บทที่ 483.3 จูเหลี่ยนอีกคน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สองสามีภรรยาหลี่เอ้อร์และยังมีหลี่หลิ่วพี่สาวของหลี่ไหว สตรีที่ทั้งหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่งต่างก็ชื่นชอบ ตอนนี้นางน่าจะฝึกตนอยู่บนยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป และเขาก็ควรไปเยี่ยมครอบครัวสามคนนี้สักหน่อย

นอกจากนี้ก็ต้องไปตรวจตราเส้นทางแม่น้ำใหญ่ไหลลงสู่ทะเลเส้นนั้นด้วยตัวเอง นี่คือการแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งระหว่างเขากับเจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินในปีนั้น แน่นอนว่าลู่เฉินไม่ได้คิดจะปรึกษากับเฉินผิงอันเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร นี่ก็เป็นแผนการที่โจ่งแจ้ง เฉินผิงอันไม่มีทางที่จะปฏิเสธ วันหน้าโชควาสนาในการพิสูจน์มรรคาของเด็กชายชุดเขียวเฉินหลิงจวินก็อยู่ที่ว่าจะสามารถเดินไปบนเส้นทางสายนี้ได้อย่างราบรื่นหรือไม่

เผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกงูเหลือม งูหลาม ภูตปลาทั้งหลาย ในเรื่องของการลงน้ำนั้นไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ปีศาจปลาไหลลำคลองของใบถงทวีปตัวนั้นก็เพราะถูกเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอสกัดกั้นทางไป ถึงไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทองได้เสียที

แน่นอนว่ามีเรื่องราวและคนที่อยากพบเจอ แต่ก็มีเรื่องราวและบุคคลที่ไม่อยากพบเจอเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเฮ้อเสี่ยวเหลียงอดีตเทพธิดาแห่งสำนักโองการเทพ

พอนึกถึงนักพรตหญิงลัทธิเต๋าที่เคยมีโชควาสนาดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ ก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวได้ยิ่งกว่าเอาเหยาจิ้นจือแห่งใบถงทวีป เซียวหลวนเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชมารวมกันเสียอีก

ขออย่าให้ได้พบนางเลย

เฉินผิงอันเก็บสัมภาระที่ใช้ในการเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ได้คร่าวๆ แล้วก็พ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงจูเหลี่ยนที่มีท่าทางจริงจังขึ้นมา

เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งความสง่างาม

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า จูเหลี่ยนตอนที่เป็นหนุ่มจะเป็นเจ๋อเซียนที่โดดเด่นถึงเพียงใดในพื้นที่มงคลดอกบัว

จูเหลี่ยนเดินเตร็ดเตร่ไปทางเรือนของตัวเอง พบว่าเด็กโง่อย่างเฉินยวนจียังคงฝึกหมัด เพียงแต่ปณิธานหมัดไม่มั่นคง ถือเป็นการฝืนดึงลมปราณเฮือกหนึ่งเอาไว้แล้วทุ่มเทฝึกตนอย่างโง่งม ไม่น่าพอใจนัก

เขาจึงดีดปลายเท้าหนึ่งทีทะยานตัวข้ามผ่านหัวกำแพง พลิ้วกายลงกลางลานแล้วก็เอ่ยว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี การฝึกหมัดของเจ้ามีแต่ปล่อย ไม่มีการเก็บไว้ นี่จะลำบากอย่างมาก ฝึกหมัดก็เหมือนฝึกฝนจิตใจ ทนรับกับความยากลำบากได้เป็นเรื่องดี แต่หากไม่รู้จักกะกำลังไฟให้ดี ยิ่งฝึกวิชาหมัดก็ยิ่งตาย แล้วก็จะฝึกจนคนกลายเป็นคนโง่ เมื่อเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ทันระวังอาจจะทำลายไปถึงรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณ จะประสบผลสำเร็จสูงได้อย่างไร?”

