ตอนที่ 1462 ค่ำคืนที่แสนยาวนาน

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1462 ค่ำคืนที่แสนยาวนาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลา 24.00

ไฟในโรงเก็บเครื่องบินส่องสว่าง

หินเรืองแสงทั้งหมดถูกเอามารวมไว้ที่นี่ นอกจากเพื่อให้ความสว่างแล้ว พวกมันบางส่วนยังถูกเอาไปติดตั้งไว้บนเครื่องบินเพื่อชดเชยแสงสว่างที่มีไม่พอด้วย

ครั้งนี้อัศวินอากาศจะออกปฏิบัติการทั้งหมด เครื่องบิน 200 กว่าลำไม่เพียงแต่จะเป็นกองกำลังทางอากาศที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มีอยู่ในตอนนี้ แต่พวกมันยังเป็นความหวังของมนุษย์ทั้งหมดด้วย

เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินจำนวนหลายร้อยคนต่างเข็นรถคันเล็กๆ ไปในโรงเก็บเคื่องบินเพื่อตรวจสอบเครื่องบินแต่ละลำ ส่วนหัวหน้าของพวกเขาก็คืออันนา เธอมัดผมสวมรองเท้าบู๊ท ท่าทางที่จริงจังกับการทำงานทำให้หลายๆ คนประทับใจอย่างมาก แล้วก็ทำให้บรรยากาศดูตรึงเครียดขึ้นด้วย

โรแลนด์เองก็เหมือนกัน แก้มที่เปื้อนน้ำมันนิดหน่อยและดวงตาสีฟ้าเหมือนอัญมณีตรึงตราอยู่ในสมองของเขา

เวลา 1.30

เครื่องบินที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วเริ่มทำการเติมน้ำมันเครื่อง

พัดลมระบายอากาศทุกตัวทำงานเต็มกำลังเพื่อระบายกลิ่นน้ำมันที่อยู่ในอากาศ

เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้แสงสว่างอะไรมากนัก ขณะเดียวกันก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ขั้นตอนนี้จึงทำขึ้นพร้อมกันในโรงเก็บเครื่องบินและลานบิน

เครื่องบินที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาฝูงบินก็คือเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำ

ถึงแม้ขนาดของมันจะเล็กลงกว่าที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรก แต่ขนาดของมันก็ยังคงใหญ่อย่างมากอยู่ดี ปีกที่ยาวมากกว่า 30 เมตรและตัวเครื่องสีดำทำให้มันดูโดดเด่นอย่างมาก

การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ของฟินิกส์ทำให้มันต้องบินด้วยปริมาณน้ำมันที่น้อย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือตัวเครื่องที่มีความสมบูรณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้กองวิศวกรรมสามารถสร้างเครื่องบินขึ้นมาได้สองลำก่อนที่จะเริ่มแผนการ

แต่แน่นอน สิ่งที่ดูสะดุดตาของมันไม่ได้มีแค่ ‘ความใหญ่’ ของมันเท่านั้น

ตรงช่วงท้องเครื่องบินที่มีกองทัพที่หนึ่งและแม่มดอาญาสิทธิ์ปกป้องอยู่อย่างแน่นหนาเองก็แสดงให้เห็นถึงความไม่ธรรมดาของมัน — ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะไม่เคยเห็นหน้าตาของอาวุธที่ฝากความหวังเอาไว้ว่าเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังรู้ว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำนี้น่าจะเป็นหัวใจสำคัญของการรบ

เวลา 3.00

อัศวินอากาศมารวมตัวกันเพื่อทบทวนเส้นทางเป็นครั้งสุดท้าย

“จำเอาไว้ ตอนกลางคืนไม่มีอะไรจะที่จะเป็นตัวบอกทิศทางให้กับพวกเจ้าได้ ดวงดาวบนท้องฟ้าจะทำให้พวกเจ้าสับสน แสงสว่างบนพื้นคือกองไฟของศัตรู!” ทิลลียืนตะโกนอยู่บนแท่น “สิ่งเดียวที่พวกเจ้าเชื่อถือได้ มีแค่แสงไฟจากปลายหางของเครื่องบินลำหน้าเท่านั้น! ลืมตาและมองดูตำแหน่งของเพื่อนเอาไว้ ทันทีที่ออกไปจากเกาะลอยฟ้า พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีก!”

