GGS:บทที่ 1106 เพียงหนึ่งข้อความ

ข้อมูลลับสุดยอดที่ถูกปล่อยออกมาในครั้งนี้ก็คือข้อมูลของเครือข่ายสายลับของซีไอเอที่แอบแฝงไปอยู่ยังทั่วทุกมุมโลก พร้อมทั้งวิดีโอบันทึกการกระทำอันโสมมของซีไอเอที่ได้ก่อเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว ขมขู่ ทรมาน และสังหาร เหล่าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงเหล่าบุคคลสำคัญของแต่ละประเทศที่ได้หายตัวไปอย่างปริศนา
ข้อมูลเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธที่ซีไอเอได้พัฒนาขึ้นมา แผนกลยุทธจัดทำขึ้นเพื่อขยายเครือข่ายสายลับของซีไอเอให้ครอบคลุมในทุกสายงานในทุกประเทศทั่วโลก และโครงการนี้มีคนเพียงแค่ห้าคนในโลกนี้เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้

ทันทีที่เรื่องนี้เผยแพร่ออกไปนั้นทำให้ทั่วทั้งโลกต้องเคลื่อนไหวในทันที เครือข่ายสายลับของอเมริกาที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมโลกนั้นทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี สำหรับคนที่รู้ตัวก่อนก็ได้หายตัวเข้ากลีบเมฆในทันทีเช่นเดียวกัน
และเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นพูดคุยในอินเตอร์เน็ตอย่างดุเดือด
“พระเจ้าช่วย นี่มันโสมมเกินไปแล้ว”
“เป็นการกระทำที่โหดร้ายเกินที่จะให้อภัย ฉันคิดว่าวิดีโอแบบนี้จะมีเฉพาะกับตอนเรื่องโอฉิงหยุนเท่านั้น ฉันไม่คิดเลยจริงๆว่าพวกมันจะกล้าทำเรื่องแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว”

“ซีไอเอมันยังจะกล้าแก้ตัวอยู่อีกรึเปล่า”
“ฉันรู้จักสายลับจากในหนัง ในหนังนั้นคนพวกนี้ช่างหล่อ เท่ และเก่งกาจอย่างหน้าหลงใหล ไม่คิดเลยว่าความจริงแล้วคนพวกนี้มันช่างโหดร้ายเกินความเป็นมนุษย์ไปแล้ว”
“มีไอ้เวรตะไลบางคนบอกไว้ว่าภารกิจหลักของซีไอเอก็คือการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐบาลอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นด้านการฑูต ด้านธุรกิจ องค์กรก่อการร้าย บุคคลกรทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งในทางลับและในทางแจ้ง รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองระหว่างประเทศ และรายงานสิ่งเหล่านั้นให้ประธานาธิบดีได้รับรู้เอาไว้

ถ้าหากว่าดูแค่ข้อความนี้บอกได้เลยว่าซีไอเอนั้นเป็นหน่วยข่าวกรองที่เท่และมีแต่คนอยากจะขวนขวายเข้าไปให้ได้ และไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นองค์กรที่ทำแต่เรื่องระยำตำบอนได้ขนาดนี้เลยจริงๆ”
“…ว่าแต่การที่ข้อมูลลับสุดยอดถูกเปิดเผยออกมามากมายขนาดนี้ ไอ้พวกซีไอเอต้องคลั่งแน่ๆ ใครกันนะที่กล้าทำเรื่องแบบนี้”

“ฉันว่าในหมู่คนระดับสูงของซีไอเอคงจะมีคนทรยศนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็แทบจะไม่มีทางเลยที่จะเข้าถึงข้อมูลลับสุดยอดแบบนี้ได้ คราวนี้องค์กรสายลับระดับโลกคงต้องล่มสลายแล้ว”
“ทำไมตอนที่มีคนถามออกมาว่าใครกันที่กล้าทำเรื่องแบบนี้….ทำไมฉันถึงนึกถึงซูจิ้งได้กันนะ”
“ฉันว่าน่าจะแค่คิดไปเองแหล่ะน่า ต่อให้ซูจิ้งจะเจ๋งขนาดไหนก็ตาม แต่เขาน่าจะไม่มีทางเข้าถึงข้อมูลลับสุดยอดของซีไอเอแบบนี้ได้หรอก”
“ฉันเองก็คิดว่าเป็นแบบนั้นล่ะนะ ฉันได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นโดยปกติแล้วจะอยู่แต่ที่บ้านทั้งวัน แถมเขานั้นหากว่าออกไปข้างนอกล่ะก็มีแต่คนเข้าไปคุยอย่างอุ่นหนาฝาคลั่ง นับประสาอะไรหากว่าเขาไปอเมริกาล่ะก็ ดีไม่ดีโดนคุมตัวตั้งแต่ขึ้นสายการบินของอเมริกาแล้ว”
“แต่ว่าฉันว่าหากพูดถึงเรื่องนี้ล่ะก็ มีโอกาสที่กลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศจนเป็นคนลงมือเหมือนกันนะ นั่นก็เพราะตอนนี้อเมริกากำลังตกที่นั่นลำบากทำให้พวกเขานั้นไม่ต้องเหนื่อยแก้ต่างข้อกล่าวหาอะไรเลยแม้แต่น้อย”