คำกล่าวนี้พูดอย่างไม่เกรงใจกันเท่าใดนัก อีกทั้งยังเป็นความจริงที่เฉินผิงอันพ่นออกมาหลังจากเมามายในตอนนั้น ไม่ต่างจากคำกล่าวที่เขาบอกว่า เฉินยวนจี ‘หมัดของเจ้าไม่ได้เรื่อง’ สักเท่าไหร่

เวลาอยู่กับเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้น เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เวลาอยู่กับเทพเซียนผู้เฒ่าจู สำหรับเฉินยวนจีแล้วกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางไม่เพียงแต่ยอมศิโรราบทั้งกายและใจ ยังยอมรับผิดแล้วเริ่มทบทวนตัวเองในทันที

จูเหลี่ยนผงกศีรษะ “จะว่าไปแล้ว การที่เจ้าสามารถทนรับกับความยากลำบากได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เพียงแต่ในเมื่อเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วแล้ว ก็จำเป็นต้องมองตัวเองให้สูงสักหน่อย ไม่สู้ลองไปฝึกหมัดที่ยอดเขาของภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ  มองทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลรอบด้านให้มาก แล้วก็บอกกับตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า ใครกันที่บอกว่าจิตใจของสตรีไม่อาจรองรับแผ่นดินที่งดงามเอาไว้ได้? ใครกันที่บอกว่าสตรีไม่อาจฝึกวรยุทธเดินขึ้นสู่ที่สูง หลุบตาต่ำลงมองวีรบุรุษในยุทธภพได้?”

จิตวิญญาณของเฉินยวนจีแกว่งไกว ถึงขั้นน้ำตาคลอเบ้า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็กสาวที่คิดถึงบ้าน มาอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็โทษไม่ได้ที่นางจะเคารพเทพเซียนผู้เฒ่าจูมากที่สุด เขาไม่เพียงแต่ช่วยนางออกมาจากอันตราย ยังมอบอนาคตบนเส้นทางวิถีวรยุทธให้นางเปล่าๆ หลังจากนั้นก็ยิ่งปฏิบัติต่อนางอย่างมีเมตตาดุจผู้อาวุโสปฏิบัติต่อเด็กรุ่นหลัง เฉินยวนจีจะไม่ซาบซึ้งใจได้อย่างไร? นางเช็ดน้ำตา พูดเสียงสั่น “ทุกคำที่ผู้อาวุโสเอื้อนเอ่ย ข้าจะจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”

จูเหลี่ยนแนะนำอีกสองสามคำก็เตรียมจะจากไป เฉินยวนจีลังเล็กน้อย แต่ก็ยังอดไม่ไหวถามขึ้นว่า “เหตุใดท่านผู้อาวุโสต้องทนรับความอัปยศอยู่บนภูเขาลั่วพั่วด้วย?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ข้าทนรับความอัปยศอย่างไร?”

เฉินยวนจีอึกๆ อักๆ รู้สึกไม่ดีที่จะเอ่ยความในใจเหล่านั้นออกมา ไม่ใช่ว่านางกริ่งเกรงเจ้าภูเขาหนุ่มคนนั้น แต่เป็นเพราะกลัวว่าถ้อยคำที่ไม่รู้จักหนักเบาของตนจะทำให้เทพผู้เฒ่าจูเสียหน้า

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเฉินยวนจี “คนโง่มีโชคของคนโง่ แบบนี้แหละดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง อืม ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเปลี่ยนเลยดีกว่า รักษามันเอาไว้ ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ภูเขาลั่วพั่วของเราก็ควรจะมีคนอย่างเจ้าอยู่สักคน”

เฉินยวนจียิ้มบางๆ

อย่าว่าแต่เทพเซียนผู้เฒ่าจูตำหนินางสักคำสองคำเลย ต่อให้ตีหรือด่า นั่นก็เป็นเพราะเขาหวังดีต่อนาง

เฉินยวนจีถาม “ผู้อาวุโสอยู่ที่นี่จนชินแล้วหรือ?”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “คนป่าชอบไปอยู่ในภูเขา ข้าเป็นพวกขี้เกียจ เคยชินนักล่ะ ไม่อาจสุขสบายมีความสุขไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

เฉินยวนจีเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “ผู้อาวุโสสมกับเป็นกระเรียนป่าโบยบินบนฟ้ากว้าง คือยอดฝีมือนอกโลกอย่างแท้จริง!”

