ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 43 วางแผน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ณ วังหลวงแห่งรัฐโบราณคิมหันตวายุ

ภายในสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง จักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานกำลังรวมตัวกันอยู่ พวกเขาดื่มสุราพลางพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย เรื่องที่สนทนากันก็คือบุคคลสำคัญของทั้งดินแดนจิตโลกาในตอนนี้…จ้าวหิมะเหินนั่นเอง!

“ได้ยินมาว่าแม้แต่บรรพชนนิจรัตติกาลก็ยังไปเยี่ยมคารวะจ้าวหิมะเหินเลย บรรพชนนิจรัตติกาลยังลั่นสัตย์สาบานด้วยตนเองเพื่อบรรเทาความแค้นอีกด้วย” จักรพรรดิชางพูดพลางหัวเราะฮ่าฮ่า “จะว่าไปแล้ว คนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนนี้ อย่างน้อยบรรพชนนิจรัตติกาลก็จริงใจ บอกว่าจะก้มหัวให้ก็ก้ม แต่บรรพชนราตรีนิรันดร์ผู้นั้นกลับปลอมเป็นที่สุด!”

“ฮ่าฮ่า เกรงว่าบัดนี้บรรพชนราตรีนิรันดร์คงจะยุ่งยากใจเป็นอย่างมาก” บรรพชนฝานพูดยิ้มๆ “แรงคุกคามของอิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้น่าเกรงกลัวกว่าแต่ก่อนมากทีเดียว เมื่อเขาเรียกรวมตัวคราหนึ่ง เกรงว่าเผ่าชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักคงจะมีประมุขโลกกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาแล้วฟังคำสั่งจากเขา”

“อื้ม” จักรพรรดิเซี่ยพยักหน้า “ท่าทีรุ่งโรจน์ของเขา ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานได้”

“ใช่แล้ว มิอาจต้านทานได้” บรรพชนฝานพึมพำ “ผู้บำเพ็ญคนอื่นๆ คิดอยากได้สมบัติล้ำค่าทั้งหลายของหุบเขาเขี้ยวหักมาก็แสนจะยากลำบาก แต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเลย ก็มีชนพื้นเมืองกลุ่มใหญ่มามอบให้ถึงมือด้วยตนเอง”

“ต่อให้อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ใครใช้ให้เขตลวงโลกเทียมของเจ้าห่างไกลกับเขาตั้งมากมายกันเล่า” จักรพรรดิชางพูดอยู่อีกข้างหนึ่ง

“เขตลวงโลกเทียมของเขาชักจะร้ายกาจเกินไปแล้ว!” บรรพชนฝานส่ายหน้า

วิถีสองสาย

หนึ่งคือวิถีอากาศ อีกหนึ่งคือวิถีเขตลวงโลกเทียม ล้วนทำให้อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงแนวโน้มที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะจะยกระดับขึ้นจนน่าหวาดหวั่น!

นอกจากนี้ยังมีการช่วยเหลือจากโอกาสต่างๆ ในหุบเขาเขี้ยวหัก ซึ่งต้านทานได้ยากเข้าไปอีก

“เอ๊ะ พูดถึงจ้าวหิมะเหิน จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็มาถึงแล้ว” จักรพรรดิเซี่ยพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาทันใด พวกเขาทั้งสามคนพากันมองไปกลางอากาศไกลออกไป ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวผู้หนึ่งเดินออกมากลางอากาศแล้วร่อนลงมายิ้มๆ โดยไม่มีความหยิ่งผยองเลยแม้แต่น้อย เขาเป็นฝ่ายคารวะด้วยความเกรงอกเกรงใจก่อน “คารวะจักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางขอรับ”

“จ้าวหิมะเหิน มาๆๆ นั่งลงสิ” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ยขึ้น

“เมื่อครู่พวกเรายังสนทนาเรื่องเจ้ากันอยู่เลย เจ้าก็มาถึงเสียแล้ว” บรรพชนฝานกล่าว “หิมะเหิน บัดนี้สิ่งมีชีวิตที่ไร้ศัตรูบางคนก็ยังพูดกันว่า เกรงว่าในภายหน้าเจ้าคงจะกลายเป็นผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกา เหนือกว่าจักรพรรดิเซี่ยและราชันย์อนธการเสียอีก!” บรรพชนฝานพูดพลางปรายตามองจักรพรรดิเซี่ยที่อยู่ด้านข้างยิ้มๆ

“ข้ายังมิทันได้สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลย ยังห่างไกลอีกมากขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว

จักรพรรดิเซี่ยกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็เห็นด้วยกับวาจานี้ แม้ข้าจะได้รับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งมาเช่นเดียวกัน แต่จนใจที่ไม่มีอาวุธเทพคละถิ่นอยู่ในมือ ท่าไม้ตายสุดท้ายของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งก็มิอาจสำแดงออกมาได้ เมื่อวิถีอากาศของเจ้าบรรลุถึงขั้นสุดยอด มีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและมีอาวุธเทพคละถิ่น ต่อให้ราชันย์อนธการผู้นั้นสู้สุดชีวิต ก็เกรงว่าคงทำได้เพียงใกล้เคียงกับเจ้าเท่านั้นกระมัง”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ลอบทอดถอนใจ

อาวุธเทพคละถิ่นกับเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งนั้นช่วยเหลือเกื้อกูลกัน! หากมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งเพียงอย่างเดียว ต่อให้ได้รับสมบัติลับอันสูงส่งทางด้านวิถีอากาศอื่นๆ มาก็มิอาจสำแดงท่าไม้ตายสุดท้ายของเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งได้

“หากวิถีเขตลวงโลกเทียมของจ้าวหิมะเหินบรรลุถึงขั้นสุดยอด ก็ยิ่งยากจะทำนายได้แล้ว บัดนี้ ว่ากันว่าระดับจักรพรรดิบางคนภายในหุบเขาเขี้ยวหัก เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าก็ต้องถูกกระบวนท่าและจมดิ่งลงไป หากบรรลุถึงขั้นสุดยอด ข้าและขั้นสุดยอดคนอื่นๆ จะจมดิ่งลงไปในชั่วความคิดเดียว ข้าก็จะไม่แปลกใจเลยสักนิด” จักรพรรดิชางรำพึง “เดิมทีวิถีวิญญาณก็ยากลำบากและซับซ้อนมากอยู่แล้ว เกรงว่าเมื่อบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ในตอนสุดท้าย เกรงว่าก็คงจะมีความพิสดารต่างๆ มากมายเป็นแน่”

ไม่ว่าจะเป็นวิถีสายใด หากบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ ก็ล้วนมีความพิเศษทั้งสิ้น

ดังนั้นขั้นสุดยอดโดยทั่วไป แม้จะไม่มีสมบัติลับอันสูงส่ง ความสามารถในการรักษาชีวิตก็ล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง! ส่วนวิถีวิญญาณบรรลุถึงขั้นครบสมบูรณ์ขั้นสุดยอด จะมีลูกไม้ระดับใดกัน พวกเขาก็ยากจะทำนายได้

“ข้าก็อยากจะบรรลุถึงขั้นสุดยอดเหมือนกันขอรับ แต่ก็จนใจเพราะยากนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ

“จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝาน จักรพรรดิชาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดขึ้นอีก “ที่ข้ามาในครั้งนี้ ก็เพราะมีเรื่องอยากจะขอร้องให้พวกท่านทั้งสามช่วยเหลือนะขอรับ”

“อ้อ จ้าวหิมะเหินผู้องอาจ สามารถเรียกประมุขโลกทั้งหลายให้มารวมตัวกันและช่วยเหลือได้แล้ว ยังต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราอีกหรือนี่” บรรพชนฝานพูดสัพยอก

“จ้าวหิมะเหินเชิญพูดมาเถิด ต้องการสิ่งใดพวกเราจะช่วยเหลือเอง” จักรพรรดิเซี่ยเอ่ย

จักรพรรดิชางก็มองดูตงป๋อเสวี่ยอิง

พวกเขาทั้งสามต่างก็แปลกใจ จ้าวหิมะเหินผู้นี้มีสมบัติล้ำค่าจำนวนนับไม่ถ้วน บัดนี้อำนาจก็ยิ่งใหญ่พอตัว หกรัฐโบราณก็ยังต้องเห็นแก่หน้าเขา อย่างบรรพชนนิจรัตติกาลและประมุขรัฐจันทร์บุปผาก็ไปเยี่ยมเยียนและลั่นสัตย์สาบานออกมาเพียงเพื่อผูกความสัมพันธ์กับเขาโดยเฉพาะ! จะมีก็แต่ ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์’ ที่มีความแค้นค่อนข้างใหญ่หลวงและยังรักษาหน้าตนเองอยู่เท่านั้นที่ยังคงลังเลอยู่ อิทธิพลยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ยังจะขอให้พวกเขาสามคนช่วยเหลืออะไรอีกเล่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าคิดอยากจะกำจัดราชันย์อนธการอมตะทิ้ง!”

