การโจมตีด้วยพลังวิญญาณเป็นทักษะการโจมตีที่มีเพียงจอมยุทธ์ระดับสูงเท่านั้นที่จะเข้าใจได้ มันเป็นการที่ใช้พลังวิญญาณของตนเพื่อโจมตีคู่ต่อสู้โดยตรงซึ่งส่งผลให้อีกฝ่ายเผชิญกับความเสียหายที่รุนแรงจากภายใน แน่นอนว่าในการโจมตีด้วยพลังวิญญาณนี้ พลังวิญญาณของฝ่ายที่ริเริ่มการโจมตีจะต้องแกร่งกล้ากว่าฝ่ายตรงข้าม
แม้ความแข็งแกร่งของจูยงจะอยู่ในขอบเขตราชาเซียนซึ่งเหนือกว่าฉินอวี้โม่ ทว่าต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะมีพลังวิญญาณแกร่งกล้าไปกว่านาง…
พลังวิญญาณของฉินอวี้โม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปหลายเท่าตัวและประสบการณ์อันโชกโชนที่ผ่านมาก็ช่วยเสริมสร้างพัฒนาให้พลังวิญญาณของนางแกร่งกล้ามากขึ้น ในตอนนี้แม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุด พลังวิญญาณของนางก็อาจจะไม่เสียเปรียบไปด้วยซ้ำ
*ซ์ซ์ซ์…*
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงลุกลามเข้ามาที่จิตวิญญาณและจูยงเริ่มหายใจอย่างติดขัด เขาเลิกคิ้วสูงและมองตรงไปยังฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะปลดปล่อยการโจมตีด้วยพลังวิญญาณได้เช่นนี้ สตรีร่างบางที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวผู้นี้มีพลังวิญญาณที่แกร่งกล้ายิ่งกว่าตัวเขาเสียอีกและมันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งอย่างที่สุด
การโจมตีด้วยพลังวิญญาณของฉินอวี้โม่ก็บีบบังคับให้จูยงต้องถอนแรงกดดันกลับมาซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก
“เหอะ พวกเจ้าตระกูลจูไม่เห็นหัวนายอำเภออย่างข้าเลยรึ ?!”
จ้าวตั๋วผู้ซึ่งกำลังจะลงมือทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือสิ่งใด เขาแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวตำหนิการกระทำของจูยงในขณะที่รู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้น
ด้วยพลังวิญญาณที่แกร่งกล้าเช่นนี้ กล่าวได้เลยว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป ในการคัดเลือกเข้าสามสำนักและเก้านิกายในครานี้ เขาเชื่อว่านางจะทำให้ทั้งยุทธภพต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“ก็แค่ทักทายกันเท่านั้น ถึงอย่างไร…ชายแก่ผู้นี้ก็สงสัยใคร่รู้มากว่าอัจฉริยะคนใหม่ของอำเภอซ่างหยวนจะเป็นอย่างไร !”
จูยงกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนลงและไม่ต้องการทำให้จ้าวตั๋วขุ่นเคืองใจ แม้ความแข็งแกร่งของจ้าวตั๋วจะด้อยกว่าตัวเขาเล็กน้อย ทว่าในฐานะนายอำเภอผู้ปกครองอำเภอซ่างหยวน เขาก็มีอำนาจสูงสุดในการคัดเลือกครานี้ เกรงว่าการทำให้จ้าวตั๋วไม่พอใจในตอนนี้อาจส่งผลกระทบต่อแผนการทั้งหมดของพวกตนได้
“เหอะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าตระกูลจูของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
จ้าวตั๋วแค่นเสียงในลำคอและกล่าวต่อ “ข้าขอเน้นย้ำให้ชัดเจน ในการคัดเลือกครานี้ สิทธิ์ในการตัดสินว่าผู้ใดจะได้เข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไปของเมืองรองขึ้นอยู่กับข้าเท่านั้น หากพวกเจ้ากล้าคิดไม่ซื่อในการคัดเลือกนี้ อย่ามากล่าวโทษข้าแล้วกันที่ข้าจะตัดสิทธิ์ศิษย์ทั้งหมดในตระกูลจูของพวกเจ้า !”