จูเหลี่ยนลูบคลำปลายคาง “น้ำและลมของภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ค่อนข้างจะแปลกแหะ”

คราวนี้จูเหลี่ยนไม่ได้ทะยานตัวออกไปนอกกำแพงเรือน แต่เปิดประตูเดินออกไป

เฉินยวนจีลงดาลเรียบร้อยก็กำหมัดเบาๆ พูดพึมพำว่า “เฉินยวนจี เจ้าห้ามทำให้เทพผู้เฒ่าจูผิดหวังเด็ดขาด! ทนความลำบากในการฝึกหมัด แล้วยังต้องตั้งใจฝึกฝน ต้องให้มีชีวิตชีวามากกว่านี้!”

จูเหลี่ยนไม่ได้ตรงกลับไปที่เรือนพัก แต่ไปที่ยอดเขาภูเขาลั่วพั่ว นั่งอยู่บนขั้นบนสุดของบันได แกว่งกาเหล้าที่ว่างเปล่าทีหนึ่งถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเหล้าแล้ว ไม่เป็นไร รอให้ตะวันขึ้นทั้งอย่างนี้ก็แล้วกัน

จูเหลี่ยนพลันหันหน้าไปมอง ก็เห็นคนคนหนึ่งที่เขาไม่คาดฝัน

นั่นก็คือผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ออกมาจากเรือนไม้ไผ่อย่างหาได้ยาก ชุยเฉิง

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน คลี่ยิ้มต้อนรับ

ชุยเฉิงเดินขึ้นที่สูงมาอย่างช้าๆ ผายมือบอกเป็นนัยให้จูเหลี่ยนนั่งลง

จูเหลี่ยนก็เลยนั่งแปะลงไป

ชุยเฉิงนั่งเคียงไหล่อยู่กับจูเหลี่ยน นึกไม่ถึงว่าเขาจะพกเหล้ามาด้วยสองกา โยนให้จูเหลี่ยนหนึ่งกา

จูเหลี่ยนเปิดผนึกดินออก ดื่มอย่างสำราญใจไปหนึ่งอึกแล้วยิ้มเอ่ยว่า “หากนายน้อยรู้ว่าผู้อาวุโสแอบขุดเหล้าสองกาออกมา คงไม่กล้าตำหนิผู้อาวุโส แต่ต้องบ่นข้า หาว่าข้าเป็นคนเฝ้าเองแล้วขโมยเองแน่นอน”

ชุยเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเฉินผิงอันไม่ชอบใคร เขาไม่มีทางพูดอะไร คำเดียวก็ยังรังเกียจว่ามากไป”

จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “ก็จริงนะ”

ชุยเฉิงทอดสายตามองไปไกล พลางถามชวนคุย “จูเหลี่ยน ในเมื่อไม่มีคอขวดวิถีสวรรค์ของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่อีกแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังจงใจเดินให้ช้าขนาดนี้?”

จูเหลี่ยนวางกาเหล้าทั้งสองใบลง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ทิ้งตัวไปด้านหลัง ใช้ศอกสองข้างยันพื้น พูดอย่างเกียจคร้านว่า “ชีวิตแบบนี้สุขสบายที่สุดแล้วนี่นา”

ชุยเฉิงถามอีก “แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่เลว แต่มีค่าพอให้เจ้าจูเหลี่ยนปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้หรือ?”

เผชิญหน้ากับคำถามของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่ง จูเหลี่ยนยังคงมีท่าทีไม่แยแสอยู่เหมือนเดิม “ข้ายินดี ข้าพอใจ”

ชุยเฉิงกลับไม่โกรธ วันหน้าเวลาป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ก็ค่อยป้อนหมัดอีกฝ่ายเยอะๆ หน่อยแล้วกัน

ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าคนอื่นด้วยรูปโฉมเช่นนี้มาตลอดหรือ? แม้แต่นายน้อยของเจ้าก็ยังถูกปิดบัง?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ตอนอยู่บ้านเกิด ข้าจูเหลี่ยนอาศัยหน้าตาหากิน กินมาจนอิ่มแล้ว ตอนนี้ก็พอเถิด อายุปูนนี้แล้ว ต้องยอมรับความแก่ จะปล่อยให้แม่นางน้อยแต่ละคนต้องมาลุ่มหลงระทมทุกข์ ไม่ใช่เรื่องเลย”

ชุยเฉิงส่ายหน้าแล้วก็เดินจากมา

คุยกับไอ้หมอนี่ได้ไม่กี่คำจริงๆ

หากไม่เป็นเพราะคำพูดประโยคนั้นที่จูเหลี่ยนเอ่ยตอนอยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ ชุยเฉิงก็ไม่มีทางเดินมามอบเหล้ากาหนึ่งให้อีกฝ่ายเช่นนี้

