บทที่ 1388 : เหาะเล่นทั่วจิงฉู
ก่อนจากไปหลิงหยุนได้ปลดปล่อยปราณมังกรออกมาจนร่างของเขากลายเป็นสีทองสว่างสุกใส แล้วจึงค่อยหายวับไปอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้มังกรแดนใต้มีสีหน้าท่าทางตกอกตกใจ และหวาดกลัวเป็นอย่างมาก..
“มังกรแดนใต้..อย่าคิดว่าเจ้าได้ร่างของมังกรสีแดงไปแล้ว ข้าจะไม่สามารถจัดการกับเจ้าได้!”
หลิงหยุนจงใจแสดงพลังของตนเองเพื่อข่มมังกรแดนใต้ไว้ก่อนจะเหาะไปท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดอีกราวสิบกว่ากิโลเมตร แล้วจึงร่อนลงบนเนินเขาแห่งหนึ่ง
ที่หลิงหยุนต้องทำเช่นนั้นก็เพราะเขาพบว่ามังกรแดนใต้นั้นสามารถรับรู้ความทรงจำของมังกรสีแดงได้ ทำให้มังกรแดนใต้ดูเหมือนจะเริ่มไม่เชื่อฟังเขา ซึ่งเป็นเรื่องหลิงหยุนไม่อาจยอมรับได้ หากมังกรแดนใต้ไม่เชื่อฟังเขาต่อให้มันจะเก่งกาจและแข็งแกร่งมากเพียงใดแล้วจะมีประโยชน์อันใด และจะกลับกลายเป็นว่ายิ่งมันแข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างปัญหาให้กับเขามากมายเท่านั้น อาจถึงขั้นสร้างหายนะให้กับเขาอย่างใหญ่หลวงในวันข้างหน้าก็เป็นได้!
ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะจากไปหลิงหยุนจึงต้องจงใจปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งของปราณมังกรออกมาข่มขวัญมันไว้ มันจะได้ไม่กล้าคิดกำแหงกับเขา
แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่มีปราณมังกรที่แข็งแกร่งเวลานี้เขาเองก็ได้เขาสู่ระดับสูงสุดขั้นอู่เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) แล้ว อีกทั้งยังใช้เวลานานกว่าสี่ชั่วโมงในการรับทัณฑ์สวรรค์ เพียงแค่ความแข็งแกร่งนี้บวกกับกระบี่โลหิตเทวะในมือ เขาก็สามารถจัดการกับมังกรแดนใต้ได้แล้ว..
“เรื่องใหญ่ๆสามเรื่องในจิงฉูไม่ว่าจะเป็นนำหินมังกรเขียวกลับไป รักษาฉินตงเฉวี่ยและหาที่อยู่ให้มังกรทั้งสองตัว ข้าก็ได้จัดการสะสางเรียบร้อยแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น..”
ส่วนเรื่องเล็กๆน้อยๆก็เป็นเรื่องของเหล่าศิษย์อารามจิ้งซิน รวมทั้งต้องไปปรากฏตัวให้สาวๆในจิงฉูของเขาเห็นหน้า
หลิงหยุนพาคนกลับมาจิงฉูด้วยมากมายเช่นนี้และทั้งตี้เสี่ยวอู๋ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา เฉิงเม่ยเฟิง และคนอื่นๆต่างก็อยู่ในจิงฉูมานานสามวันแล้ว ทุกคนจึงต้องรู้ว่าเขากลับมาแล้วเป็นแน่ แต่จนป่านนี้เขายังไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรหาใครสักคนเดียว และเวลานี้เขาก็กำลังปวดหัวว่าจะไปที่ไหนก่อนดี..
“ช่างเถิด..คิดไปก็ปวดหัว!”
