บทที่ 2887 ถูกมองข้าม 3
“ทำไมสองสามวันนี้ถึงไม่ได้?”
“ท่านค่อนข้างคออ่อน และพวกเรายังต้องนอนรวมห้องกัน ข้ากลัวท่านจะเมาแล้วมาล่วงเกินข้า” ตี้ฝูอีเอ่ยหน้าตาย
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
ล่วงเกินกับหัวเจ้าสิ!
เธอไม่ได้ทึ่มขนาดนั้นเสียหน่อย!
อย่างไรก็ตาม การดื่มของเธอก็ค่อนข้างไว้ใจไม่ได้จริงๆ ขนาดเธอยังไม่ไว้ใจตัวเองสักเท่าไหร่เลย…
รอให้เรื่องที่นี่จบแล้ว เธอจะไปหาเหลาสุราที่ไม่มีคนรู้จักแล้วดื่มคนเดียว
กู้ซีจิ่วกินอาหารที่นี่ไปไม่น้อยเลย ค่อนข้างจุกเล็กน้อย ตี้ฝูอีจึงพานางไปเดินเล่นบนท้องถนนเพื่อย่อยอาหาร
เมื่อมีตัวตนระดับตี้ฝูอีอยู่ที่นั่น ทุกอากัปกริยาของเขาล้วนสามารถดึงดูดสายตาของคนนับไม่ถ้วนให้มองตามได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังมีน้ำอดน้ำทนคอยดูแลหญิงสาวนางหนึ่งอย่างยากจะพบเห็นได้ เมื่อทั้งสองคนเดินด้วยกัน ระหว่างทางย่อมได้รับสายตาและเสียงซุบซิบนินทานับไม่ถ้วน บางคนที่สอดรู้สอดเห็นอย่างหนักก็ถึงขั้นคอยตามอยู่ห่างๆ ด้วย
“อาจิ่ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ตี้ฝูอีถามนาง
“รู้สึก…ชิงชังยิ่ง” กู้ซีจิ่ววิจารณ์ไปตามจริง “ชะตาดอกท้อของเจ้าช่างพรั่งพร้อมนัก ข้าสามารถสัมผัสได้ว่าสตรีมากมายที่อยากจะสังหารข้าใจจะขาดแล้ว…จะว่าไป คงมิใช่ว่าเจ้าจงใจลากข้ามาเป็นไม้กันหมากระมัง?”
“หึงแล้วหรือ?”
“…พ่อหนุ่ม เจ้าคิดมากไปแล้วจริงๆ…ข้าแค่รู้สึกว่าการเป็นไม้กันหมาให้ผู้อื่นก็อันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ชะตาดอกท้อของเจ้าพรั่งพร้อมยิ่ง เจ้าไม่เห็นท่านหญิงน้อยคนนั้นหรือไง ตอนที่เจ้ากับข้าจากมา สายตาของนางจ้องมองข้าจากด้านหลังราวกับอยากจับข้ากินทั้งเป็นไม่มีผิด” ทำให้เธอเสียวสันหลังอยู่บ้าง
ตี้ฝูอีมองเธอแวบหนึ่ง “เทพผู้สูงส่งอย่างท่าน ยังต้องกลัวนางอีกหรือ?”
เรื่องกลัวน่ะไม่กลัวหรอก แค่รู้สึกว่าวุ่นวาย
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าต้องเล่นละครเป็นสามีภรรยากับท่าน อันที่จริงก็ลำบากมากเช่นกัน ทันทีที่ลูกศิษย์สุดที่รักของท่านทราบถึงความสัมพันธ์ของพวกเรา เกรงว่าคงอยากจะควักหัวใจข้าเสีย! ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ กู้ซีจิ่วก็ใจฝ่ออยู่บ้าง กระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “ข้าไม่ได้ขอร้องเจ้าสักหน่อยนี่ เดิมทีคิดจะให้อินจิ่วซือทำ เพียงแต่เจ้า…”
“ต่อให้อินจิ่วซือจะมีความสามารถสักแค่ไหนก็เป็นแค่ว่าที่ราชันของภพมาร วรยุทธ์มีจำกัด หากว่าศิษย์ของท่านติดสินใจจะปองร้ายเขา ท่านคิดว่าเขาจะรอดหรือ?”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว
ปัญหาข้อนี้อันที่จริงเธอก็เคยพิจารณาถึงแล้ว แล้วคิดทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว ถ้าเธอยังอยู่ฟั่นเชียนซื่อก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรอินจิ่วซือแน่
แต่เมื่อเธอดับขันธ์ ก่อนดับขันธ์เธอจะบอกความจริง จากนั้นจะบังคับให้ฟั่นเชียนซื่อสาบานว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่คิดร้ายต่ออินจิ่วซือ
การเอ่ยสาบานกับเทพคือการให้คำสัตย์ปฏิญาณ อีกอย่างเมื่อฟั่นเชียนซื่อทราบความจริง ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของอินจิ่วซือ ไม่มีทางยอมเสี่ยงเล่นงานอินจิ่วซือแล้วถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรอก
แน่นอน วาจาเหล่านี้เธอไม่อาจบอกกับตี้ฝูอีได้
อันที่จริงเธอสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง “เจ้าเสนอตัวรับภาระนี้ เพราะเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับอินจิ่วซือหรือ?”