“ถ้าทุกอย่างราบรื่น พวกเราจะไปถึงพื้นที่เป้าหมายในเวลาเช้ามืด หลังจากนั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดทั้งสองลำจะทำการทิ้งระเบิด — ในระหว่างที่ทำการทิ้งระเบิดนี้ หน้าที่ของพวกเจ้าคือพยายามปกป้องเครื่องบินทิ้งระเบิดเอาไว้อย่างเต็มที่ กำจัดศัตรูที่พยายามจะเข้ามาใกล้ ไม่ว่ามันจะเป็นอสูรสยองหรือว่าปีศาจระดับสูง!”

“ฟังให้ดี เนื่องจากการทิ้งระเบิดทั้งสองลูกมีการเว้นช่วงห่างกัน อีกทั้งพลังทำลายล้างอันมหาศาลของระเบิด ดังนั้นห้ามไม่ให้เข้าใกล้เป้าหมายมากเกินไป ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ฝูงบินต้องรีบถอยทันทีที่ทิ้งระเบิดเสร็จ — ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงอนุญาตให้ล้มเหลวได้ แต่ทรงไม่อนุญาตให้เอากองกำลังของมนุษย์ไปฝังบนสนามรบ ขอเพียงท้องฟ้ายังเป็นของพวกเรา พวกเราก็ยังมีความหวังอยู่!”

“ไปเขียนประวัติศาตร์หน้าใหม่ของมนุษย์กันเถอะ —- ปฏิบัติการครั้งนี้ ข้าจะออกไปกับพวกเจ้าด้วย!”

“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง!” ทุกคนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน

เวลา 3.50

“บอกตามตรง ข้ารู้สึกกังงวลนิดหน่อย”

ตรงข้างบันไดของฟินิกส์ โรแลนด์มองเห็นมือของทิลลีกำลังสั่นเบาๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอีกฝ่ายแสดงสีหน้ากังวลแบบนี้ออกมา

ตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเวลาขึ้นบินตามที่กำหนดเอาไว้ เครื่องบินจำนวน 200 ลำหากเป็นอีกโลกหนึ่งก็เพียงพอที่จะออกไปปฏิบัติการโจมตีได้ 4 – 5 รอบ นี่จึงจำเป็นต้องทำการจัดแถวก่อนขึ้นบินเพื่อที่จะได้ไม่หลุดออกจากแถวไปในระหว่างที่บินอยู่บนฟ้า

“กลัวงั้นเหรอ?”

“ก็อาจจะ…” เธอพยักหน้าก่อน แต่หลังจากนั้นก็ส่ายหน้าขึ้นมา “แต่ข้าคิดว่ามันเป็นการเฝ้ารอคอยมากกว่า ท่านพี่ ท่านยังจำที่เราตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม? ข้าคิดว่าวันนั้นมันใกล้จะมาถึงแล้ว ข้าเลยสะกดอารมณ์เอาไว้ไม่ค่อยอยู่”

เมื่อสงครามแห่งโชคชะตาสิ้นสุดลง แอชเชสจะกลับมาอีกครั้ง นี่คือความเชื่อที่ทำให้เธอยืดหยัดต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ได้

“อื้อ ข้าจำได้” โรแลนด์พูดเสียงอ่อนโยน “แต่สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัยก่อน เจ้าถึงจะพิสูจน์ได้ว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า”

ทิลลีเงยหน้าขึ้นมา “ท่านพี่ ท่านกอดข้าหน่อยได้ไหม?”

เขาค่อยๆ กางแขนออกแล้วโอบเอาร่างกายเล็กๆ นั้นเข้ามาในอ้อมอก ส่วนอีกฝ่ายก็โน้มตัวลงไป ก่อนจะเอาหน้าผากแนบอิงไปบนหน้าอกเขา — เวลาเหมือนย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อน เธอก็ร้องไห้อยู่ในอ้อมอกของเขาแบบนี้เหมือนกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง การหายใจของทิลลีก็สงบลง

“ข้าไปล่ะ” เธอถอยหลังไปสองก้าว

“ไปเถอะ”

เธอขึ้นไปบนเครื่องแล้วดึงเอากระจกครอบลงมา ก่อนจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างกับโรแลนด์