หลิงหยุนคร้านที่จะคิดอะไรต่ออีกเขารีบเหาะสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าราวสามกิโลเมตร พร้อมกับใช้วิชาล่องหนพลางตัวไม่ให้คนเห็น แล้วจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจิงฉู
และด้วยความเร็วในการเหาะของหลิงหยุนเวลานี้เขาสามารถใช้เวลาเหาะไปรอบๆเมืองจิงฉูเพียงแค่สองสามนาทีเท่านั้น
ผู้บ่มเพาะตนนั้นยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่ สิ่งแรกที่พวกเขาจะรู้สึกคือ โลกใบนี้กลับยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ ความรู้สึกเช่นนี้จะรุมเร้าจิตใจผู้บ่มเพาะตนมากเสียกว่าการได้รับอิสระทางการเงินเสียอีก
และความรู้สึกเช่นนี้ล้วนเกิดจากความแข็งแกร่งที่เหล่าผู้บ่มเพาะตนมี..
ไม่เพียงแค่จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เท่านั้นแต่หากมีจิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่ง และสามารถมองเห็นได้กว้างไกลครอบคลุมถึงแปดพันเมตรเช่นหลิงหยุน ผู้บ่มเพาะตนย่อมเห็นโลกแตกต่างไปจากเดิมมาก..
และเพียงไม่นานหลิงหยุนก็เหาะไปถึงชานเมืองด้านตะวันตกของจิงฉู ซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารหลิงหยุน และบริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นก็อยู่บนอาคารแห่งนี้
“อืมม..ที่นี่บรรยากาศดีถึงเพียงนี้เชียวรึ” หลิงหยุนสังเกตเห็นบรรยากาศสดชื่นที่ปกคลุมเบื้องบนของอาคารหลิงหยุนอยู่ว่าเป็นลมที่พัดผ่านมาจากภูเขาด้านหลัง และได้เห็นความอ่อนเยาว์ของคนในอาคาร ที่เวลานี้ดูเด็กลงกว่าก่อนที่เขาจะเดินทางไปปักกิ่งนับสิบเท่า
ฮวงจุ้ยส่งผลต่อจิตวิญญาณของผู้คนจริงๆแต่ในขณะเดียวกัน จิตวิญญาณของมนุษย์ก็ส่งผลต่อฮวงจุ้ยด้วยเช่นกัน!
เมื่อได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบๆเช่นนี้หลิงหยุนจึงยิ่งมั่นใจว่า บริษัทหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นของเขาก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นไปอีกนับจากนี้..
เพราะบรรยากาศเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนที่ทำงานอยู่ในอาคารหลิงหยุนมีจิตวิญญาณที่แข็งแรง และทำงานสมานสามัคคีกันดั่งเชือกที่ฟั่นเป็นเกลียว เวลานี้ทุกคนต่างก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น..
“ถังเมิ่งทำได้ดีทีเดียว!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มออกมาพร้อมกับพึมพำด้วยความพอใจในผลงานของถังเมิ่ง จากนั้นจึงได้เหาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อ..
ในเวลาต่อมาหลิงหยุนได้เหาะมาถึงที่คลินิกสามัญชน ซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญกับเขามากกว่าอาคารหลิงหยุนเสียอีก นั่นเพราะที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวชีวิตของเขา..
คลินิกสามัญชนยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะไปปักกิ่ง..
“เหยาลู่..”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดว่าหากเหยาลู่รู้ว่าเขากลับมาจิงฉู นางจะมีความสุขมากเพียงใด จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เหาะไปยังบ้านเลขที่-1ของตนเอง ซึ่งอยู่ห่างจากคลินิกไปเพียงแค่สองสามกิโลเมตรเท่านั้น
“ฮ่าๆๆข้าคิดแล้วว่าทุกคนจะต้องอยู่ที่นี่!”
เวลานี้หลิงหยุนเหาะอยู่บนท้องฟ้าเหนือบ้านเลขที่-1ขึ้นไปสี่กิโลเมตรและได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสำรวจภายในบ้าน และเวลานี้ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านหลังนี้..
ตี้เสี่ยวอู๋กำลังฝึกฝนวิชาอย่างเอาเป็นเอาตายส่วนโม่วู๋เตาก็ยังคงนอนหลับอุตุเป็นปกติ ส่วนจินเหยีวย เหมี่ยวเสี่ยวเหมา เสี่ยวเม่ยหนิง และคนอื่นๆ ต่างก็กำลังพักผ่อนเช่นกัน
“เฮ้อ..หนิงน้อยคงต้องโกรธข้ามากเป็นแน่!”
