเต็มจุดซือไห่ได้เอง..
ในด่านกลางขั้นพลังชี่นั้นแม้ร่างกายจะกลั่นเสินหยวนได้เองเป็นจำนวนมาก แต่ในกิจกรรมทั่วๆไปนอกเหนือจากการต่อสู้แล้ว ผู้ที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ ก็ย่อมต้องมีเรื่องให้ต้องใช้เสินหยวนอยู่เนืองๆเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นการหลอมอาวุธการกลั่นโอสถ หรืออีกมากมาย อย่างเช่นการเหาะเหินเดินอากาศก็เช่นกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องใช้เสินหยวนทั้งสิ้น ไม่ต่างจากเครื่องบินที่ต้องใช้น้ำมัน และยิ่งเผาเสินหยวนจำนวนมากเท่าไหร่ อัตราความเร็วไม่ว่าจะเป็นในการเหาะ หรือการต่อสู้ก็จะเร็วขึ้นไปด้วย
หลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินใช้เวลาในการฝึกฝนอยู่ร่วมสองชั่วโมงครึ่งเวลานี้ทั้งคู่เริ่มคุ้นเคยกับขั้นพลังใหม่ของตนเองแล้ว นอกเหนือจากการเร่งกลั่นเสินหยวน ทั้งคู่ก็ฝึกวิชาดาราคุ้มกายไปด้วย..
จนกระทั่งเข้าสู่เวลาเจ็ดโมงเช้าหลิงหยุนจึงได้หยุดการฝึกฝนวิชาไว้เพียงแค่นั้น แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา จู่ๆภายในเวลาเพียงแค่เจ็ดหรือแปดวินาที ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และทะลุก้อนเมฆสีขาวไป ที่นั่นอุณหภูมิค่อนข้างต่ำมากดูเหมือนว่าจะลบสี่สิบกว่าองศาเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีลมพัดแรง แต่หลิงหยุนก็ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง..
นั่นเพราะหลังจากที่กายเนื้อของเขาถูกอสุนีบาตห้าธาตุชำระล้างครั้งแล้วครั้งเล่าร่างกายของเขาก็ราวกลับมีเกล็ดแข็งแกร่งห่อหุ้ม ทำให้กายเนื้อของเขาไม่มีผลต่ออุณหภูมิที่ต่ำจนติดลบ หรือแม้แต่สูงมากนับพันๆองศา..
แต่ถึงแม้จะอุณหภูมิจะไม่มีผลต่อร่างกายของหลิงหยุนแต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่สามารถสัมผัสระดับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปได้ ร่างกายของเขาไม่ได้เป็นอัมพาตที่จะไร้ความรู้สึกเช่นนั้น ตรงกันข้าม ยิ่งขั้นของเขาพัฒนาขึ้นมากเท่าไหร่ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาก็จะยิ่งว่องไว และรับรู้ได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น เพียงแต่ร่างกายของเขาจะไม่ได้รับอันตรายเท่านั้นเอง
ร่างของหลิงหยุนลอยขึ้นไปสูงนับหมื่นเมตรและยังคงลอยสูงขึ้นอีกเรื่อยๆ และเวลานี้เบื้องล่างของเขานั้นก็มีแต่กลุ่มเมฆสีขาวราวสำลีล่องลอยอยู่เต็มไปหมด เมฆสีขาวเหล่านั้นเปลี่ยนเป็นรูปร่างแปลกประหลาดไปเรื่อย และดูราวกับผืนดินบนโลก ที่มีทั้งพื้นราบ ภูเขา คลื่น และอีกมากมาย..
เครื่องบิน…
หลิงหยุนเห็นเครื่องบินลำหนึ่งซึ่งบินเกือบจะอยู่ในระดับเดียวกับความสูงของเขาเวลานี้ และเครื่องบินล้ำนั้นก็กำลังมุ่งหน้าจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
“หายตัว!”
ร่างของหลิงหยุนในระดับความสูงนับหมื่นเมตรนี้ได้ล่องหนหายตัวไปอย่างรวดเร็ว และเฝ้ามองเครื่องบินที่บินผ่านหน้าไป
“ห๊ะ..ผ่านไปกว่าหกเดือน ในที่สุดข้าก็สามารถหายตัวได้อีกครั้งแล้วรึ! ไม่ง่ายเลยจริงๆ!” หลิงหยุนร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจนั่นเพราะเมื่อครั้งที่หลิงหยุนมาถึงจิงฉูในครั้งแรกนั้น สิ่งแรกที่เขาทำคือการทดลองหายตัว แต่กลับพบว่ามันล้มเหลว เวลานี้เขากลับมีพลังวิเศษที่ช่วยให้ตนเองสามารถหายตัวได้อีกครั้งแล้ว..
เส้นทางบ่มเพาะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย..
‘ดูจากเส้นทางการบินเครื่องบินลำนี้น่าจะกำลังมุ่งหน้าสู่ประเทศญี่ปุ่น..’
หลิงหยุนได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบๆและจู่ๆก็นึกอยากจะเหาะไปประเทศญี่ปุ่นในตอนนี้เลย เพื่อที่จะไปนำหม้อเสินหนงกลับมา
หลังจากเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) แล้ว หลิงหยุนตั้งใจว่าจะเริ่มทำการหลอมโอสถขั้นสูงแล้ว แต่หากไม่มีหม้อเสินหนงก็คงจะไม่สามารถทำได้
“ความเร็วในการเหาะของข้าเวลานี้เหนือกว่าเสียงถึงสี่เท่าซึ่งเทียบเท่ากับหนึ่งพันสี่ร้อยเมตรต่อวินาทีเลยทีเดียว เช่นนี้แล้วหากข้าจะเหาะไปประเทศญี่ปุ่น…” หลิงหยุนกำลังใช้ความรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์ที่เรียนมาคำนวณระยะทางจากประเทศจีนไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโดยประมาณอยู่ที่หนึ่งพันกิโลเมตร..
“หากข้าเหาะไปด้วยตัวเองก็ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำไป!”
หลิงหยุนถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อคิดว่าจากนี้ไปหากเขาจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งเครื่องบินให้เสียเวลาอีกแล้ว เพราะหากเขาเหาะไปอย่างสบายๆไม่รีบร้อน ก็น่าจะใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง..
“หึ..หากเทียบระหว่างการบ่มเพาะพลังกับเทคโนโลโยสมัยใหม่ ไม่ว่าอย่างไรการบ่มเพาะพลังก็เหนือกว่าอยู่ดี!”
หลิงหยุนที่ยังคงล่องหนอยู่กลางอากาศถึงกับพึมพำและยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฮ่าๆๆจากนี้ไปหากข้าต้องการที่จะฝึกวิชาดาราคุ้มกาย ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งฝึกอยู่บนพื้นดินอีกแล้ว ข้าสามารถเหาะขึ้นมาฝึกบนท้องฟ้าที่สูงถึงหนึ่งเมตรได้อย่างสบายๆ”
หลิงหยุนได้แต่คิดว่าหลังจากที่เขาสามารถเหาะไปกลางอากาศได้เช่นนี้ ในวันข้างหน้าก็จะยิ่งทำให้ข้อจำกัดต่างๆของเขาลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ
ถึงเวลาที่จะมุ่งสู่ความเป็นเซียนทำลายขอบเขตเครื่องกั้นในอวกาศ สามารถไปสวรรค์ และมีอำนาจดลบันดาลทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ต่างหากคือการบ่มเพาะที่แท้จริง!
แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนยังไม่เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในตอนนี้แน่เพราะเขาเพิ่งจะกลั่นเสินหยวนได้เพียงหกหมื่นหยด อีกทั้งเขายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมายในประเทศจีน
และสิ่งแรกที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือ..ไปช่วยฉินจิวยื่อแม่ของเขาที่สำนักกระบี่เทียนซาน!
