ตอนที่ 544 ปากไม่ยอมรับ แต่ร่างกายกลับ...

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ยามนี้ต่อให้ได้เห็นแค่เพียงริมฝีปากนั่น นางก็แทบจะสามารถยืนยันฐานะของเขาได้แล้ว 

 

 

บุรุษในใต้หล้า นอกจากเขาแล้ว ยังจะมีใครที่มีริมฝีปากดุจกลีบบัวที่ผลิบานในนรกอีก 

 

 

สีเข้มถึงเพียงนั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวออกมา 

 

 

ตอนนั้นที่ได้เห็นเพียงแค่แวบเดียวในสุดยอดการประลองสามฝ่าย ก็ทำให้ไม่อาจลืมไปจนชั่วชีวิต 

 

 

แต่ว่าตอนนี้ จะอย่างไรซ่งชิงอีก็ยังคงไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

“แต่ว่า…. จะเป็น…..จะเป็นเขาไปได้อย่างไร!” 

 

 

นางพึมพำกับตนเอง ด้วยความใจลอย แม้แต่ฝูลั่วที่อยู่ข้างๆก็ยังลังเลไปเช่นกัน 

 

 

อย่าว่าแต่ท่านเจ้าวัง แม้แต่นางเองเมื่อได้เห็นผู้ที่ดีดพิณอยู่กลางท้องฟ้าผู้นั้น ก็ต้องคิดถึงเจ้าสำนักหยินหยางขึ้นมาในทันที 

 

 

ตอนนั้น นางก็ได้ติดตามท่านเจ้าวังไปในการประลองเช่นกัน ย่อมต้องได้เห็นบุคลิกภาพอันเจิดจรัสของเจ้าสำนักหยินหยางคนใหม่ด้วยตาของตนเอง 

 

 

ตอนนั้นเขานั่งอยู่กลางลานประลองอย่างสง่างาม ปลายนิ้วที่เรียวยาวดีดพิณอย่างแผ่วเบา เสียงพิณอันล้ำลึกที่สะท้อนออกมาในชั่วสั้นๆถึงกับทำให้คนทั้งหมดของวังตันติ่งกง และตำหนักซิวหลัวเตี้ยนต่างล้มลง 

 

 

แม้แต่ท่านเจ้าวังของตนเองและเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนที่ลึกลับผู้นั้น….ก็ยังต้องพ่ายแพ้ในมือของเขา 

 

 

แล้วฝูลั่วจะจำไม่ได้ได้อย่างไร 

 

 

ใต้แสงดาวพร่างพราว คนที่ดีดพิณผู้นั้นเหมือนกับเขาอย่างกับแกะ 

 

 

หน้ากากทองแดงครึ่งใบนั่น ยามนี้ไร้ประโยชน์ใดๆอีกต่อไป 

 

 

รูปโฉมอันล่ำเลิศของคนผู้นั้น มิว่าผู้ใดในใต้หล้าได้เห็นเข้า ก็เป็นต้องไม่อาจลืมเลือนไปชั่วชีวิต 

 

 

ขลุ่ยกระดูกของซ่งชิงอีหยุดลง ผีกุ่ยหลัวซาที่อาศัยเสียงขลุ่ยชักนำก็พลันหยุดยั้งไปชั่วครู่ พวกมันเหมือนกับตื่นขึ้นจากความฝัน นัยตาแต่ละคู่ที่เดิมมีแต่เพียงสีแดงเลือดนั้น ยามนี้คล้ายจะมีสติขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันที่กำลังเผชิญหน้ากับพวกมันย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด 

 

 

ยามนี้ในแววตาของผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้น มีแต่ความ ‘ตื่นกลัว’ 

 

 

ใช่แล้ว ตื่นกลัว ทันทีที่พวกมันได้สติขึ้นมาเล็กน้อย และพบว่ากำลังเผชิญหน้ากับบุรุษที่ดีดพิณผู้นั้น แววตาของพวกมันก็ปรากฏความตื่นกลัวขึ้นมา 

 

 

ใต้หล้านี้ ผู้ที่สามารถทำให้กระทั่งผีกุ่ยหลัวซายังหวาดกลัว ย่อมมีเพียงผู้เดียว อาจารย์ของนาง ซื่อมั่ว 

 

 

ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่มีหนทางจะสรุปได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางผู้นี้ก็คืออาจารย์ หรือว่าจีเฉวียน 

 

 

แม้ว่าความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกันมาก แต่ยามนี้ก็คล้ายกับว่ามีอะไรบางอย่างได้ผูกโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน 

 

 

“ติ้ง…..” เสียงพิณดังสะท้อนออกไปอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงมิได้ดังอย่างแผ่วๆ 

 

 

แต่ว่าเป็นเสียงดังสดใส ล้ำลึกคล้ายดั่งหยดน้ำที่ไหลลงไปในสระน้ำขนาดใหญ่ แค่เสียงติ้งครั้งเดียว ก็สามารถจะชำระความสับสนวุ่นวายในใจของผู้คนลงได้แล้ว 