นั่นเพราะเวลานี้แม้เสี่ยวเม่ยหนิงจะนอนหลับอยู่แต่นางกลับดูกระสับกระส่าย และดูเหมือนว่าดวงตาทั้งสองข้างจะบวมเพราะร้องไห้อีกด้วย
นอกเหนือจากคนอื่นๆในบ้านแล้วหลิงหยุนก็ยังเห็นแวมไพร์ทั้งห้าของเขารวมตัวกันอยู่ที่ด้านหลัง และทำหน้าที่เฝ้าตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซานไว้..
เวลานี้พลังของตี๋ยั่วถังได้ตกลงต่ำกว่าขั้นเซียงเทียนแล้วแต่ก็ไม่ได้ถูกทรมาน จึงยังคงมีหน้าตาสดใส แม้จะดูผอมแห้งไปจากเดิมบ้าง..
“ตี๋ยั่วถังข้าจะปล่อยให้เข้ามีความสุขไปอีกสักพักก่อน อีกสองสามวันค่อยออกเดินทาง..”
หลิงหยุนพึมพำออกมาเบาๆแล้วก็ไม่สนใจใยดีอีกเลย แต่แล้วจู่ๆ ตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งนั่งฝึกฝนวิชาอยู่ที่สวนด้านนอกนั้น จู่ๆก็ลืมตาขึ้นมองไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด..
“นี่เสี่ยวอู๋สามารถรับรู้ว่าข้ามางั้นรึ!”
เวลานี้หลิงหยุนอยู่เหนือพื้นดินไปราวสี่กิโลเมตรและยังคงใช้วิชาล่องหนหายตัว ตี้เสี่ยวอู๋จึงไม่น่าจะรับรู้ถึงการมาของตนได้ แต่เมื่อครู่ที่พบตี๋ยั่วถัง หลิงหยุนเผลอตัวปลดปล่อยรังสีสังหารออกมา จึงทำให้หลิงหยุนสามารถสัมผัสได้ทันที
“เสี่ยวอู๋..นับวันเจ้ายิ่งก้าวหน้าขึ้นมากสินะ!”
ความสามารถของตี้เสี่ยวอู๋นั้นทำให้หลิงหยุนพอใจยิ่งนักและในเมื่อถูกตี้เสี่ยวอู๋จับได้แล้ว เขาจึงได้สื่อสารบอกตี้เสี่ยวอู๋ผ่านทางกระแสจิต
–เสี่ยวอู๋นี่ข้าเอง!-
ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับมีสีหน้างุนงงแววตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพราะเขารู้ว่าเวลานี้หลิงหยุนอยู่เหนือศรีษะของตนเอง แต่เขากลับมองไม่เห็น..
–เจ้าอย่าส่งเสียงให้ผู้อื่นตื่นแล้วข้าจะกลับมาอีกครั้งในตอนกลางวัน..-
–เจ้ากลับไปฝึกต่อได้แล้ว..-
หลังจากสั่งตี้เสี่ยวอู๋แล้วหลิงหยุนก็เหาะจากไปทันที แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้วิชาล่องหน ตี้เสี่ยวอู๋จึงได้เห็นว่าหลิงหยุนสามารถเหาะไปบนท้องฟ้าได้โดยไม่ต้องใช้กระบี่อีกแล้ว..
“นี่พี่หยุนเหาะได้แล้วงั้นรึ!”
ตี้เสี่ยวอู๋เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนด้วยแววตาชื่นชมในขณะเดียวกันภายในใจของตนเองก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้น..