ผ่านไปราวสิบนาที..หลังจากที่เย่ซิงเฉินฝึกฝนวิชาเสร็จแล้ว นางก็ได้กลั่นเสินหยวน และเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าตามหาหลิงหยุน.. “ข้าอยู่นี่!”
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบออกจากการล่องหนและปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเย่ซิงเฉินทันที พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ข้าตกใจแทบแย่!”
เย่ซิงเฉินนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าหลิงหยุนอยู่ในบริเวณใกล้ๆนี้แต่นางไม่สามารถมองเห็น แต่เมื่อหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้นางถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ซิงเฉินวิชาล่องหนนี้ ผู้ที่เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ย่อมสามารถฝึกได้ ไว้ข้าจะสอนให้กับเจ้า!” หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินทันที
เย่ซิงยิ้มกว้างพร้อมกับถามขึ้นว่า“ข้าเองก็เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่แล้ว เหตุใดไม่สอนให้ข้าตอนนี้เลยเล่า”
“พรสวรรค์ของเจ้านับว่าสูงส่งยิ่งนัก!”
“ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) งั้นรึ “ข้าอยู่นี่!”
หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบออกจากการล่องหนและปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเย่ซิงเฉินทันที พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง
“ข้าตกใจแทบแย่!”
เย่ซิงเฉินนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าหลิงหยุนอยู่ในบริเวณใกล้ๆนี้แต่นางไม่สามารถมองเห็น แต่เมื่อหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้นางถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ซิงเฉินวิชาล่องหนนี้ ผู้ที่เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ย่อมสามารถฝึกได้ ไว้ข้าจะสอนให้กับเจ้า!” หลิงหยุนร้องบอกเย่ซิงเฉินทันที
เย่ซิงยิ้มกว้างพร้อมกับถามขึ้นว่า“ข้าเองก็เข้าสู่ด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่แล้ว เหตุใดไม่สอนให้ข้าตอนนี้เลยเล่า”
“พรสวรรค์ของเจ้านับว่าสูงส่งยิ่งนัก!”
“ระดับกลางขั้นอู่เฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-5) งั้นรึไม่เลวเลยทีเดียว..”
หลิงหยุนได้แต่เอ่ยชื่นชมออกมาจากใจจริง..
“เวลานี้นอกจากข้าก็มีผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศในโลกนี้อีกหนึ่งคนแล้วสินะ!”
เย่ซิงเฉินถึงกับยิ้มกว้างเมื่อหลิงหยุนเอ่ยชมเช่นนั้น
“ซิงเฉินสำหรับผู้บ่มเพาะพลังนั้น หลังจากที่เข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือความเร็วในการกลั่นและเผาเสินหยวน เพราะนั่นย่อมหมายถึงการใช้พลังวิเศษของคนผู้นั้น..”
“ในด่านกลางขั้นพลังชี่นี่การจะพัฒนาเข้าสู่ระดับย่อยๆนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เรื่องที่ยากคือสองเรื่องที่ข้าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ ไม่เช่นนั้นการเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่ก็ไร้ความหมายย”
หลิงหยุนค่อยๆอธิบายจุดสำคัญในด่านกลางขั้นพลังชี่ให้เย่ซิงเฉินฟังอย่างละเอียด.. “ข้าจะจดจำไว้!”
“เอาล่ะกลับจิงฉูกันได้แล้ว!”
ในเวลาแปดโมงเช้าหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินก็เตรียมตัวกลับจิงฉู แต่แล้วหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า
“ซิงเฉิน..เจ้าว่าพวกเราเหาะกลับไปบนท้องฟ้าดี หรือว่าจะเหาะไปใต้ท้องทะเลดี”
เย่ซิงเฉินหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับแนะนำว่า“ข้าว่าพวกเราเหาะไปบนฟ้ากันดีกว่า!
ดีที่ดวงจิตเทวะได้เดินทางข้ามภพข้ามชาติไปไกลหลายพันปีก่อนจะไปจุติใหม่ในร่างของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เพื่อที่จะชำระแค้นที่สุมแน่นอยู่ในดวงจิตได