หลังจากชุยเฉิงจากไป

จูเหลี่ยนก็ถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนหงาย ใช้สองมือต่างหมอน หลับตาพักผ่อน

ในชั่วเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น จูเหลี่ยนก็ลุกขึ้นนั่งช้าๆ รอบกายไร้ผู้นั้น เขายื่นนิ้วสองข้างมากดไว้ตรงจอนผม แล้วเลิกหน้ากากออกเบาๆ เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอย่างเงียบเชียบโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น เขาก้มหน้าชำเลืองตามองจูเหลี่ยนแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้จริงๆ”

จูเหลี่ยนยกมือปิดหน้า แสร้งทำท่าเขินอายเหมือนเด็กสาว พูดเลียนแบบน้ำเสียงเผยเฉียนว่า “ลำบากใจจังเลย”

เว่ยป้ออดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็จากไปเหมือนกัน เพียงแต่ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “น่าขนลุก!”

จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ลุกขึ้นยืน เดินยืดเอวตรง เอาสองมือไพล่ไว้ด้านหลัง

พระอาทิตย์ดวงใหญ่โผล่พ้นทะเลเมฆทางทิศตะวันออก สาดสะท้อนให้จูเหลี่ยนยิ่งดูมีชีวิตชีวา ประกายแสงไหลเวียนวนอาบไล้ไปทั่วร่าง ประหนึ่งเทพเซียนในเทพเซียน

เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็แปะหน้ากากกลับลงบนใบหน้าปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากจัดระเบียบตัวเองอย่างตั้งใจแล้วก็หิ้วเหล้าสองกาเดินลงจากภูเขาไป เฉินยวนจีกำลังฝึกหมัดพลางเดินขึ้นเขามาพอดี

เห็นผู้อาวุโสที่เรือนกายงองุ้ม นางก็เกือบจะสะบั้นปณิธานหมัดเพื่อหยุดทักทายอีกฝ่าย เพียงแต่พอนึกถึงบทสนทนาเปิดใจเมื่อคืน เฉินยวนจีก็ฝืนดึงลมปราณเฮือกหนึ่งขึ้นมารักษาปณิธานหมัดไม่ให้จมดิ่ง ไม่ให้ขาดสะบั้นแล้วออกหมัดต่อไป

จูเหลี่ยนพยักหน้า เดินสวนไหล่กับนางไป

จนกระทั่งมาถึงยอดเขา เฉินยวนจีจึงเก็บท่าหมัด หันหน้าไปมอง ยังคงมองเห็นแผ่นหลังผอมบางเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารได้อย่างเลือนราง เด็กสาวคิดในใจว่า บุรุษอย่างเทพเซียนผู้เฒ่าจูนี้ ตอนที่เป็นหนุ่ม ต่อให้หน้าตาจะไม่หล่อเหลา แต่ก็ต้องมีสตรีมากมายชื่นชอบเขากระมัง?

จูเหลี่ยนมาถึงเรือนของเผยเฉียนกับเฉินหรูชู เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเริ่มลุกขึ้นมาทำงานง่วนแล้ว

เผยเฉียนยังต้องนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงอย่างแน่นอน หากพูดโดยใช้คำพูดของนางก็คือ สหายที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือผ้าห่มในยามค่ำคืน ศัตรูที่เอาชนะได้ยากที่สุดในโลกนี้ ก็คือผ้าห่มในยามเช้าตรู่ ยังดีที่นางเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน

หลังจากยิ้มทักทายเฉินหรูชูแล้ว จูเหลี่ยนก็เคาะประตูอย่างแรง เผยเฉียนตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ถามว่า “ใครกัน?”

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีเอ่ย “นายน้อยไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว”

หัวใจเผยเฉียนบีบตัวแน่น พลันเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “พ่อครัวผู้เฒ่าจู อาจารย์นั่งเรือข้ามทวีปของวันพรุ่งนี้ เจ้าคิดจะหลอกใครน่ะ?”