และหันกลับไปฝึกฝนวิชาต่อทันที! จากนั้นหลิงหยุนก็ได้เหาะเล่นไปรอบๆเมืองจิงฉู และในที่สุดก็มาหยุดอยู่เหนือโรงเรียนมัธยมจิงฉูที่เขาเคยเรียน ก่อนจะเหาะไปยังบ้านหลังเล็กที่เขาและเฉิงเม่ยเฟิงเคยอาศัยอยู่ด้วยกัน
เฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้เวลานี้ที่สวนเล็กๆหน้าบ้านยังคงเปิดไฟสว่าง ทั้งคู่ยังไม่หลับไม่นอน และไม่ได้ฝึกฝนวิชา แต่กำลังนั่งสนทนากันอยู่ในห้องรับแขก
ระหว่างนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยก็เงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คิดถึงเมื่อครึ่งปีก่อนแล้วก็อดใจหายไม่ได้ แม้ตอนนั้นเจ้าเองจะเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดา ส่วนข้าก็ยังอยู่ในขั้นที่ต่ำมาก แต่ช่วงเวลานั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นที่สุด..”
เสี่ยวเม่ยเม่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับรำพึงรำพันเบาๆ
“แต่น่าเสียดายที่ความอบอุ่นและความสุขกลับเป็นช่วงเวลาที่สั้นยิ่งนักเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น…”
เฉิงเม่ยเฟิงฟังแล้วถึงกับสะเทือนใจอย่างมากจึงได้แต่ปลอบใจไปว่า “อืมม.. อย่างน้อยก็ยังมีช่วงเวลาดีๆไม่ใช่รึ..”
ระหว่างที่กำลังสนทนากันอยู่นั้นเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นนอกบ้าน และทั้งคู่ก็สามารถจดจำได้ในทันที
“หลิงหยุน!”
หญิงสาวทั้งสองคนต่างก็หันไปมองหน้ากันพร้อมกับร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
หลิงหยุนเหาะลงมายืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านพร้อมกับร้องตะโกนถามขึ้นว่า “พวกเจ้าสองคนไม่เพียงไม่หลับไม่นอน แต่กลับเปิดประตูไว้เช่นนี้ หากมีคนบุกรุกเข้ามาจะทำเช่นใด”
ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้านหลิงหยุนก็ทำสีหน้าเคร่งเครียด และเริ่มทำการอบรมสั่งสอนหญิงสาวทั้งสองทันที
“แต่ข้าปิดประตูรั้วบ้านไว้แล้วนี่นา..”เสี่ยวเม่ยเม่ยหัวเราะคิกคักพร้อมตอบโต้กลับไปอย่างอารมณ์ดี
“หลิงหยุนเจ้ามาแล้วรึ! รีบไปอาบน้ำก่อนเร็วเข้า!”
เฉิงเม่ยเฟิงเห็นหลิงหยุนกลับมาก็รีบคะยั้นคะยอให้เขาเข้าไปอาบน้ำทันที
“ร่างกายของข้าสะอาดอยู่แล้วเหตุใดยังต้องอาบน้ำอีกด้วยเล่า!”
“เข้าไปอาบเถอะน่า..”
เฉิงเม่ยเฟิงหัวเราะคิกคักพร้อมกับผลักร่างของหลิงหยุนเข้าไปในห้องน้ำระหว่างนั้นก็หันมาบอกกับเสี่ยวเม่ยเม่ยว่า
“พี่เม่ยเม่ยข้าจะอาบน้ำให้หลิงหยุน เจ้าเข้ามาด้วยกันสิ!”
เสี่ยวเม่ยเม่ยรีบส่ายหน้าทันที“ไม่ล่ะ! เชิญพวกเจ้าสองคนตามสบาย ข้าจะกลับไปห้องนอนฝึกฝนวิชาดีกว่า!” จากนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยก็เดินกลับเข้าไปในห้องพร้อมกับล็อคประตูแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเตียงทันที!
หลังจากเข้าไปในห้องนอนแล้วเสี่ยวเม่ยเม่ยถึงกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข บรรยากาศเดิมๆเริ่มกลับมาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น แววตาของนางกลับรู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก!