เมื่อดูจากรูปปากแล้ว เธอกำลังพูดว่า ‘ขอบคุณ’

บันไดขึ้นเครื่องถูกถอดออก ใบพัดค่อยๆ หมุนขึ้นมา

เวลา 4.20

ประตูหมายเลขหนึ่งถึงหมายเลขสิบถูกเปิดออก เครื่องบินทยอยบินออกไปจากยานแม่

ซิลเวียใช้ดวงตาเวทมนตร์คอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยเตือนเครื่องบินที่อาจจะหลุดออกนอกแถวให้บินกลับมาในเส้นทางที่ถูกต้อง — ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด เครื่องบินจำนวน 200 กว่าลำบินวนอยู่รอบเกาะลอยฟ้าเหมือนฝูงหิ่งห้อย

และนี่ก็เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายที่สุด นักบินที่ขาดเรดาร์ในการนำทางและอุปกรณ์สำหรับมองในเวลากลางคืนนั้นไม่สามารถแยกแยะท้องฟ้ากับพื้นดินได้ และเมื่อเครื่องบินที่บินขึ้นมามีจำนวนมากขึ้น แสงไฟบอกตำแหน่งบนตัวเครื่องบินที่ลอยไปลอยมาไม่นิ่งก็อาจจะทำให้อัศวินอากาศสับสน ถ้าไม่เป็นเพราะซิลเวียคอยสั่งให้ไลต์นิ่งกับเมซี่ไปเคาะกระจกเครื่องบินที่อาจจะเกิดปัญหา เกรงว่าคงจะต้องสูญเสียเครื่องบินไปหลายลำในระหว่างนี้

เวลา 4.55

โรแลนด์ออกคำสั่งออกรบผ่านทางสถานีวิทยุไร้สาย

ซีกัลป์และฟินิกส์บินขึ้นไปก่อนในฐานะจ่าฝูง จากนั้นก็เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดสองลำ — พวกมันถูกตั้งชื่อให้ว่า ‘คุนเผิง’ และ ‘พีซอาร์ค’ แล้วก็เป็นหัวหน้าสำคัญของทั้งสองขบวนรบ

หลังจากนั้นก็เป็นฝูงบินเฮฟเว่นเฟลมและฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นที่ทำหน้าที่คุ้มครอง ถึงแม้พวกมันจะถูกแบ่งออกเป็นสองขบวน แต่นั่นก็แค่เพื่อความสะดวกในการบินเวลากลางคืนเท่านั้น — สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดลำไหนก็ล้วนแต่สำคัญอย่างยิ่ง ห้ามไม่ให้เสียไปแม้แต่ลำเดียว

สุดท้ายคนที่ตามออกมาก็คือไลต์นิ่งกับเมซี่

ทั้งสองคนโบกมือลาโรแลนด์ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด บนซีกัลยังมีซาวี เวนดี้ แอนเดรีย ซิลเวีย ศึกครั้งนี้มนุษย์เรียกได้ว่าทุ่มกองกำลังทางอากาศไปทั้งหมด

ไม่นาน ฝูงบินขนาดใหญ่ก็ถูกความมืดกลืนกินไป ก่อนจะหายลับไปในขอบฟ้า

โรแลนด์จ้องมองไปทางที่ทุกคนจากไป

“ต่อให้ไม่เคยเชื่อพระเจ้า แต่สิ่งที่ทำได้ในเวลาแบบนี้คงมีแค่สวดภาวนาเท่านั้นแหละเพคะ..” ไนติงเกลถอนใจออกมาเบาๆ

เขาพยักหน้าเล็กน้อย

เกรงว่านี่คงเป็นความคิดของทุกคนที่อยู่ที่นี่เหมือนกัน

พวกเขาได้ทำทุกสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้หมดแล้ว

หลังจากนี้ก็เป็นการรอคอยที่ยากลำบากและทุกข์ทรมาน รอคอยให้ถึงเวลาที่กำหนดโชคชะตา

“แต่ที่โชคดีก็คือ พวกเราไม่ต้องรอนานขนาดนั้นแล้วเพคะ” อันนามองไปยังขอบฟ้าที่มืดมิด “ฟ้า…ใกล้สางแล้ว”

……………………………………………….