จูเหลี่ยนร้องอ้อหนึ่งที “งั้นเจ้าก็นอนต่อเถอะ”

เผยเฉียนนั่งอึ้งอยู่บนเตียง จากนั้นก็เริ่มด่าเสียงดัง “พ่อครัวผู้เฒ่าจู เจ้าอย่าหนีนะ แน่จริงเจ้าก็ให้ข้าใช้สองมือสองเท้า ไม่กะพริบตาสักครั้ง รอกินวิชากระบี่มารคลั่งทั้งชุดของข้าได้เลย!”

“ไม่แน่จริง” จูเหลี่ยนกล่าวจบก็ทะยานจากไปไกล

เผยเฉียนจะนอนก็ไม่ใช่ ไม่นอนก็ไม่ใช่ จึงได้แต่กลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง ตบตีผ้าห่มสุดแรง

วันนี้เฉินผิงอันออกจากภูเขาลั่วพั่วตอนเที่ยงวัน ตลอดทางมีเผยเฉียนคอยติดตามอยู่ข้างกาย พูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขาอยู่ครู่หนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าเจิ้งต้าเฟิงรำคาญจนต้องไล่อาจารย์และศิษย์คู่นี้ไป ตอนนี้การก่อสร้างตรงประตูภูเขาอยู่ในช่วงท้ายแล้ว เจิ้งต้าเฟิงยุ่งมาก ทำเอาเผยเฉียนโมโหไม่น้อย

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พาเผยเฉียนไปที่เมืองเล็กมารอบหนึ่ง ไปเยือนหลุมศพของพ่อแม่เขาก่อน แล้วคืนนั้นก็อยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงคล้ายการเฝ้าคืน

พอฟ้าสาง เขาก็ไม่ได้บอกให้เผยเฉียนตามไป แต่ตรงไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนภูเขาหนิวเจี่ยวโดยตรง มีเว่ยป้อติดตามไปด้วย พวกเขาขึ้นเรือข้ามทวีปของชายหาดโครงกระดูกลำนั้นไปด้วยกัน เว่ยป้อใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจบอกเฉินผิงอัน “ระหว่างทางอาจมีคนไปพบเจ้า อยู่ในต้าหลีของพวกเราก็นับว่ามีสถานะสูงศักดิ์ยิ่ง”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ แต่ก็ยังมีความไม่แน่ใจอยู่เล็กน้อย จึงมองไปยังเว่ยป้อ เว่ยป้อพยักหน้าให้เบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วางใจเถอะ ข้ารับมือได้”

เว่ยป้อเอ่ย “ข้าย่อมวางใจอยู่แล้ว อาณาเขตขุนเขาเหนือนี่นะ”

หลังจากที่ร่างของเว่ยป้อหายไป เฉินผิงอันก็ไม่สนใจสายตาซับซ้อนของผู้คนที่อยู่รอบด้าน เพียงมุ่งตรงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุด

พอมาถึงห้อง เฉินผิงอันก็มายืนตรงราวระเบียงชมทัศนียภาพ เรือข้ามฟากลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ เฉินผิงอันสวมชุดสีเขียว สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าหยก ก้มหน้าลงมองแผ่นดินอันเป็นอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต ภูเขาและยอดเขา แม่น้ำและลำคลอง ล้วนปรากฏอยู่ในสายตาทั้งหมด

จะต้องจากบ้านเกิดไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้อีกแล้ว

……

บนหน้าผาแห่งหนึ่งที่มีเมฆหมอกโอบล้อม ตั้งแต่ด้านบนลงมาเบื้องล่างสลักตัวอักษรสี่คำใหญ่ว่า ‘สวรรค์สร้างเซินสิ่ว’

สตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งกับถ่านดำน้อยคนหนึ่งนั่งเคียงบ่ากันอยู่บนขีดขวางขีดแรกของตัวอักษร ‘สวรรค์’ (หรือตัวอักษรเทียน 天)

เผยเฉียนแกว่งขาสองข้างที่ห้อยพ้นไปนอกหน้าผาอย่างลิงโลด พลางยิ้มตาหยีพูดทวงความดีความชอบไปด้วย “พี่หญิงซิ่วซิ่ว ขนมหมาฮวาสองถุงนี้อร่อยใช่ไหมล่ะ ทั้งหอมทั้งกรอบ อาจารย์ซื้อมาจากสถานที่แห่งหนึ่งที่ไกลมากๆ”

หร่วนซิ่วเองก็ยิ้มจนตาหยี พยักหน้ารับ “อร่อย”

—–