ด้วยการที่อเมริกานั้นตกอยู่ในสถานะที่เลวร้ายแบบสุดๆ ทั้งยังกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีจากประชาคมโลกจนเสียหายอย่างหนัก
แต่ละประเทศที่ก่อนหน้านี้อยู่อเมริกาตอนที่หาเรื่องจีนเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสารนั้นไม่มีใครยืนอยู่ข้างเดียวกับอเมริกาในเรื่องนี้อีกต่อไป
ยกเว้นบางประเทศที่กระหายในเทคโนโลยีอย่างเช่นญี่ปุ่นที่ยังคงหาโอกาสล้วงความลับของเมืองจีนและสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯอยู่อย่างไม่วางตา
และในตอนนี้เองที่ประเทศจีนและกลุ่มทุนห้วงเวลาฯได้เริ่มเคลื่อนไหวโดยการประณามการกระทำของอเมริกาพร้อมทั้งชี้ให้นานาประเทศเห็นพ้องต้องกันว่าอเมริกานั้นที่กล้าทำแบบนี้กับประเทศอื่นเป็นเพราะคิดว่าตัวเองนั้นเป็นเจ้าของโลกใบนี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้อเมริกาเลิกกล่าวหาอย่างไร้สาระและคืนเรือบรรทุกสินค้าที่ถูกกักเอาไว้ที่ช่องแคบมะละกา
“ฮ่าฮ่าฮ่า โคตรสะใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าไอ้พวกมะกันจะมีวันนี้ได้เหมือนกัน” หวังจ้าวได้โทรหาซูจิ้งพร้อมทั้งพูดคุยด้วยความร่าเริงและตื่นเต้นแบบสุด
“อย่าพึ่งรีบดีใจเร็วไปนักเลยน่า ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่แน่นอนหรอกนา…” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะออกมา เขานั้นไม่มีทางบอกหวังจ้าวได้เลยจริงๆว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเขาเองที่ได้ลอบดำเนินการในเรื่องนี้
“ภายใต้แรงกดดันขนาดนี้แถมยังเรื่องวุ่นวายจนาดนั้น ไอ้พวกมะกันนั่นคงไม่กล้าที่จะทำตัวถือดีได้อีกหรอกน่า หรือว่านายไม่คิดอย่างนั้น” หวังจ้าวได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“ฉันว่านายดูแคลนไอ้พวกนั้นมากเกินไปนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สองวันถัดมา เรื่องราวยังคงเป็นไปตามที่ซูจิ้งคาดไว้ว่าอเมริกานั้นยังคงกล้าที่เผชิญหน้าแรงกดดันจากนานาประเทศเพื่อแสดงให้เห็นว่าอเมริกานั้นเหมาะสมกับคำว่าเจ้าโลก
นอกจากนั้นอเมริกายังคงกดดันกลุ่มทุนห้วงเวลาฯต่อไป อย่างไรก็ตามด้วยการที่อเมริกานั้นได้กลายเป็นเป้าหมายโจมตีจากนานาประเทศทำให้การกดดันนั้นทำได้เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น ซึ่งนั่นส่งผลต่อกลุ่มทุนกาลเวลาฯเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในวันนี้เอง ประธานาธิบดีที่หลีกหนีจากความไม่พอใจของฝูงชนชาวอเมริกาได้กลับเข้าไปทำงานในทำเนียบขาวแล้วอย่างไม่มีใครตั้งตัว
นี่ทำให้เจ้าหน้าที่หลายๆคนเองต้องเร่งรีบไปยังทำเนียบขาวพร้อมทั้งพูดคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในขณะที่ประธานธิบดีกำลังเดินไปยังโต๊ะประจำตำแหน่งของตนเอง
ในทันทีที่เขาได้เข้าไปในสำนักงาน เมื่อตอนที่เขาได้นั่งลงไปบนโต๊ะ ประธานาธิบดีก็ได้พบว่าบนโต๊ะอันโล่งโจ้งของเขาก่อนหน้านี่ อยู่ๆก็ได้มีซองจดหมายสีขาววางเอาไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
“นี่มันอะไรกัน” ประธานธิบดีได้ถามกับผู้ช่วยของตนในทันทีที่เห็นซองจดหมาย
“….ไม่ทราบครับ…” ผู้ช่วยเองที่เห็นซองจดหมายนี้ก็รู้สึกแปลกๆเช่นเดียวกัน
“ใครเอาไอ้นี่มาวางไว้บนโต๊ะฉัน” ประธานาธิบดีได้ถามออกมาด้วยเสียงอันดังก้องในทันทีจนทำให้เจ้าหน้าที่ภายในทำเนียบขาวได้ยินกันทั่