“กำจัดราชันย์อนธการอมตะทิ้งอย่างนั้นหรือ”

พวกจักรพรรดิเซี่ยทั้งสามคนตกใจใหญ่ ไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง

“เขาเป็นถึงผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของดินแดนจิตโลกาในตอนนี้” จักรพรรดิเซี่ยกล่าว หากเขาสำแดงกระบวนท่าสู้สุดชีวิตขึ้นมา ข้าเองก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้เลย เจ้าอยากกำจัดเขาหรือ”

“เรื่องการห้ำหั่นต่อหน้าไม่ต้องกังวลขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ข้ามั่นใจ ข้าสามารถเชิญประมุขโลกต่างๆ มาช่วยได้ มีถึงสามสิบห้าคนด้วยกัน! หรือต่อให้เป็นร้อยคน ก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด”

จักรพรรดิเซี่ย บรรพชนฝานและจักรพรรดิชางได้ฟังแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนแปรไป

ประมุขโลกเป็นร้อยคนหรือ

ด้วยข้อกำหนดกฎเกณฑ์ที่หยวนทิ้งเอาไว้ ทำให้ชนพื้นเมืองหุบเขาเขี้ยวหักที่สามารถเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้ อย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงระดับจักรพรรดิระดับต้นเท่านั้น ส่วน ‘เผ่ามรณะทมิฬ’ ที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งจนเข้ากระดูกนั้นมิอาจเข้ามายังดินแดนจิตโลกาได้เลย! แม้กระบวนท่าของจักรพรรดิระดับต้นจะหยาบกว่าอยู่บ้าง แต่หากพูดถึงแค่อานุภาพ ก็ทัดเทียมกับจักรพรรดิเซี่ยเลยทีเดียว จักรพรรดิเซี่ยอาศัยความพิสดารของกระบวนท่าสามารถจัดการกับประมุขโลกคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย

แต่หากห้าหกคนร่วมมือกัน จักรพรรดิเซี่ยก็ต้องตกเป็นรอง

“ก่อนหน้านี้เพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้น ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจอิทธิพลของจ้าวหิมะเหินภายในหุบเขาเขี้ยวหักแล้วล่ะ” บรรพชนฝานทอดถอนใจ

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้พูดอะไรให้มากความ

อย่าว่าแต่ประมุขโลกเลย

เขาถึงขั้นสามารถเชิญให้จักรพรรดิและแม่ทัพเทพเป็นโขยงมาช่วยเขาได้!

ส่วนประมุขโลกน่ะหรือ ที่ตนสามารถเชิญมาได้นั้นมีมากมายเกินไปแล้ว

“ประมุขโลกกลุ่มหนึ่ง ร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบออกมา ก็เพียงพอให้ครองความได้เปรียบได้แล้ว เมื่อวิธีการสู้สุดชีวิตของราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นไม่มีแล้ว ก็มีหวังจะสังหารเขาได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “บัดนี้ ที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ…หากเขาหนีไปโดยไม่ยอมสู้ แต่หนีเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียวแล้ว เกรงว่าข้าจะนำประมุขโลกกลุ่มหนึ่งไปก็มิอาจหาตัวเขาได้พบ”

“อื้ม”

“ถูกต้อง หากเขาจะหนี เจ้าจะหาอย่างไรก็หาไม่พบหรอก”

“หากขั้นสุดยอดทั่วไปจะหนีเอาชีวิตรอด ก็ยากที่จะสะกดรอยได้” วิถีสองสายของราชันย์อนธการอมตะ บรรลุถึงขั้นสุดยอด หากเขาจะหนีเอาชีวิตรอด แล้วเจ้าจะพบได้อย่างไรกันเล่า ประมุขโลกชนพื้นเมืองเหล่านั้นมีพลังเยี่ยมยอด แต่การเข้าใจกฎเกณฑ์นั้นห่างไกลลิบลับอย่างยิ่ง ไม่มีทางหาตัวราชันย์อนธการอมตะพบได้เลย”

พวกจักรพรรดิเซี่ยทั้งสามคนต่างก็พูดขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เห็นด้วย ดังนั้นมารร้ายขั้นสุดยอดจึงสามารถสร้างหายนะให้แก่ดินแดนจิตโลกาได้ เพราะเมื่อหนีเอาชีวิตรอด เก็บงำกลิ่นอายและซ่อนเร้นระลอกคลื่นเสีย ก็ยากที่จะ ‘หาร่องรอย’ ได้แล้ว

“ดังนั้นข้าจึงได้มาหาพวกท่านถึงที่นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว “ขอให้ท่านสามคนช่วยเหลือ ดูว่าพอจะมีวิธีใดสะกดรอยได้บ้างหรือไม่ หากเขาหลบหนีไป ก็ดูร่องรอยของเขาและไล่สังหารต่อไปได้”

“จะตามรอยราชันย์อนธการอมตะ ยากนัก!” จักรพรรดิเซี่ยกล่าว

ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกาย จักรพรรดิเซี่ยเพียงแค่พูดว่ายาก มิได้บอกว่า ‘เป็นไปมิได้’!

“จักรพรรดิเซี่ยมีวิธีหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม “หากจักรพรรดิเซี่ยสามารถช่วยข้าสังหารราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นไปได้ ข้ามีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกเปลวเพลิงอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถมอบให้จักรพรรดิเซี่ยได้”

จักรพรรดิเซี่ยฟังแล้วก็นัยน์ตาเป็นประกาย

เขามีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกอากาศอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่มีสมบัติลับอันสูงส่งจำพวกเปลวเพลิงเลย

“เดิมพันใหญ่หลวงนัก” จักรพรรดิชางอุทาน

“เพื่อสังหารราชันย์อนธการอมตะ เจ้าทำใจทุ่มทุนได้มากนักจริงๆ” บรรพชนฝานก็พึมพำขึ้นมา “ในภายหน้าพลังของเจ้าอาจจะเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาก็เป็นได้ แต่หากพูดถึงจำนวนสมบัติล้ำค่า บัดนี้เจ้าก็เป็นอันดับหนึ่งในดินแดนจิตโลกาไปแล้ว เบื้องหลังเจ้ายังมีเผ่าชนพื้นเมืองของหุบเขาเขี้ยวหักคอยช่วยเหลืออีกด้วย เทียบไม่ได้ เทียบไม่ได้จริงๆ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับไถ่ถามต่อไปว่า “มีวิธีสะกดรอยและไล่สังหารเขาหรือขอรับ”

“ถึงอย่างไรราชันย์อนธการอมตะก็มีวิถีสองสายบรรลุถึงขั้นสุดยอด แม้จะเป็นการเข่นฆ่าที่มีการโจมตีอันแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่การเก็บซ่อนความสามารถก็แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน ข้าเองก็มิอาจสะกดรอยได้” จักรพรรดิเซี่ยส่ายหน้า “ทว่าในดินแดนจิตโลกา ก็มีคนผู้หนึ่งที่สามารถสะกดรอยเขาจนพบได้”

“ผู้ใดหรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม

“เจ้าเมืองอนันต์!”

จักรพรรดิเซี่ยกล่าวว่า “ข้าและเจ้าเมืองอนันต์เคยสนทนากัน ข้าเคยได้ยินว่า ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะหนีกลับไปยังดินแดนจิตโลกา และเคลื่อนไหวโดยเก็บซ่อนร่องรอยเอาไว้ ตอนนั้นเจ้าเมืองอนันต์ก็พบเขาแล้ว แต่เจ้าเมืองอนันต์บำเพ็ญวิถีพิเศษ นิสัยก็แปลกพิกล จะสามารถเชิญเขาได้หรือไม่ ข้าก็ไม่มั่นใจแต่อย่างใดเลย ก็ขึ้นอยู่กับลูกไม้ของจ้าวหิมะเหินเองแล้วล่ะ”

“เจ้าเมืองอนันต์หรือขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อยๆ

ต่อให้ตนเชิญยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาล้อมโจมตี ในดินแดนจิตโลกา หากราชันย์อนธการอมตะจะหนี ก็สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายและหนีหายไปได้อย่างรวดเร็วอย่างไร้ร่องรอย

จะสะกดรอย ก็มีเพียงเจ้าเมืองอนันต์เท่านั้นเองหรือ

แต่เจ้าเมืองอนันต์…

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็ไม่มั่นใจ นี่คือขั้นสุดยอดที่มีนิสัยแปลกประหลาดที่สุดในทั้งดินแดนจิตโลกาแล้ว

“ไปลองดูเสียหน่อยดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ต้องคิดหาทุกวิถีทางเขาก็ต้องขอให้เจ้าเมืองอนันต์ช่วยเหลือให้จงได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

……………………………….