ตี้ฝูอีชะงักเท้า มองนางด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดว่าเป็นเช่นนี้?”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “แม้แต่ศิษย์ของข้าเจ้าก็ยังไม่ยอมเป็น กดดันให้ข้าเพิกถอนพันธะศิษย์อาจารย์อยู่หลายต่อหลายครั้ง ไม่มีทางอยากจะมาข้องแวะกับข้าอยู่แล้วใช่ไหม? ครั้งนี้ที่จู่ๆ ก็รับภาระที่ยุ่งยากนี้ คอยเล่นละครร่วมกับข้าตลอดเวลา ข้าคิดหาสาเหตุที่ทำให้เจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวเช่นนี้ไม่ออกเลย”
ตี้ฝูอีมองนางอยู่พักหนึ่ง นางก็มองตอบเขาเช่นกัน ดวงตาใสกระจ่างสงบราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าคิดแบบนี้จริงๆ
เขาเอ่ยอย่างทีเล่นทีจริง “บางทีถ้าข้าชอบท่านจริงๆ ไม่อยากเป็นศิษย์ของท่าน อยากเป็นเพียงสามีของท่านเล่า?”
กู้ซีจิ่วผงะไป มองเขาตามสัญชาตญาณ “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“ข้าบอกว่าบางที บางทีอาจจะจริงก็ได้”
————————————————————————————-
บทที่ 2888 ถูกมองข้าม 4
“เช่นนั้นสัญญาของพวกเราก็สิ้นสุดลงตรงนี้ ข้าไม่คิดจะพัวพันกับหนี้รักอันใด! ละครฉากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นต่อแล้ว!” สีหน้าของกู้ซีจิ่วเยียบเย็นลงเล็กน้อย
แววตาตี้ฝูอีหม่นหมองลง เอ่ยอย่างเฉยเมย “ท่านเดาถูกแล้ว”
“หา?”
“อินจิ๋วซือคือราชันแห่งภพมารที่ข้าเสาะแสวงหามาอย่างยากลำบาก ไม่อยากให้เขาต้องสิ้นชีพ หรือพลาดพลั้งไปก่อน เนื่องจากเรื่องนี้ ข้าย่อมต้องมารับแทนเขา อีกอย่างข้าก็ไม่กลัวการล้างแค้นเอาคืนจากลูกศิษย์ของท่านด้วย”
สีหน้าของเขาคล้ายจะสื่อว่า ‘ข้าไม่ลงนรกแล้วผู้ใดจักลงนรกเล่า’ กู้ซีจิ่วโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลึกๆ ในใจจึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ค่อนข้างหงุดหงิด
แน่นอน ความอึดอัดนี้แล่นเข้ามาในหัวใจเพียงแวบเดียว จากนั้นเธอก็ไม่เก็บมาใส่ใจอีกเลย
….
ล่วงเข้ายามดึกแล้ว
ในโรงเตี๊ยมของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งด้านนอกภพมาร ฟั่นเชียนซื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาคืออินหมิงจูธิดาของจอมมาร
อินหมิงจูกำลังรายงานเบาะแสร่องรอยที่ภพมารในไม่กี่วันมานี้ของตี้ฝูอีให้เขาทราบอยู่ ในตอนท้ายสุด นางยังคงโอบกอดความหวังสายหนึ่งเอาไว้ “ราชครูตี้ผู้นี้มาเยือนภพมารแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับผู้อื่นเลย ทว่าไปพบหน้าเสด็จพ่อของข้าอยู่สองสามครั้ง เจ้าว่า เขาคิดจะช่วยเหลือเสด็จพ่อของข้า ช่วยให้เสด็จพ่อของข้าทวงอำนาจกลับคืนมาจากผู้สำเร็จราชการหรือเปล่า?”
ฟั่นเชียนซื่อไม่ออกความเห็น เพียงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “เขาคุยอะไรกับพระบิดาของเจ้า? พระบิดาของเจ้าได้บอกเจ้าหรือไม่?”