“ไม่ทราบครับ” เจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยได้มองหน้ากันไปมาก่อนที่จะพร้อมใจกันส่ายศรีษะของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้
นี่ทำให้ประธานาธิบดีต้องนิ่งคิดไปพักหนึ่ง เขานั้นกำลังคิดว่าจะทิ้งมันไปดีหรือว่าจะเปิดมันดี ยิ่งเขาครุ่นคิดมากเท่าไหร่ ใบหน้าของเขาก็ยิ่งตึงเครียดและน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น
จนในที่สุดเขาต้องใช้มือทั้งสองข้างของตัวเองตบไปบนใบหน้าหนึ่งทีก่อนจะลากยาวลงไปถึงลำคอเพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมาและตัดสินใจเปิดมันออกมาอ่านดู
จดหมายนี้ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่าใครเป็นผู้ส่งมา ข้างในนีมีเพียงข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ด้วยน้ำหมึกสีแดงเลือด โดยเขียนเอาไว้ว่าให้หยุดยุ่งกับกลุ่มทุนห้วงเวลา ไม่เช่นนั้นซีไอเอจะต้องล่มสลายในไม่ช้า
“ไปหาตัวคนที่เอาจดหมายนี่มาวางไว้เดี๋ยวนี้” ประธานาธิบดีได้พูดออกมาด้วยอาการที่อยู่ไม่สุขในทันที นอกจากเนื้อหาจดหมายแล้ว การที่อยู่ๆจดหมายมาอยู่ในห้องทำงานของประธานาธิบดีได้แบบนี้แสดงว่าทำเนียบขาวแห่งนี้จะต้องมีช่องโหว่ในการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่ายังไงซะนี่คือทำเนียบขาว ไม่มีทางเลยที่จะมีคนเอาจดหมายมาวางโดยไม่มีใครสังเกตเลยได้อย่างแน่นอน
“พวกแกเอานี่ไปดูซะ” ประธานาธิบดีได้แสดงจดหมายให้คนที่เกี่ยวของดูในทันที
“มันจะมากเกินไปแล้ว คนที่เขียนจดหมายนี่คิดว่าตัวเองเป็นไครกัน”
“จากเนื้อหานี่แสดงว่าถ้าไม่เกี่ยวกับกลุ่มทุนห้วงเวลาฯล่ะก็คงจะเป็นจีนนั่นแหล่ะ”
“มันหมายความว่ายังไงว่าซีไอเอจะล่มสลายในไม่ช้า มันคิดว่าตัวเองมีความสามารถพออย่างนั้นเหรอ”
“คราวนี้น่าจะเป็นแค่การขู่เท่านั้นนะ”
“มันทำราวกับว่าซีไอเออยู่ในกำมือมันแล้ว ต้องเป็นไอ้พวกกลุ่มทุนห้วงเวลาแน่ๆที่กล้ามาทำแบบนี้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ” ประธานาธิบดีได้สบถออกมา

จดหมายขมขู่แน่นอนว่าเป็นหลัวฉือหลินที่เป็นคนเอาไปวางโดยใช้สแตนด์สายฟ้า ด้วยทักษะที่ท้าทายสวรรค์นี้ต่อให้ทำเนียบขาวไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย แต่กับสแตนด์ของหลัวฉือหลินนั้น ไม่ได้ต่างจากสนามเด็กเล่นต่างเมืองเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าจดหมายนี้จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด และก่อนที่อเมริการจะได้ตัดสินใจอะไรลงไป หลัวฉือหลินก็ได้กลับมารายงานซูจิ้งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว
“เจ้านายครับ พวกมันไม่สนใจคำเตือนของพวกเรา” หลัวฉือหลินรายงานให้ซูจิ้งฟัง
“เป็นไปอย่างที่คิด” ซูจิ้งที่ได้ยินคำรายงานก็ไม่ได้มีท่าแปลกใจแต่อย่างใดเพราะเขานั้นต้องการใช้จดหมายนั่นเป็นสื่อกลางของเขาเท่านั้น
เขาเองก็ไม่คิดว่าอเมริกาจะยอมทำตามเขาอย่างว่าง่ายอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะ การยินยอมโดยไม่เจ็บตัวถือว่าไม่ใช่อเมริกา
“ให้ผมกวาดล้างดีไหมครับ” หลัวฉือหลินถามออกมา
“ไม่ต้อง นายเองก็ได้ฆ่าไปหนึ่งแล้ว แถมต่อให้ฆ่าประธานาธิบดีไปได้และทำการสวมรอยได้สำเร็จก็จริง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุมอเมริกาได้แต่อย่างใด
ไอ้พวกมะกันนั่นเป็นพวกที่เรียกว่าไฟไปจี้ก็ไม่ยอมทำ ไม่มีทางเลยที่จะใช้แรงกดกันทำอะไรพวกมันได้
“แล้วทำยังไงต่อดีครับ” หลัวฉือหลินถามออกมา
“นายกลับไปอเมริกาก่อน ตอนนี้ฉันมีเรื่องต้องทำแล้วจะเรียกนายกลับมาทีหลัง ตอนนี้ก็ปล่อยให้พวกมันอยู่ดีกันไปก่อนแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและวาวตาที่ดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก