กู้ไป๋อีกล่าวว่า “เมืองเฮยตูมีการยับยั้งพลังวิญญาณ คุณหนูใหญ่ก็รู้ ตราบใดที่คุณหนูใหญ่ไปจากที่นี่ คุณหนูใหญ่ก็จะสามารถทะลวงพลังวิญญาณขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับสี่ได้อย่างง่ายดายแน่นอน”

“แต่ข้าต้องการท้าประลองหอคอยโลหิต ในเมื่อมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ท้าประลองหอคอยทมิฬ แต่ก็ต้องคว้าหอคอยโลหิตมาให้ได้ กว่าจะเข้ามาที่นี่ได้มันไม่ง่ายเลยนะ”

ดวงตาของกู้ไป๋อีเคร่งขรึมลง สำหรับความมุ่งมั่นของนางแล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธได้แม้แต่น้อย

มู่เฉียนซีกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าวางใจเถอะ ถึงแม้ว่าพลังของข้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่หากผู้ใดคิดจะหมายปองชีวิตข้า มันก็ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น”

กู้ไป๋อียังคงทำหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อคุณหนูใหญ่ได้ตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้ข้าจะพูดสิ่งใดไปมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี เช่นนั้นคุณหนูใหญ่ก็ท้าประลองหอคอยโลหิตเถอะ! แต่คุณหนูใหญ่ต้องรับปากข้า ว่าหากสำเร็จตำแหน่งมหาจักรพรรดิได้แล้วต้องไปจากที่นี่ทันที อย่าท้าประลองหอคอยทมิฬเป็นอันขาด”

“ตกลง!”

หลังจากที่คว้าตำแหน่งจักรพรรดิมาได้ มู่เฉียนซีก็พักร่างกายอยู่หลายวัน

มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “การที่ข้าทำสำเร็จตำแหน่งจักรพรรดิได้ในครั้งนี้ ได้ทำลายสถิติของเจ้าหรือไม่?”

กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่ได้แตกต่างกันมาก หากคุณหนูใหญ่ไม่เล่นกับวิญญาณเหล่านั้นนานเกินไป เกรงว่าจะทำลายสถิติได้แล้ว”

มู่เฉียนซีรู้สึกกลัดกลุ่มใจเล็กน้อย “หากรู้เร็วกว่านี้ข้าก็คงจะออกมาเร็วกว่านี้แล้ว”

ส่วนอีกทางหนึ่งราชทินนามเฮยก็พยายามแอบเข้าไปในป้อมปราการของกู้ไป๋อีครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ถูกกระบี่ของกู้ไป๋อีโจมตีไล่ออกไป

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างจนปัญญาว่า “ราชทินนามเฮยผู้นั้นเป็นปีศาจบ้าที่ชอบก่อความวุ่นวายเหรอ ข้าว่า ก่อนที่ข้าจะไปท้าประลองหอคอยโลหิต ข้าต้องวางยาพิษกับอาวุธให้เจ้าแล้วล่ะ เพื่อไม่ให้เจ้าถูกเจ้าตัววุ่นวายนั่นรบกวนจนไม่ได้พักผ่อน”

หอคอยโลหิตกับหอคอยแห่งความตายนั้นไม่เหมือนกัน หอคอยแห่งความตายนั้นตราบใดที่ไม่ได้ประลองพ่ายแพ้และตายไปก็สามารถออกมาได้ตลอดเวลา

แต่หอคอยโลหิตนั้น นอกจากจะสำเร็จในตำแหน่งมหาจักรพรรดิ นางจะต้องอยู่ในนั้นตลอดไป

กู้ไป๋อีกล่าว “ไม่จำเป็นต้องให้คุณหนูใหญ่เสียเวลา ข้าก็จะไปที่หอคอยโลหิตกับคุณหนูใหญ่ด้วย ตำแหน่งราชทินนามสามารถเข้าออกหอคอยแห่งโลหิตได้ตามใจชอบ”

มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “นี่เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างนั้นเหรอ”

กู้ไป๋อีตอบ “ข้าอยู่ในเมืองเฮยตู นอกจากดูแลคุณหนูใหญ่แล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ!”

กู้ไป๋อีกล่าวเช่นนี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ไม่อาจตอบโต้ได้

นางทำได้เพียงแค่กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า!”

