บทที่ 1503 รับโทษครบและถูกปล่อยตัว

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เย่สิงคงกับตานฉิงทำสีหน้าอึ้งเล็กน้อย เรื่องนี้ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้ยิน รู้สึกเช่นกันว่าทั้งสองกำลังปิดบังฐานะกันและกันอยู่ ไม่คิดว่าเป็นความจริง แต่พออวิ๋นอ้าวเทียนเอ่ยมาแบบนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นลัทธิมารเสียหายหนักขนาดไหนเพราะความโกรธของเหมียวอี้ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างระมัดระวัง

สุดท้ายเย่สิงคงก็พยักหน้าบอกว่า “เช่นนั้นก็เชื่อฟังประมุขปราชญ์ ดูว่าเหมียวอี้จะว่าอย่างไรแล้วค่อยตัดสินใจ”

จากนั้นทั้งสองก็กล่าวอำลา อวิ๋นเซี่ยวไปส่งด้วยตัวเอง

หลังจากอวิ๋นเซี่ยวกลับมาที่ตำหนักใหญ่ที่อีกครั้ง ก็เดินมาข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านพ่อ เจ้าสองคนนี้…”

อวิ๋นอ้าวเทียนยกมือตัดบท “พวกเขาทำแบบนี้ก็ไม่มีอะไรผิด ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนอื่น ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ตอบตกลง แน่นอน ต่อให้น้องชิวกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันแบบนั้น ข้าก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ตระกูลอวิ๋นของข้าไม่ทำเรื่องขายผู้หญิงแลกเกียรติยศหรอก แต่ในเมื่อมีเหมียวอี้บังหน้าให้ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับพวกเขา ส่งต่อให้เหมียวอี้จัดการเองก็สิ้นเรื่อง”

อวิ๋นเซี่ยวพยักหน้า แต่ก็ถามอย่างสงสัยอีกว่า “ขนาดพวกเรายังไม่รู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นพวกเขาที่รู้ก่อน สงสัยคนที่อยู่ข้างกายน้องชิวจะแอบปล่อยข่าว แต่น้องชิวตั้งใจจะปิดบังพวกเรา เกรงว่านางคงจะไม่อยากให้เหมียวอี้รู้เช่นกัน กลัวว่าเหมียวอี้จะก่อเรื่อง แล้วพวกเราไปบอกเหมียวอี้แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”

อวิ๋นอ้าวเทียนหรี่ตา “น้องชิวเป็นผู้หญิงของเหมียวอี้ ถ้าแม้แต่ผู้หญิงของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เช่นนั้นเขาก็โทษคนอื่นไม่ได้แล้ว ติดต่อเหมียวอี้หน่อย บอกเรื่องนี้ให้เขารู้ ให้เขาจัดการเองตามเห็นสมควร ส่วนทางด้านน้องชิว ในเมื่อนางไม่ยอมบอกพวกเรา งั้นพวกเราก็แสร้งไม่รู้ก็ได้”

“รับทราบ!” อวิ๋นเซี่ยวเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ตรงนั้นเลย

แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทะเลทรายหินอันกว้าง ประตูใหญ่สุญญะที่มีรอยแยกไม่หยุดยังคงอยู่ เงาร่างอันโดดเดี่ยวเดินออกมาจากจุดลึกของทะเลทรายหินอย่างไม่รีบร้อน บนตัวสวมเกราะรบ ในมือถือทวนเกล็ดย้อน มองข้ามปราณชั่วร้ายที่ลอยไปลอยมา เขาคือเหมียวอี้ที่ซ่อนตัวในทะเลทรายหินแห่งนี้มาหลายเดือนแล้วนั่นเอง

คนที่จะมารับเขารออยู่ข้างนอกแล้ว ทหารยามที่อยู่ข้างนอกได้รับคำสั่งให้ปล่อยตัว ในที่สุดเขาก็รับโทษครบและถูกปล่อยตัวแล้ว

ตอนที่ออกมาจากประตูใหญ่สุญญะได้ประมาณร้อยกว่าจั้ง เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หยิบระฆังดาราออกมาแล้วขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ไม่น่าเชื่อว่าอวิ๋นเซี่ยวจะส่งข่าวมา

ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร จึงถามกลับไป ตอนยังไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอได้รู้ว่ามีคนอยากได้อวิ๋นจือชิว เขาก็เลิกคิ้วไม่หยุด ถามอีกว่า : ลัทธิมารของพวกเจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง?