 

 

ซ่งชิงอีได้ยินเสียงพิณนั่น ก็พลันมีปฏิกิริยาขึ้นมาเช่นกัน นางคว้าขลุ่ยกระดูกในมือขึ้นมาใหม่ เป่าลงไปอีกครั้ง 

 

 

เสียงขลุ่ยสกัดเสียงพิณเอาไว้ ผีกุ่ยหลัวซาที่เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา ขัดขืนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดำดิ่งลงไปในการควบคุมของซ่งชิงอีอีกครั้ง 

 

 

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนผู้นั้น….ซ่งชิงอีก็ไม่ขอยอมแพ้โดยง่ายอย่างเด็ดขาด 

 

 

ในเมื่อเขามาแล้ว งั้นคืนนี้นางก็จะให้เขาได้ชมฝีมือของนาง 

 

 

นางคือซ่งชิงอี ที่ไม่เพียงแต่รู้จักปรุงยา แต่ว่ายังหลอมสร้างผีเป็นอีกด้วย! 

 

 

เหล่าวิญญาณแค้นในใต้หล้า นางล้วนสามารถนำมาฝึกฝน บ่มเพาะให้กลายเป็นอาวุธสังหารชั้นยอด 

 

 

คนผู้นั้นพึ่งจะได้กลายเป็นประมุขคนใหม่ของดินแดนจิ่วโจว ในสถานที่ที่มีความมืดมิดปกครองเช่นนี้ ย่อมต้องมีผู้ที่ไม่คิดจะยอมแพ้ต่อเขา เกรงว่าไม่ต้องรอให้ถึงการประลองสามสุดยอดครั้งต่อไป คนเหล่านั้นก็คิดที่จะถีบเขาออกไปแล้ว  

 

 

นางเองก็ได้รับสารลับมาว่า ในงานหมื่นบุปผชาติมีคนคิดจะลงมือกับเขา  

 

 

ตอนนี้ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนจิ่วโจวก็คือตำหนักซิวหลัวเตี้ยน แต่ว่าในเมื่อตอนนี้ตำแหน่งผู้แข็งแกร่งที่สุดถูกช่วงชิงไปแล้ว เช่นนั้นซิวหลัวเตี้ยนยังจะทนยืนมองอยู่อีกหรือ? 

 

 

นางจะให้เขาได้เห็นชัดว่า หากเขาต้องการจะสร้างความมั่นคงให้กับตนเอง ย่อมจำเป็นจะต้องมีนาง ซ่งชิงอี 

 

 

ขณะที่นางคิดเช่นนี้ ขลุ่ยกระดูกบนริมฝีปากก็ยิ่งทวีเสียงดังกว่าเดิม 

 

 

เสียงที่ยากจะทนทานของขลุ่ยกระดูกทำเอาผู้คนต้องปวดแก้วหู 

 

 

ซ่งชิงอีทางหนึ่งเป่า อีกทางหนึ่งก็รวบรวมพลังวิญญาณภายในร่าง จับจ้องไปที่เขา คิดจะมองทะลุผ่านหมอกสีดำที่หนาแน่นอยู่ทั่วร่างของเขา มองไปให้ถึงตู๋กูซิงหลันที่เขาคุ้มครองเอาไว้ที่ด้านหลัง 

 

 

ชั่วขณะนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อยู่ๆหัวใจของนางก็พลันจุดเพลิงริษยาขึ้นมา 

 

 

เดิมทีนางคิดว่าบุรุษผู้นี้ชืดชาต่อเสน่หาอาวรณ์ ไร้อารมณ์ใดๆ แต่ว่าเขาถึงกับไม่เสียดายที่จะเปิดเผยฐานะออกมา เพื่อปกป้องเดรัจฉานน้อยนั่น? 

 

 

แถมดูแล้ว พวกเขายังสนิทสนมใกล้ชิดกันมากอีกด้วย 

 

 

ดินแดนจิ่วโจวเป็นดินแดนที่เปิดกว้าง ไม่เพียงแต่มีสามีภรรยาร่วมกันฝึกฝนวิชาเซียน แต่ยังมีคู่รักเพศเดียวกันร่วมฝึกฝนด้วย 

 

 

หากว่ามีสองนักพรตหนุ่มหรือสองนักพรตสาวที่มองตากันแล้วถูกใจถูกอัธยาศัยกันขึ้นมา ก็สามารถที่จะครองคู่และร่วมกันฝึกฝนได้เช่นกัน 

 

 

ดังนั้นตอนนี้ พอซ่งชิงอีเห็นคนผู้นั้นออกตัวปกป้องตู๋กูซิงหลัน ในใจจึงเกิดเพลิงลุกโชนขึ้นมาบ้าง 

 

 

“เดรัจฉานน้อยที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” นางกุมขลุ่ยกระดูกเอาไว้ ให้พลังจิตออกคำสั่งต่อผีกุ่ยหลัวซาทั้งหลาย 

 

 

คนอย่างนาง ซ่งชิงอี ไม่เคยมีสิ่งใด หรือ ใคร ที่ไม่อาจได้รับมาครอบครองมาก่อน! 

 

 

หากว่ามีผู้ใดบังอาจมาขวางทาง เช่นนั้นก็ต้องตกตายอย่างอนาถ! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นและรุนแรงจากนางอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เมื่อครู่ตนกำลังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่คนตรงหน้า จึงถือว่าซ่งชิงอีเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าไปก่อน 

 

 

ถึงตอนนี้จึงค่อยเห็นว่าเหล่าผีกุ่ยหลัวซาคิดจะบุกเข้ามาสังหารพวกนางไม่ให้เหลือรอด 

 

 

ส่วนคนที่อยู่ตรงหน้าก็เพียงวางนิ้วเอาไว้บนพิณ โดยไม่ได้ดีดเสียงใดๆออกมาอีกแม้แต่เสียงเดียว 

 

 

มีแต่เพียงหางเสียงจากสายพิณสายนั้นที่ยังคงสั่นสะท้อนมิได้หยุดนิ่งอยู่เท่านั้น 

 

 

แต่แล้วหางเสียงสะท้อนนั่น ก็ถูกเสียงเป่าขลุ่ยของซ่งชิงอีกดให้จมลงไป 

 

 

ไม่เพราะเอาเสียเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว ใจกลางฝ่ามือผุดพลังวิญญาณสีดำขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

เดิมทีพลังวิญญาณของนางก็ไม่ได้เป็นสีดำ แต่เมื่อหลอมรวมเข้ากับไอหยินจึงได้เปลี่ยนเป็นสีดำขึ้นมา 

 

 

นางไม่ได้กระตุ้นเอาพลังของหยกสรรพชีวิตออกมาด้วย เพราะว่าผู้คนในดินแดนจิ่วโจวเองก็กำลังเสาะหาสิ่งนี้อยู่เช่นกัน ขณะที่ขนใหม่ยังไม่ทันขึ้นมาจนครบ ย่อมไม่สมควรเปิดเผยออกไปโดยง่าย 

 

 

นางไม่ขบคิดให้มากความ ก็ทำท่าจะก้าวล้ำหน้าคนผู้นั้นออกไป คิดจะลุยให้แหลกไปเลย 

 

 

แต่ว่ายังไม่ทันที่นางจะได้ลงมือ เขาก็คว้าคอเสื้อของนางเอาไว้ ลากนางกลับเข้ามาในครั้งเดียว 

 

 

“นั่งลงให้เรียบร้อย” 

 

 

เขาเอ่ยออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองออกไปรอบตัว ก็กระดกคิ้วน้อยๆ 

 

 

“อาจารย์…..เสี่ยวเฉวียนเฉวียน พวกเราอยู่บนอากาศ ไม่มีที่นั่ง” 

 

 

นางค่อนข้างปักใจแล้วว่าเขาจะต้องเป็นอาจารย์หรือไม่ก็จีเฉวียน 

 

 

คนผู้นั้นมิได้ตอบ เขายังคงมิได้ยอมรับหรือว่าปฏิเสธเหมือนเดิม ครู่ต่อมา มือคู่นั้นก็ยกนางขึ้นมาจากนั้นก็วางลงบนบ่าของตนเบาๆ 

 

 

พลางเอ่ยสำทับอีกครั้งว่า “นั่งให้ดีๆ” 

 

 

เขาดูไม่ใช่คนที่ร่างกายกำยำสักเท่าไหร่ แต่เมื่อตู๋กูซิงหลันนั่งลงไป  ถึงได้พบว่ายังมั่นคงยิ่งกว่าที่ตนเองคาดคิดเอาไว้เสียอีก 

 

 

หากเปรียบเทียบกับบ่าของพี่ใหญ่แล้ว ก็แคบกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น 

 

 

เพราะว่า…….เขาดูผอมกว่าพี่ใหญ่มากทีเดียว 

 

 

นางทำหน้าหนาประดุจเปลือกไม้พันปี นั่งลงอย่างสบายอกสบายใจ 

 

 

สองขาแกว่งไปมาอย่างสนุกสนาน มือข้างหนึ่งก็จับคางเอาไว้ ก้มหน้าลงไปพูดกับเขา 

 

 

“คนบางคนปากแข็งไม่ยอมรับ แต่ว่าร่างกายกลับซื่อตรงอย่างยิ่ง…….” 

 

 

นางหรี่ตาลงหัวเราะ โดยไม่สนใจพวกผีกุ่ยหลัวซาอีก 

 

 

ตอนนี้นางอารมณ์ดีมาก รู้สึกเหมือนกับพวกเขาล้วนกลับคืนมาแล้ว 

 

 

……………………………………………..