เมื่อราชทินนามเฮยเห็นมู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีเข้าไปในหอคอยโลหิตด้วยกันและไม่เคยกลับออกมาเช่นนี้ นางก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง

“นี่พี่ไป๋อีจะรอดูนางประลองตลอดเวลาเลยหรือไร นึกไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นั้นจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้” ราชทินนามเฮยกัดฟันกรอดพลางกล่าวด้วยความไม่พอใจ

“ท่านราชทินนามเฮย!” เมื่อนางเข้ามายังหอคอยโลหิต ก็มีคนมาต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น

มู่เฉียนซีได้ลงชื่อสมัครเรียบร้อยแล้ว ส่วนราชทินนามเฮยก็ทำได้เพียงแค่มองนางอยู่ไกล ๆ รอโอกาสว่าจะสามารถลงมือกับนางได้หรือไม่

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งราชทินนาม แต่หากลงมือแหกกฎของหอคอยโลหิตแล้วละก็ ฝ่าบาทก็คงไม่ปล่อยพวกเขาเป็นแน่

ไม่นานนักการประลองของมู่เฉียนซีก็ถูกจัดขึ้น ในระหว่างที่มู่เฉียนซีได้ลงประลอง ราชทินนามเฮยก็คิดจะเข้าไปใกล้กู้ไป๋อี แต่สุดท้ายกลับถูกกู้ไป๋อีเชิญออกไป

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ราชทินนามเฮย เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าลงมือฆ่าเจ้าจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?”

กลิ่นอายจิตสังหารอันเย็นยะเยือกนั้นใช่ว่าจะลวงหลอกกันได้ และสิ่งนี้ทำให้ราชทินนามเฮยเสียอกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

โฆษกชั้นแรกของหอคอยโลหิตได้กล่าวขึ้นว่า “กฎของหอคอยโลหิตก็คือ ตราบใดที่ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่บนลานประลองนี้แล้ว ก็จำเป็นต้องต่อสู้ติดต่อกันกับคู่ต่อสู้จำนวนหนึ่งร้อยคน หากชนะก็นับว่าผ่านด่าน หากพ่ายแพ้ ผลลัพธ์เดียวก็คือ ตาย!”

“หากไม่ขึ้นประลอง แต่ท้าประลองผู้ที่อยู่บนลานประลองและเอาชนะได้ ก็สามารถผ่านด่านไปได้”

“ท่านจักรพรรดิโยว (สมญานามของมู่เฉียนซี) ตอนนี้ท่านยังเลือกที่จะขึ้นประลองอยู่อีกหรือไม่?”

มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าว “ข้าก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“เช่นนั้น เชิญท่านจักรพรรดิโยว!”

ในขณะที่มู่เฉียนซีย่างเท้าขึ้นลานประลองนั้น ก็ทำให้ดวงตาของทุกคนเปล่งประกายขึ้นมา

ในสถานที่ที่เปล่าเปลี่ยว มืดมิด และเต็มไปด้วยการฆ่าสังหารเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าจะปรากฏหญิงงามอย่างไร้ที่เปรียบเช่นนี้ได้

พิธีการกล่าวว่า “เป็นเวลาสิบปีมาแล้วที่หอคอยโลหิตของพวกเราไม่มีคนเข้ามาใหม่ และท่านผู้นี้ก็คือจักรพรรดิโยวผู้ที่เลื่อนขึ้นมาจากหอคอยแห่งความตาย และจะมาท้าประลองในชั้นแรกของหอคอยโลหิต และตอนนี้ทุกคนสามารถลงชื่อสมัครได้!”

“มาใหม่หรือ?”

“แถมยังเป็นสตรีอีกด้วย”

“รีบลงชื่อสมัครเร็วเข้า หากพลาดไปจะไม่มีโอกาสแล้วนะ”

การปรากฏตัวของมู่เฉียนซีนั้นทำให้พวกเขากระตือรือร้นที่จะสมัครประลองเป็นอย่างยิ่ง

การประลองติดต่อกันร้อยคนนั้นยากกว่าการเป็นหนึ่งในร้อยคนที่จะชนะคู่ต่อสู้ได้ ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยต่างก็รอโอกาสท้าประลองกับผู้ที่มาใหม่

พบเจอกับคนใหม่ พบเจอได้แต่ไม่อาจเรียกร้องได้

ไม่นานนัก คนจำนวนหนึ่งร้อยคนก็ได้ลงชื่อสมัครกันเต็มแล้ว

พิธีกรกล่าวว่า “การสมัครได้สิ้นสุดลงแล้ว เช่นนั้นก็เริ่มประลองสนามแรกกันได้เลย เชิญผู้ท้าประลองคนแรกขึ้นลานประลองได้”

ผู้ท้าประลองคนแรกเป็นชายที่ดูท่าทางเหมือนหัวขโมยผู้หนึ่ง เขามองมู่เฉียนซีพลางยิ้มและกล่าวว่า “แม่นางน้อย สำเร็จตำแหน่งจักรพรรดิได้แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายให้หลาย ๆ วันหน่อยล่ะ นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเข้ามาในกรงโลหิตนี้”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องให้คนอย่างเจ้ามาสอด”

“สอด! ข้าต้องสอดสิ! ขอเพียงข้าเอาชนะเจ้าได้ ข้าก็จะสามารถผ่านด่านนี้ไปได้อย่างง่ายดาย และเข้าไปสู่ชั้นที่สองได้ ดังนั้น สาวน้อย เจ้าไปตายซะเถอะ!”

ขวับ!

เขาโบกมือขึ้นครั้งหนึ่ง ลูกดอกสีดำนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้นในแขนเสื้อของเขา

ร่างสีม่วงเคลื่อนไหว และเงาร่างนับไม่ถ้วนก็ได้ปรากฏขึ้น ลูกดอกเหล่านั้นล้วนแต่พุ่งเข้าร่างมายาทั้งสิ้น ไม่ได้ถูกร่างจริงของมู่เฉียนซีเลย

“สาวน้อยผู้นี้มีความเร็วที่น่าทึ่งยิ่งนัก!” ราชทินนามเฮยที่นั่งอยู่ในห้องสุดหรูกำลังชมการประลองในครั้งนี้อยู่

จากนั้นนางก็แสยะยิ้มขึ้น “เชอะ! จักรพรรดิแห่งภูตระดับสาม พลังเพียงแค่นี้ ช่างอ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”

เมื่อได้รู้ถึงพลังของมู่เฉียนซี ไม่เพียงแต่ราชทินนามเฮยที่หัวเราะเยาะ คนอื่น ๆ ต่างก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้เช่นกัน

“เข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่ พลังจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามก็สำเร็จตำแหน่งจักรพรรดิได้แล้ว ข้าว่าคนพวกนั้นของหอคอยแห่งความตายต่างก็เป็นพวกสวะไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น นึกไม่ถึงว่าจะถูกจักรพรรดิแห่งภูตระดับสามเอาชนะได้”

“ดูท่าครานี้ผู้ท้าประลองคงจะเอาชนะและเข้าชั้นสองไปได้อย่างง่ายดาย ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!”

“การประลองครั้งนี้ สาวน้อยผู้นี้ต้องถูกจักรพรรดิหลางเอาตายแน่!”

อาวุธลับของจักรพรรดิหลางนั้นเร็วมาก แต่เข็มยาในมือของมู่เฉียนซีก็ใช่ว่าจะช้า

จักรพรรดิหลางยิ้มพลางกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าสาวน้อยก็เชี่ยวชาญในการใช้อาวุธลับด้วย แต่ว่า หากเปรียบเทียบกับอาวุธลับของข้าแล้ว มันยังห่างชั้นกันมากนัก”

“ปัง!” ลูกดอกของเขาได้สกัดกั้นเข็มยาของมู่เฉียนซีไว้ได้

ทว่า ในขณะที่เข็มยานั้นถูกสกัดกั้น ปลายเข็มยานั้นก็ได้แยกออกเป็นเข็มเล็ก ๆ และบางหลายเข็มพุ่งไปทางจักรพรรดิหลางราวกับสายฝน

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีราวกับสายฝนเช่นนี้ จักรพรรดิหลางก็รีบหลบหลีกราวกับปลาหมู (Pond loach) นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีเข็มใดโดนตัวเขาเลย

เขากล่าว “สาวน้อย อาวุธลับของเจ้า ก็น่าสนใจดีนะ รอให้ข้าฆ่าเจ้าได้ก่อน ข้าจะเอาอาวุธลับอันล้ำค่าของเจ้าไปศึกษาดูให้ดีอีกที”

เขาคิดว่าครั้งนี้มู่เฉียนซีสามารถได้เปรียบเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ได้เปรียบจากอาวุธลับที่ประณีตนี้

ทว่า ในตอนนี้เอง น้ำเสียงอันเย็นชาก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา “ข้าว่า เจ้ากำลังฝันกลางวันอยู่นะ!”

จักรพรรดิหลางตกตะลึงพรึงเพริดขึ้น นางไปอยู่ด้านหลังเขาเมื่อใดกัน!

.

.