อวิ๋นเซี่ยว : เรื่องนี้ท่านพ่อย่อมไม่ตอบตกลงอยู่แล้ว ตอนนี้ยังควบคุมได้ ให้มาถามเจ้าว่ามีความเห็นยังไง

เหมียวอี้ : เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง เดี๋ยวข้าจัดการเอง

หลังจากติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อภายนอก บอกว่าตัวเองมาถึงหน้าประตูแล้ว สามารถออกไปได้แล้ว

รอจนกระทั่งข้างนอกตอบกลับมาแล้ว แจ้งให้เปิดผนึกออกแล้ว จู่ๆ เขาก็เร่งฝีเท้า ถือทวนพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พอเงาร่างกระโจนออกไป ก็บุกเข้าไปในช่องสุญญะที่มีรอยแยกแตกแขนงไม่หยุด

ที่ท้องฟ้าด้านนอก เหยียนซิว หยางเจาชิง สวีถังหราน เฟยหงมาแล้ว รองแม่ทัพภาคตงจิ่วเจินก็มาเช่นกัน ทั้งยังมีผู้บัญชาการใหญ่ของกองมังกรดำอีกหลายคน ทั้งหมดจับจ้องมาที่ประตูใหญ่ในดาราจักรที่เปิดออก

ในช่องสุญญะที่มีสายฟ้ากะพริบวิบวับ จู่ๆ ก็มีเงาคนคนหนึ่งวับวาบออกมา แล้วถูกทหารยามด้านนอกสกัดไว้

สวีถังหรานลูบฝ่ามือ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “หรูฮูหยิน ท่านแม่ทัพภาคยังคงเกรียงไกรเหมือนเดิม ตอนนี้ท่านก็วางใจได้แล้วนะ” เขาปลาบปลื้มจากใจจริง ขณะเดียวก็ทึ่งจากใจจริง ปล่อยไว้ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์หนึ่งพันปี ไม่น่าเชื่อว่าจะรอดกลับมาได้ ผู้บังคับบัญชาของเขาคนนี้ช่างดวงแข็งจริงๆ ยังไม่มีอุปสรรคไหนที่ผู้บังคับบัญชาท่านนี้ก้าวผ่านไปไม่ได้

เฟยหงที่เงยหน้ามองก็พยักหน้าอย่างปีติยินดี

แต่ตอนนี้พวกเขาก็ยังมองได้แค่ไกลๆ ทหารยามกำลังตรวจค้นตัวเหมียวอี้อยู่ ป้องกันไม่ให้นำของต้องห้ามออกมาจากแดนดึกดำบรรพ์

หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างปกติ ทั้งสองฝ่ายส่งหลักฐานให้กันและจัดการตามระเบียบเรียบร้อยแล้ว  เหมียวอี้ที่ได้รับการปล่อยตัวถึงได้เหาะเข้ามาทางนี้

พวกสวีถังหรานที่ตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบก็กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “คารวะท่านแม่ทัพภาค”

ไม่เห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าดีใจที่ได้หลุดออกจากกรงเลย เพียงพยักหน้าเบาๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี

ตอนนี้เฟยหงถึงได้ค่อยๆ ด้าวขึ้นมาข้างหน้า แล้วย่อเข่าทำความเคารพอย่างเรียบร้อย เหมียวอี้ยื่นมือข้างหนึ่งไปประคองแขนนาง แล้วกล่าวปลอบใจ “ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว”

เฟยหงส่ายหน้าเบาๆ แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน “นายท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ”

เหมียวอี้ให้นางหลบไปยืนอีกข้าง ตอนนี้ตงจิ่วเจินก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แม่ทัพภาคสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็นับเป็นเรื่องโชคดีของกองมังกรดำแล้ว หัวหน้าภาคอวี่ถ่ายทอดคำสั่งลงมาแล้ว บอกว่าหลายปีมานี้นายท่านลำบาก เตรียมจะให้นายท่านพักผ่อนให้สบายสักหนึ่งปีแล้วค่อยกลับไปรายงานตัว” สายตาไปหยุดอยู่บนสัญลักษณ์บงกชรุ้งขั้นหนึ่งตรงหว่างคิ้วเหมียวอี้ แอบรู้สึกใจเต้นเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะบรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว

ที่จริงคนอื่นก็เห็นแล้วเช่นกัน ตอนนี้มีอารมณ์แตกต่างกันไปก็เท่านั้นเอง

เหมียวอี้พยักหน้า “ในแดนดึกดำบรรพ์มีสิ่งที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน ในหนึ่งพันปีมานี้ข้าใช้ชีวิตอย่างวิตกกังวลจริงๆ แทบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง โชคดีจริงๆ ที่ยังไม่ตาย ข้าเองก็อยากพักผ่อนเช่นกัน ในหนึ่งพันปีมานี้คิดถึงสหายเก่าบางคนมาก ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมเยียนสักหน่อย หัวหน้าภาคอวี่ให้หยุดพักผ่อนพอดีเลย เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าคุ้มกันส่งหรูฮูหยินกลับไป ข้างกายข้าเหลือเหยียนซิวไว้คนเดียวก็พอแล้ว”

เหยียนซิวกุมหมัดเอ่ยรับคำสั่ง ส่วนคนที่เหลือก็มองหน้ากันเลิกลั่ก นี่จะให้พวกเรากลับแล้วเหรอ?

ตงจิ่วเจินยิ้มเจื่อน “เมื่อครู่นี้พวกเราเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จ เตรียมจะไปจัดงานเลี้ยงต้อนรับนายท่านแถวๆ นี้ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

“รอให้ข้ากลับกองมังกรดำก่อนแล้วค่อยเรียกคนอื่นมาร่วมงานด้วยกันเถอะ พวกเจ้ากลับไปก่อน” เหมียวอี้กล่าว

“ให้ข้าอยู่ปรนนิบัตินายท่านมั้ยคะ?” เฟยหงกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลอยู่ข้างๆ

ทุกคนพยักหน้าพร้อมอมยิ้ม คนนี้ควรจะมีเอาไว้ นายท่านอดกลั้นมาหนึ่งพันปี ในเวลานี้ควรจะมีสาวงามอยู่ข้างกายเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายสักหน่อย ถ้าพูดถึงความงดงาม หรูฮูหยินท่านนี้ย่อมไม่มีที่ติอยู่แล้ว

ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเหล่ตามองเฟยหงอย่างเย็นเยียบ แล้วกล่าวอย่างเย็นชาโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ “เชื่อฟังคำสั่ง!”

ปากเฟยหงพึมพำนิดหน่อย มีแวบหนึ่งที่ทำสีหน้าน้อยใจ แล้วเอ่ยรับว่า “ค่ะ!”

ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ต่างก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รู้สึกว่าวันนี้นายท่านดูอารมณ์ไม่ปกติ หรูฮูหยินอุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อต้อนรับ แต่นายท่านกลับไม่รับไมตรีเลยสักนิด จะไล่กลับไปอย่างนี้เลยเหรอ? ทุกคนนับว่ามองออกแล้ว ว่านายท่านเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นที่แดนดึกดำบรรพ์

ไม่มีใครอยากซวยในเวลานี้ ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งอยู่แล้ว จากนั้นก็คุ้มกันส่งเฟยหงจากไปแล้ว

หลังจากเหลือเหยียนซิวอยู่แค่คนเดียว เหมียวอี้ก็หยิบแผนที่ดาวออกมายืนยันทิศทาง พอบอกว่า “ไป” เขาก็นำเหยียนซิวเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง

ระหว่างทางเหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมา ติดต่อเชียนเอ๋อร์เพื่อถามรายละเอียดเรื่องอวิ๋นจือชิว

เชียนเอ๋อร์นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะรู้แล้ว นางตกใจไม่เบา ทำได้เพียงเล่ารายละเอียดที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างซื่อสัตย์ ต่อให้จะบอกอย่างซื่อสัตย์ขนาดนี้ แต่ก็ยังโดนเหมียวอี้ตำหนิไปยกหนึ่ง บอกว่าถ้าครั้งหน้ามีเรื่องปิดบังไม่รายงานอีก ทำผิดกฎของบ้าน ก็ไม่อาจอภัยได้!

“เชียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป?”

ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ อวิ๋นจือชิวที่อาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา หลังจากอาบน้ำแล้วสวมชุดกระโปรงผ้ามุ้งบางตัวใหญ่หลวม ยากที่จะปิดบังทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่ปรากฏวับๆ แวมๆ ได้ นางเดินออกมาโดยมีเสวี่ยเอ๋อร์ติดตาม พอเห็นเชียนเอ๋อร์หน้าซีด นางก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ

เชียนเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน  “ยินดีด้วยค่ะฮูหยิน นายท่านเพิ่งจะส่งข่าวมา บอกว่าออกจากแดนดึกดำบรรพ์ได้อย่างปลอดภัยแล้ว”

อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งจะนั่งลงอย่างสบายใจและปล่อยให้เสวี่ยเอ๋อร์หวีผมที่ยาวสยายงงทันที ข่าวดีก็ส่วนข่าวดี แต่ตามหลักการแล้ว หลังจากเหมียวอี้ออกมาก็ควรจะติดต่อตนคนแรกสิ ทำไมถึงติดต่อเชียนเอ๋อร์ก่อนล่ะ? เรื่องนี้ค่อนข้างไม่ชอบมาพากล นางขมวดคิ้วมุ่น “เจ้ามีเรื่องอะไรปิดบังข้าใช่มั้ย?”

เชียนเอ๋อร์ก้มหน้า “ฮูหยิน นายท่านรู้เรื่องฉู่จื่อซานแล้วค่ะ เมื่อครู่นี้ตั้งใจมาถามข้าเรื่องนี้โดยเฉพาะ นายท่านโกรธมากที่ข้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ปิดบังเรื่องนี้” พอนางบอกแบบนี้ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน

“เขารู้ได้ยังไง? สงสัยฝั่งท่านปู่จะรู้แล้ว…” อวิ๋นจือชิวพึมพำ แล้วหันไปตีต้นขาเสวี่ยเอ๋อร์ บอกใบ้ให้นางหวีผมต่อไป ก่อนจะยิ้มพร้อมปลอบใจทั้งสอง  “พวกเจ้าไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่ตรงนี้ นายท่านไม่กล้าทำอะไรพวกเจ้าหรอก อย่างมากข้าก็ต้องเล่นบทผู้หญิงปากร้ายอีกสักครั้ง รักษาโรคนี้ให้เขาโดยเฉพาะ”

สาวใช้ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เมื่อนางพูดแบบนี้ทั้งสองก็วางใจขึ้นเยอะ ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ถ้าฮูหยินปรี๊ดแตกขึ้นมา ต่อให้นายท่านจะมีเหตุผลแต่ก็จะกลายเป็นไม่มีเหตุผล ทั้งบ้านก็มีแค่ฮูหยินคนเดียวที่สยบนายท่านเวลาโมโหร้ายได้

“สิ่งที่ยุ่งยากตอนนี้ก็คือ ข้ากลัวว่าเขาจะโมโหร้ายและทำซี้ซั้ว! กับเรื่องแบบนี้เกรงว่าข้าจะขัดขวางเขาไม่ได้ ต้องคิดหาวิธีการหน่อย…” อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะถอนหายใจ ระฆังดาราที่ใช้ติดต่อเหมียวอี้ก็มีข้อความเข้ามาแล้ว พอติดต่อได้ เรื่องแรกที่เหมียวอี้ทำก็คือ บอกว่าตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว

เพื่อที่จะไม่ให้เชียนเอ๋อร์ลำบากใจ อวิ๋นจือชิวก็แกล้งทำเหมือนเพิ่งรู้เช่นกัน : กลับมาก็ดีแล้ว ข้าเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เมื่อไรจะมาหาข้าล่ะ?

ในตอนนี้เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาคุยกระหนุงกระหนิงกับนาง : เรื่องฉู่จื่อซานนี่ยังไง?

อวิ๋นจือชิว : ท่านปู่ข้าบอกเจ้าเหรอ?

เหมียวอี้ : ข้าถามว่าทำไมเจ้าปิดบังข้า?

อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจะจัดการให้ดีเอง ข้าไม่กล้าสวมเขาให้เจ้าหรอก เจ้าไม่ต้องกังวลไร้สาระ

เหมียวอี้ : จัดการให้ดีเหรอ? เจ้าจะจัดการยังไง? เจ้าโดนกักให้อยู่ในร้านจนออกไปไหนไม่ได้ง่ายๆ แล้ว จะสังหารฝ่าออกมาเหรอ หรือจะวิ่งเข้าใส่กับดักล่ะ?

อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว!

เหมียวอี้พูดไม่ออกไปครู่หหนึ่ง พอนึกขึ้นได้ว่าทิ้งนางไว้หลายปีขนาดนี้ ไฟโกรธก็หายไปครึ่งหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว ไม่พูดจารุนแรงขนาดนั้นแล้ว : เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งหรอก เจ้ารออยู่ในร้านอย่างสงบใจได้เลย ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง

อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้ว : หนิวเอ้อร์ เจ้าเพิ่งจะออกมา อย่าทำอะไรซี้ซั้วเด็ดขาด

ซี้ซั้วเหร? เหมียวอี้โมโหทันที : ข้าบอกว่าข้าจะจัดการเรื่องนี้ เจ้าจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟัง?

อวิ๋นจือชิว : ถ้าไม่เชื่อฟังแล้วจะทำไม?

เหมียวอี้ : งั้นวาสนาของเราสองคนก็มาถึงจุดจบแล้ว เจ้าคิดเอาเองเถอะว่าต้องทำยังไง!

อวิ๋นจือชิวโวยวายด่าเป็นชุดทันที ผลปรากฏว่าทางนั้นไม่ตอบกลับแล้ว นางโมโหจนขว้างระฆังดาราออกไปทันที

ขณะมองดูระฆังดาราตกลงพื้น เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็มองหน้ากันเลิกลั่ก เชียนเอ๋อร์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ฮูหยิน นายท่านเป็นยังไงเหรอ?”

“ไอ้คนไม่รักดี ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่เขาทำเหมือนข้าทำผิดอะไรมาอย่างนั้นแหละ ข้าไม่ได้อยากก่อเรื่องคบชู้กับใครเสียหน่อย…” ปากอวิ๋นจือชิวก็ด่าซ้ำไปซ้ำมา แต่น้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้ว ที่จริงคำพูดเมื่อครู่นี้ของเหมียวอี้ทำร้ายนางเข้าแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังถอนหายใจแล้วบอกว่า “ไปบอกผู้เฒ่าฟ่าน ว่าให้เขาปล่อยเรื่องนั้นไป”

ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ หลังจากหยุดติดต่อกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ก็ติดต่อไปหามู่อวี่เหลียน ผู้บัญชาการใหญ่ธงพยัคฆ์น้ำเงินที่เข้าเวรเฝ้าอุทยานหลวง ออกคำสั่งลับให้มู่อวี่เหลียนแอบย้ายกำลังทหารครึ่งหนึ่งออกจากสวนบรรณาการแต่ละแห่ง แอบรวบรวมทัพใหญ่ห้าหมื่นไปยังดาวจิ่วหวนที่น่านฟ้าระกาติง และสั่งว่าให้กำลังพลมาถึงภายในครึ่งปีนี้ ใครเปิดเผยความรับจะมีโทษหนัก

ไม่จำกัดเวลาคงไม่ได้ สวนบรรณาการมีอยู่ทั่วใต้หล้า มีไกลบ้างใกล้บ้าง ส่วนกำลังพลกองมังกรดำที่เฝ้าอยู่ทางอุทยานหลวง เหมียวอี้ไม่ได้เรียกมาเลยสักคน และไม่ได้บอกข่าวให้รู้ด้วย

…………………………