ระหว่างที่อยู่ในห้องน้ำเฉิงเม่ยเฟิงก็ได้จัดเตรียมน้ำอุ่นให้กับหลิงหยุน ในขณะเดียวกันก็พูดขึ้นว่า
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมาที่นี่ข้าก็เลยอาบน้ำแต่งตัวรอเจ้ามาหา บ้านหลังนี้เป็นบ้านที่พวกเราสองคนได้พบกันครั้งแรก หากเจ้าต้องการมาหาข้าก็ต้องมาที่นี่ อีกอย่าง.. หากพวกเราสองคนจะมีลูกด้วยกัน ข้าก็อยากให้เขาถือกำเนิดที่บ้านหลังนี้…”
เฉิงเม่ยเฟิงพูดราวกับว่าเวลานี้นางคือภรรยาของเขาและพูดจาตรงไปตรงมาได้โดยไม่รู้สึกเขินอายอีก แม้แต่เสี่ยวเม่ยเม่ยเองยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาตรงๆเช่นนี้ “แค๊ก..แค๊ก..”
หลิงหยุนถึงกับสำลักน้ำลายและไอออกมาเสียงดัง..
เฉิงเม่ยเฟิงถึงกับยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าขบขัน “นี่.. หากเจ้ายังไม่พร้อมจะฝึกฝนน้องชายของเจ้าในยามนี้ ข้าก็ไม่คาดคั้นหรอกน่า แค่เจ้ากลับที่นี่ข้าก็พอใจแล้ว เอาล่ะ.. รีบๆอาบน้ำเร็วเข้า จะได้กลับไปนอนพักผ่อนที่ห้อง”
เฉิงเม่ยเฟิงใช้เวลาอาบน้ำให้กับหลิงหยุนร่วมชั่วโมงจากนั้นทั้งคู่ก็กลับเข้าห้องนอนหลับพักผ่อน เพราะร่างกายของหลิงหยุนก็หาใช่เหล็กไหล หลังจากเหน็ดเหนื่อยติดต่อกันมาหลายวัน เขาย่อมต้องการพักผ่อน ซึ่งจะมีผลดีต่อการฝึกฝนด้วย
หลิงหยุนปิดการรับของประสาทสัมผัสทั้งห้าเขาหลับสนิทไปนาน และตื่นนอนอีกครั้งเวลาเที่ยงตรง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เขาก็เริ่มสำรวจเสินหยวนของตนเอง และพบว่าเวลานี้มีมากถึงสองแสนหยดแล้ว..
ระหว่างนั้นเสี่ยวเม่ยเม่ยก็เปิดประตูเข้ามาในห้องหลิงหยุนจึงถามขึ้นว่า “เสี่ยวเม่ยเม่ยตื่นหรือยัง”
“นางออกไปตั้งแต่เช้าแล้วเห็นว่าจะรีบไปช่วยน้องซิงเฉินจัดการสะสางงานที่หูตง..”
“นี่หลิงหยุน..ข้าได้ยินมาว่าน้องซิงเฉินเป็นศิษย์ของแม่เจ้างั้นรึ!”
เฉิงเม่ยเฟิงเพิ่งจะล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของเย่ซิงเฉินจากเสี่ยวเม่ยเม่ยในระหว่างที่อาศัยอยู่ด้วยกันสองสามวันนี้
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า“ถูกต้อง! แต่เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป นางไม่ได้คิดร้ายต่อเจ้า และจะเป็นน้องสาวที่ดีของเจ้า!”
“หลิงหยุนหากเจ้าไปช่วยท่านแม่ของเจ้าเมื่อใด ต้องพาข้าไปด้วยนะรู้มั๊ย”
หลิงหยุนตอบกลับมาด้วยแววตาเป็นประกาย“คงอีกไม่นานนัก.. ข้าคาดว่าไม่เกินสามเดือน ก็จะสามารถบุกไปช่วยท่านแม่ของข้าที่พรรคมารได้!”
ตเทวะได้เดินทางข้ามภพข้ามชาติไปไกลหลายพันปีก่อนจะไปจุติใหม่ในร่างของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาสามารถฟื้นฟูกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เพื่อที่จะชำระแค้นที่สุมแน่นอยู่ในดวงจิตได