อินหมิงจูผงะไป ส่ายหน้า “เสด็จพ่อกับเขาพบหน้ากันเป็นการส่วนตัวยิ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างไม่พาข้ารับใช้ไปด้วยสักคนเลย ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาคุยอะไรกันแน่”
“เจ้าไม่ได้ถามหรือ?”
“ถามแล้ว เสด็จพ่อบอกว่าตี้ฝูอีเพียงพูดคุยเรื่องประเพณีวัฒนธรรมบางอย่างของภพมารกับพระองค์เท่านั้น ไม่ได้คุยอย่างอื่นเลย”
ฟั่นเชียนซื่อแค่นหัวเราะคราหนึ่ง “คนอย่างตี้ฝูอีกระทำการรอบคอบรัดกุมเสมอมา เขาจะไปๆ มาๆ เพียงเพื่อคุยสัพเพเหระกับพระบิดาของเจ้าหรือ? คำพูดเช่นนี้เจ้าก็ยังเชื่อเข้าไปได้!”
ดวงหน้าเฉิดฉันของอินหมิงจูแดงเถือกอยู่บ้าง “เสด็จพ่อไม่เคยปิดบังเรื่องใดต่อข้าเลย ไม่มีทางโกหกข้า!”
จอมมารเป็นคนช่างจ้อคนหนึ่ง ไม่เคยเก็บซ่อนเรื่องราวในใจเลย มีเรื่องที่ชอบใจก็จะเล่าให้ธิดาคนนี้ฟัง ดังนั้นปกติแล้วจอมมารจึงไม่เคยมีเรื่องปิดบังธิดาคนนี้เลย
หากว่าตี้ฝูอีบรรลุข้อตกลงอันใดกับจอมมาร จอมมารน่าจะบอกกับนางไปแล้ว ไม่มีทางปิดบัง
ฟั่นเชียนซื่อกลับไม่เชื่ออยู่บ้าง “ไร้เดียงสา! ถึงอย่างไรพระบิดาของเจ้าก็เป็นกษัตริย์ผู้ครองแคว้น เขาจะต้องตริตรองถึงแว่นแคว้นของเขาอยู่แล้ว เมื่อเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องราวใหญ่โตของภพมาร ไหนเลยจะเอามาบอกเล่าเก้าสิบกับเจ้า? เจ้ายังคงต้องกลับไปสืบข่าวมาให้ดี พวกเขาพบกันแล้วพูดคุยอันใดกันแน่”
“…ได้! เพียงแต่ ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าตี้ฝูอีอาจจะต้องการส่งเสริมท่านพ่อของข้าจริงๆ”
ฟั่นเชียนซื่อยิ้มเยาะ “ราชันของแต่ละภพที่ตี้ฝูอีส่งเสริมล้วนเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่อง พระบิดาเจ้าเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะเข้าตาเขาได้?”
อินหมิงจูพลันสะอึก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “เสด็จพ่อของข้าเป็นเช่นใด? เขาเพียงถูกผู้สำเร็จราชการควบคุมไว้เท่านั้น! เมื่อเขาได้อำนาจกลับคืนมา ก็จะเป็นกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องเช่นกัน! เจ้า…เจ้าก็มิใช่เพราะจุดนี้หรอกหรือถึงได้อยากส่งเสริมเสด็จพ่อของข้า? แล้วไยตอนนี้ถึง…”
ฟั่นเชียนซื่อก็ทราบว่าตนเอ่ยผิดไปแล้ว จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้อนี้ข้าทราบดี แต่ตี้ฝูอียังไม่แน่ว่าจะทราบ เพียงเกรงว่าเขาอาจจะไม่จริงใจต่อพระบิดาของเจ้า ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสมคบคิดเล่นละครกับผู้สำเร็จราชการก็ได้ ตั้งใจมาหลอกลวงพระบิดาของเจ้า ด้วยเหตุนี้ หลังจากเจ้ากลับไปแล้วก็เตือนสติพระบิดาของเจ้าให้มากหน่อย อย่าปล่อยให้เขาหลงกลตี้ฝูอี เจ้าวางใจเถอะ ในเมื่อข้าตกลงส่งเสริมพระบิดาของเจ้าแล้ว ก็ไม่มีทางคืนคำ ข้าคือศิษย์ของเทพผู้สร้างโลก มีข้าออกหน้าปกป้องพระบิดาเจ้า คนอื่นไหนเลยจะกล้าพูดเป็นอื่น? จะต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับพระบิดาของเจ้าแน่”