หลังจากกล่าวจบ นายอำเภอจ้าวตั๋วก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีกและเดินตรงไปยังสังเวียนที่จัดไว้ล่วงหน้าสำหรับการประลองฝีมือ
ทุกคนทั่วลานจัตุรัสก็มองเห็นว่าจูยงได้รับผลกระทบจากการตอบโต้ของฉินอวี้โม่และมีความสุขอยู่ในใจ ชื่อเสียงของตระกูลจูในอำเภอซ่างหยวนมักจะเสื่อมเสียอยู่เสมอและการที่ได้เห็นตระกูลจูต้องเสียหน้าเช่นนี้ย่อมทำให้ทุกคนยินดีเป็นอย่างมาก !
“ทุกคน การคัดเลือกครานี้จัดขึ้นเพื่อหาศิษย์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นผ่านเข้าไปยังรอบเมืองรองเพื่อรับการคัดเลือกในรอบต่อ ๆ ไปและอาจถึงขั้นได้รับเลือกให้เข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกายในท้ายที่สุด เพราะเหตุนั้น เพื่อให้มีความยุติธรรมและความโปร่งใสมากที่สุด ทุกคนที่มีอายุน้อยกว่าสามสิบปีและมั่นใจในฝีมือของตนเองสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกได้ทั้งหมด ทว่ามีเพียงผู้ชนะสิบคนสุดท้ายเท่านั้นจะได้ไปที่เมืองรองเพื่อเข้าสู่การคัดเลือกรอบต่อไป”
อันที่จริง จ้าวตั๋วไม่ชอบหน้าคนตระกูลจูเท่าใดนักและไม่ต้องการให้บรรดาศิษย์ของพวกเขาเข้าร่วมการคัดเลือกด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกเพื่อค้นหาศิษย์ฝีมือดีเข้าร่วมสามสำนักและเก้านิกายมักให้ความสำคัญกับความเที่ยงธรรมมาเสมอและจะไม่เข้าข้างหรือปฏิบัติต่อตระกูลใดดีเป็นพิเศษเพราะภูมิหลังของคนเหล่านั้น แม้แต่การคัดเลือกของอำเภอเล็ก ๆ แต่ละแห่งก็ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ด้วยความยุติธรรม…
ในความเป็นจริง ทั่วทั้งดินแดนแห่งนี้ก็มีคนธรรมดาจำนวนมากที่มีพรสวรรค์โดดเด่นติดตัว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้รับโอกาสมากนักและไม่ได้โชคดีถึงขั้นที่เข้าร่วมกับขุมกำลังใหญ่ ๆ ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเกินไปที่พรสวรรค์เหล่านั้นจะต้องสูญเปล่าไป
ทุก ๆ คนส่งเสียงโห่ร้องด้วยความยินดีและคนจากเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลจำนวนมากก็ยิ้มออกมา การคัดเลือกครานี้้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา ต่อให้ไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไป ทว่าตราบใดที่แสดงผลงานได้ดีพอ พวกเขาก็อาจได้เข้าร่วมสองตระกูลใหญ่ของอำเภอซ่างหยวนหรือจวนนายอำเภอ และนั่นจะเป็นผลดีกับการฝึกยุทธ์ของพวกเขาอย่างมาก
“ทุก ๆ คนโปรดเงียบลงก่อน หลังจากที่ข้าหารือกับผู้อาวุโสหลายคนในจวนนายอำเภอและเจรจากับสองตระกูลใหญ่เพื่อตั้งกฎเกณฑ์แล้ว การคัดเลือกครานี้จะใช้ระบบการต่อสู้แบบพบกันหมด ทุกคนที่สมัครเข้าร่วมคัดเลือกจะต้องขึ้นมาที่สังเวียนนี้เพื่อประชันฝีมือกันและผู้ที่เหลือสิบคนสุดท้ายจะถือว่าเป็นผู้ชนะ ส่วนในการต่อสู้ ห้ามผู้ใดใช้กลอุบายชั่วร้ายและจงใจปลิดชีวิตคู่ต่อสู้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้น ต่อให้จะกลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะ คนผู้นั้นก็จะถูกตัดสิทธิ์จากการคัดเลือกนี้และถูกขับไล่ออกจากอำเภอซ่างหยวน ทุกคนเข้าใจชัดเจนดีหรือไม่ ?”
กล่าวได้ว่ากฎของการคัดเลือกนี้เรียบง่ายและถือว่าป่าเถื่อนพอสมควร ทว่ามันก็เป็นวิธีการที่ได้ผลลัพธ์เร็วที่สุดเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ได้สอบถามเพื่อรวบรวมข้อมูลมาแล้วและทราบว่ามีผู้เข้าร่วมการแข่งขันในครานี้เกือบหนึ่งร้อยคน ตระกูลใหญ่ทั้งสองจะส่งศิษย์เข้าร่วมมากกว่าสิบคนโดยส่วนที่เหลือคือสมาชิกจากตระกูลเล็ก ๆ และจอมยุทธ์อิสระจำนวนหนึ่ง ระบบการต่อสู้แบบพบกันหมดนี้จะช่วยให้ทุกคนมีโอกาสมากขึ้นทว่าในขณะเดียวกันมันก็ส่งผลให้จอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งบางคนตกเป็นเป้าหมายที่จะถูกกำจัดตั้งแต่เนิ่น ๆ
“ท่านนายอำเภอ หากใช้ระบบการต่อสู้แบบพบกันหมดเช่นนี้และทั้งสองตระกูลใหญ่จับกลุ่มรวมกัน พวกเราจะยังมีโอกาสอีกหรือ?”
ใครคนหนึ่งอดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้และมันเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็สงสัยเช่นเดียวกัน หากเลือกใช้การต่อสู้แบบพบกันหมดเช่นนี้โดยที่ไม่มีเงื่อนไขรองรับ บรรดาจอมยุทธ์อิสระก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องกังวลไป พวกเราได้พิจารณาถึงเรื่องนี้แล้ว”
จ้าวตั๋วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว
“เราจะเรียกทุกคนที่สมัครเข้าร่วมการคัดเลือกขั้นมาบนสังเวียนตามลำดับ คนจากทั้งสองตระกูลจะต้องกระจายตัวกันออกไปตามมุมต่าง ๆ และจะไม่มีโอกาสได้จับกลุ่มรวมกัน บนสังเวียนนี้ พวกเขาจะต้องแยกกันต่อสู้ เมื่อผู้ใดเพลี่ยงพล้ำก็จะตกรอบการแข่งขันไปและจะเป็นธรรมสำหรับทุกคน ส่วนท้ายที่สุดแล้วจะเหลือคนจากสองตระกูลใหญ่กี่คนและจะรับมือกันอย่างไรนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าเท่านั้น”
สังเวียนที่จัดเตรียมไว้สำหรับการคัดเลือกมีขนาดใหญ่มากและสามารถรองรับคนนับพันได้โดยไม่แออัด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินเตรียมเงื่อนไขของการคัดเลือกไว้อย่างเหมาะสมแล้ว
เดิมทีบรรดาศิษย์ของสองตระกูลใหญ่ก็แข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ อยู่ไม่น้อยและถือว่ามีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่า การที่พวกเขาถูกจัดให้แยกตัวกระจายกันทำให้เหล่าจอมยุทธ์อิสระมีโอกาสมากขึ้นและน่าจะมีหลายคนที่ร่วมมือกันเอาชนะศิษย์เหล่านั้นจนตกรอบการคัดเลือกไปได้
ทุกคนก็เข้าใจตรงกันและไม่มีใครคัดค้านใด ๆ
“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านสิ่งใด เราก็มาเริ่มกันเถอะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดคัดค้านกับเงื่อนไขดังกล่าว จ้าวตั๋วก็หยิบใบรายชื่อฉบับหนึ่งออกมาและเริ่มขานมัน
ทุกคนที่ถูกประกาศชื่อเดินขึ้นไปบนสังเวียนและทิ้งระยะห่างจากคนก่อนหน้าประมาณยี่สิบก้าว
ชื่อของฉินอวี้โม่ถูกขานเรียกในช่วงท้ายและในตอนนั้นก็มีผู้เข้าร่วมที่ยืนบนสังเวียนแล้วประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน
หลังจากกวาดสายมองรอบตัว ฉินอวี้โม่ก็พบว่าไม่มีคนตระกูลฉื่ออยู่ใกล้ตัวแม้แต่คนเดียว ข้างหลังนางคือสมาชิกจากตระกูลจูคนหนึ่ง ซ้ายมือคือจอมยุทธ์อิสระและทางขวามือคือสมาชิกตระกูลจูอีกคน จากนั้นจ้าวตั๋วก็ขานเรียกชื่ออีกครั้งและผู้ที่ก้าวขึ้นมาก็เป็นคนของตระกูลจูอีกเช่นกัน
ต้องกล่าวเลยว่าศิษย์ของตระกูลจููเหล่านี้ก็ถือว่าโชคดีพอสมควรที่ได้อยู่ไม่ไกลกันจนเกินไป
จอมยุทธ์อิสระทางซ้ายมือก็ยิ้มทักทายฉินอวี้โม่และไม่แสดงความเป็นปฏิปักษ์แต่อย่างใด ทว่าในทางกลับกัน เหล่าศิษย์ตระกูลจูใกล้ตัวก็มองนางด้วยแววตามุ่งร้ายอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อการต่อสู้เริ่มต้นขึ้นหลังจากนี้ พวกเขาจะต้องร่วมมือกันเพื่อโจมตีฉินอวี้โม่และหาทางกำจัดนางออกจากการแข่งขันอย่างแน่นอน
หลังจากขานรายชื่อครบทั้งหมด ผู้เข้าแข่งขันรวมหนึ่งร้อยคนก็ยืนอยู่บนสังเวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กล่าวได้ว่าฉื่อไท่หลางโชคดีพอสมควร ในตอนนี้เขายืนอยู่บริเวณตรงกลางของสังเวียนพอดิบพอดีซึ่งเป็นจุดที่ยากที่ผู้ใดจะผลักเขาลงจากสังเวียนได้ ในขณะเดียวกัน จูโหย่วจ้วงก็โชคดีเช่นกันที่ไม่มีจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าอยู่รอบตัวและเขาคงจะเอาตัวรอดได้ไม่ยาก
“เอาล่ะ ข้าขอประกาศเริ่มต้นการคัดเลือก ณ บัดนี้ !”
เมื่อทุกคนยืนบนสังเวียนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา จ้าวตั๋วก็โบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อยและประกาศเริ่มต้นการแข่งขันทันที
“เจ้ามาร่วมมือกับพวกเราเพื่อจัดการนางจะดีกว่า หลังจากนี้เราจะสำรองที่ให้กับเจ้า !”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่เริ่มต้นการแข่งขัน สมาชิกตระกูลจูที่อยู่รอบตัวฉินอวี้โม่ก็กล่าวกับจอมยุทธ์อิสระข้าง ๆ นางด้วยน้ำเสียงเชิงข่มขู่
“เหอะ ข้าขอปฏิเสธ ข้าไม่ต้องการร่วมมือกับพวกคนตระกูลจู !”
จอมยุทธ์อิสระคนนั้นคือบุรุษหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี และเมื่อได้ยินวาจาของศิษย์ตระกูลจูผู้นั้น เขาก็มองตอบด้วยแววตารังเกียจอย่างชัดเจนและเดินตรงเข้าไปข้างกายฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็วพร้อมกล่าว “แม่นางอวี้โม่ ท่านไปก่อนเถอะ ข้าจะช่วยถ่วงเวลาไว้เอง”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะรับมือกับจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวทั้งสามคนของตระกูลจูไม่ได้และต้องการช่วยคุ้มกันเพื่อให้นางหลบหนีออกไปก่อน
“ไม่จำเป็นหรอก !”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบา ๆ และไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“พวกเจ้าจะยอมกลิ้งตัวลงไปดี ๆ หรือจะให้ข้าส่งพวกเจ้าลงไป ?”
นางกวาดสายตามองศิษย์ตระกูลจูตรงหน้าและกล่าววาจาอย่างทะนงตน
“ยโสโอหังนัก !”
คนเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าฉินอวี้โม่จะยโสโอหังถึงขั้นนี้และเดือดดาลขึ้นมาทันที อึดใจต่อมา พวกเขาก็ไม่รอช้าและร่วมมือกันโจมตีสตรีตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
พลั่ก ! พลั่ก ! พลั่ก !
ด้วยเสียงที่ดังขึ้นติดกันสามครั้งและภาพเส้นแนวโค้งที่สวยงาม คนทั้งสามก็ถูกฉินอวี้โม่เตะจนกระเด็นออกไปจากสังเวียนทันที ร่างของพวกเขาในตอนนี้ก็กองทับกันโดยคนล่างสุดแทบหายใจไม่ออกและใกล้จะหมดสติไป
“ลุกขึ้นเร็ว รีบลุกขึ้น ! ข้าหายใจไม่ออก !”
เขาพยายามตะโกนแหกปากออกไปเพื่อให้อีกคนสองลุกออกจากร่างของตน
พวกเขาตะลึงงันจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ พวกเขาไม่ทันเห็นฉินอวี้โม่ขยับตัวด้วยซ้ำและจู่ ๆ กลับรู้สึกถึงแรงโจมตีอย่างรุนแรงและกระเด็นออกมากระแทกพื้นเช่นนี้
“พวกเราถูกกำจัดไปง่าย ๆ เช่นนี้เลยรึ ?”
ศิษย์คนหนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“พลังของนางก็อยู่ในระดับเดียวกับพวกเรามิใช่หรือ ?”
ศิษย์อีกคนกล่าวด้วยความไม่เข้าใจเช่นกัน ในเมื่อพวกเขาและนางมีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นเดียวกัน เหตุใดความแตกต่างจึงมากมายเพียงนี้…
“แม่เจ้า เกิดอะไรขึ้นกัน ?!”
จอมยุทธ์อิสระที่อยู่บนสังเวียนก็มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่ทันมองเห็นสิ่งใดได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ทว่าฉินอวี้โม่กลับกำจัดคู่ต่อสู้ทั้งสามคนไปได้อย่างรวดเร็ว ต้องกล่าวเลยว่าคนทั้งสามก็ถือว่าเป็นศิษย์ฝีมือดีของตระกูลจูและมีพลังที่มากถึงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าพวกเขากลับถูกฉินอวี้โม่กำจัดออกจากการแข่งขันได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ มันช่าง…
บุรุษหนุ่มไม่อาจสรรหาคำพูดใดเพื่ออธิบายเหตุการณ์นี้ได้เลย เขาเพียงหันไปมองฉินอวี้โม่ตรงหน้าด้วยแววตาชื่นชมพลางนึกสงสัยในใจ หรือแท้จริงแล้วพลังของนางจะเหนือกว่าราชาเซียนครึ่งก้าว ?
หลายคนในบริเวณนั้นซึ่งกำลังหลบหลีกการโจมตีจากคู่ต่อสู้ล้วนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความตื่นเต้นและแววตาที่มองฉินอวี้โม่เริ่มกลายเป็นความหวาดหวั่น เดิมทีพวกเขาคิดว่าอย่างมากฉินอวี้โม่ก็คงจะรับมือกับคนตระกูลจูทั้งสามคนได้อย่างสูสี ทว่าไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรเช่นนี้ นางไม่เพียงแต่ไม่มีปัญหาในการรับมือกับทั้งสามเท่านั้น ทว่านางกลับเอาชนะทั้งสามได้ภายในชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง !
จากนั้นจำนวนคนในสังเวียนก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องและภายในเวลาไม่นานก็เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงยี่สิบคนเท่านั้น
บรรดาศิษย์ตระกูลจูและตระกูลฉื่อที่เหลืออยู่เข้ามารวมตัวกับฝ่ายของตนเอง จอมยุทธ์อิสระที่เหลือก็ยืนอยู่ในมุมหนึ่งเช่นกัน บุรุษหนุ่มจอมยุทธ์ที่พยายามปกป้องฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ก็ติดตามนางด้วยสีหน้าตกตะลึงไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนที่เขาจะได้ลงมือทำสิ่งใด คู่ต่อสู้แต่ละคนก็ถูกฉินอวี้โม่เตะจนร่วงลงจากสังเวียนไปเสียก่อนส่งผลให้การคัดเลือกครานี้กลายเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา…