บทที่ 768 ไม่อยากเชื่อ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 768 ไม่อยากเชื่อ

เขาจะสู้อย่างไรดีนะ?

หลินเป่ยเฉินยืนถือกระบี่สายฟ้านิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน

ศัตรูที่เด็กหนุ่มเคยเผชิญหน้าก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ให้บริวารของเขาจัดการก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกงกง เซียวปิง หรือว่าอาจารย์ฉู่ ไม่ต้องถึงมือเฉียนเหมยเสียด้วยซ้ำ

เพราะเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในนครเจาฮุย ไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งมากพอให้หลินเป่ยเฉินต้องลงมือด้วยตัวเอง

เมื่อไม่ได้ลงมือเองนานเข้า จึงเกิดเป็นความเคยชิน

นอกจากมีสถานะเป็นศิษย์เอกของอดีตเซียนกระบี่ติงซานฉือแล้ว จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของหลินเป่ยเฉินก็คือพละกำลังในร่างกาย

และการวางกลยุทธ์อันปราดเปรื่องของเขา

หลินเป่ยเฉินใช้ความสามารถเหล่านั้นฝ่าฟันผ่านทุกอุปสรรคมาได้จนถึงตอนนี้

แต่การปะทะฝีมือกับเหลียงหยวนเตาเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินกลับพบว่าตนเองไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนบนร่างกายของชายอ้วนได้เลยแม้แต่รอยเดียว ราวกับว่าการทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดของเขา ไม่เกิดประโยชน์อันใดสักนิด

มันทำให้หลินเป่ยเฉินต้องใช้พลังมากเกินไป

หลังจากนิ่งคิดอยู่อีกเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจรับประทานยาลูกกลอนฟื้นฟูพลัง

เขาล้วงหยิบโอสถต้าหลี่ออกมาจากด้านในอกเสื้อและกลืนลงคอโดยทันที

นี่คือยาลูกกลอนจากฝีมือของอานมู่ซี

ต่อจากนั้น หลินเป่ยเฉินเตรียมใช้งานวิชาโลหิตกระชากวิญญาณ ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเปลี่ยนเลือดในร่างกายให้เป็นพลังลมปราณหรือพละกำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่การใช้งานวิชาโลหิตกระชากวิญญาณในปัจจุบันสำหรับหลินเป่ยเฉิน มันไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนเก่าก่อนอีกแล้ว เพราะด้วยความที่เขามีพละกำลังในร่างกายเทียบเท่ากับผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย วิชาโลหิตกระชากวิญญาณจึงไม่สามารถช่วยเพิ่มเติมพลังให้เขาได้นับสิบเท่าเหมือนเมื่อก่อน

พลังลมปราณหรือเรี่ยวแรงในร่างกายนั้นจะเพิ่มเติมขึ้นมาเพียง 0.5 เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่คิดใช้งานวิชานี้เลยหากมันไม่จำเป็นจริง ๆ เพราะทุกครั้งที่เขาใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณ ร่างกายก็จะสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพในระยะยาวแน่นอน

แต่ถึงกระนั้น พลังที่เพิ่มขึ้นมา 0.5 เท่า ก็อาจเป็นปัจจัยที่สร้างความแตกต่างสำคัญ ซึ่งหลินเป่ยเฉินจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม ลมหายใจต่อมา เหลียงหยวนเตากลับไม่คิดโจมตีตอบโต้

ชายอ้วนยังคงนั่งนิ่งเฉยอยู่บนเสลี่ยง รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก

“บัดนี้เจ้าคงเข้าใจแล้วกระมัง?”

ดวงตาเล็กหยีเป็นประกายระยิบระยับขณะเหลียงหยวนเตากล่าวต่อไปด้วยเสียงเนิบนาบ “เจ้าหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองถือไพ่เหนือกว่าข้า เจ้าหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองมีพลังสูงส่งกว่าข้า เจ้าหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองจะสามารถต่อกรกับข้าได้ ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว… เจ้าไม่มีโอกาสชนะข้าเลยด้วยซ้ำ ช่องว่างของพลังระหว่างพวกเรามันมีมากเกินไป เจ้าเปรียบเสมือนลูกแมวน้อยที่คิดจะมาทาบรัศมีกับพญาเสือใหญ่”

“ปรากฏว่าท่านเจ้าเมืองก็พูดจารู้เรื่องได้เหมือนกันนี่นา”

หลินเป่ยเฉินสวนกลับไป

ในหัวใจยิ่งร้อนผ่าวด้วยความคับแค้น ทำไมเหลียงหยวนเตาถึงไม่ได้ตื่นตกใจเลยนะ? อุตส่าห์มาเยือนถึงค่ายผู้อพยพที่ยิ่งใหญ่สวยงามทั้งที เหตุไฉนชายอ้วนจึงได้มีท่าทีเฉยชาเช่นนี้?

ราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

ราวกับว่าไม่เห็นหลินเป่ยเฉินอยู่ในสายตา

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ไร้ความหมาย

ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับถูกกำหนดจุดจบเอาไว้แล้ว

ทันใดนั้น เหลียงหยวนเตาก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะสยายยิ้มกว้างด้วยความเย็นชา “ปากคอของเจ้าช่างร้ายกาจนัก แต่ข้ายังไม่สังหารเจ้าหรอก ข้าจะให้เจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อ เพื่อเห็นสิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นมาพังทลายไปต่อหน้าต่อตา ได้เห็นญาติพี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายของเจ้าทุกคน ถูกไล่ล่าฆ่าฟันไม่ต่างจากสุนัขข้างถนน โดยที่เจ้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้อีก”

พูดจบ

ชายอ้วนก็เคาะนิ้วมือลงไปบนที่วางแขนของที่นั่งบนเสลี่ยงอย่างแผ่วเบา

การเคาะนิ้วของเหลียงหยวนเตาแผ่วเบาก็จริง แต่เสียงนิ้วมือที่เคาะกับที่วางแขนนั้น กลับดังกังวานไปไกลหลายลี้ภายใต้อากาศอันหนาวเหน็บอย่างไม่น่าเชื่อ

สามแม่ทัพใหญ่จากกองทัพประจำเมืองนำโดยแม่ทัพโค้วจงพลันมีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันที

“ถ่ายทอดคำสั่ง เตรียมตัวโจมตี”

โค้วจงคำรามเสียงดังสนั่น

เมื่อได้ยินคำสั่งของแม่ทัพใหญ่ ธงทั้งสามผืนประจำกองทัพก็โบกสะบัดในอากาศอีกครั้ง

จังหวะการโบกสะบัดผืนธง สอดคล้องกับจังหวะการย่ำกลองรบ

หลังจากนั้น นายทหารทุกคนก็เริ่มต้นก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง จังหวะการย่างเท้าสอดคล้องกับจังหวะการย่ำกลอง และเป้าหมายของพวกเขาก็คือค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง

ในเวลาเดียวกันนี้ แม่ทัพใหญ่อีกสองคนอย่างหวงเฟิงกับหลิวหยุนก็สั่งเดินขบวนทัพของตนเองเช่นกัน

ผืนธงปลิวไสวในอากาศ

กองทัพของพวกเขาเดินหน้ามุ่งตรงไปสู่ค่ายที่พักของผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่ง

ยามที่นายทหารนับหมื่นคนย่ำเท้าก้าวเดินอย่างพร้อมเพรียง พื้นดินก็ถึงกับสั่นสะเทือนราวเกิดเหตุแผ่นดินไหว

บรรยากาศแปรเปลี่ยนไป

การปะทะกันระหว่างสองยอดฝีมือ กำลังจะเปลี่ยนไปกลายเป็นการรบพุ่งระหว่างกองทัพของทั้งสองฝ่าย

แม่ทัพใหญ่ทั้งสามคนของเหลียงหยวนเตานับเป็นขุมกำลังสำคัญของกองทัพประจำนครเจาฮุย พวกเขาเป็นผู้ที่ต้องออกไปต่อสู้กับชาวทะเล จึงได้รับการจัดสรรทรัพยากรไม่เคยขาดแคลน อีกทั้งระดับพลังของแม่ทัพนายกองจำนวนมาก ก็ยังมีความสูงล้ำมากกว่ามือกระบี่ทั่วไป

สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

เด็กหนุ่มรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อนึกภาพการปะทะกันระหว่างกองทัพของตนเองกับกองทัพของอีกฝ่าย

หลินเป่ยเฉินไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการรับมือกับกองทัพจำนวนมากเช่นนี้ คือสิ่งที่ทำให้สูญเสียพลังไม่ใช่น้อย และนั่นก็จะส่งผลให้การต่อสู้กับไอ้หมูตอนเหลียงหยวนเตาต่อจากนี้มีความไม่แน่นอนมากกว่าเดิม…

ต้องไม่ลืมว่าแม่ทัพใหญ่เหล่านี้เป็นผู้มีประสบการณ์ในสนามรบโชกโชน พวกเขามีความชำนาญเรื่องการวางกลยุทธ์ ได้รับความช่วยเหลือจากสุดยอดผู้ใช้ค่ายอาคมประจำกองทัพ ลำพังให้หลินเป่ยเฉินจัดการนายทหารกว่า 30,000 คนเหล่านี้ โดยไม่ต้องมาพะวงเรื่องเหลียงหยวนเตา ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างเร็วไว

หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ หลินเป่ยเฉินก็พุ่งตัวกลับขึ้นไปยังกระโจมที่พักซึ่งอยู่บนยอดไม้อีกครั้ง

“เฉียนเหมย”

หลินเป่ยเฉินตัดสินใจเปิดประตูและปล่อยสาวรับใช้ออกมา

บัดนี้ เฉียนเหมยมีดวงตาเป็นประกายแวววาวราวกับได้เห็นอาหารจานโปรด ใบหน้าของนางประดับรอยยิ้มด้วยความดีใจอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด

“จวงปู้โจว”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง

แล้วหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองอีกส่วนหนึ่งก็เดินออกมาปรากฏตัวอยู่ใต้ต้นไม้

จวงปู้โจวก้าวออกมาข้างหน้า ก่อนประสานมือทำความเคารพหลินเป่ยเฉินด้วยความนอบน้อม

บัดนี้ แม่ทัพหนุ่มแห่งหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองมีชีวิตที่เปี่ยมสุขมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ชีวิตของเขาดีขึ้นทันตาเห็นหลังประจบประแจงหลินเป่ยเฉินจนได้ดีตั้งแต่สมัยทำงานอยู่ในเหมืองใต้ดิน

และเมื่อได้รับการฝึกพิเศษจากหลินเป่ยเฉิน ระดับพลังของจวงปู้โจวก็พุ่งสูงมากกว่าเดิม นับตั้งแต่มาอาศัยอยู่ในนครเจาฮุย เขาก็เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ แทบทุกวันต้องออกไปต่อสู้กับกองทัพชาวทะเล หรือไม่อย่างนั้น หลินเป่ยเฉินก็จะส่งตัวจวงปู้โจวเข้าไปฝึกพิเศษในเกม Lost Castle

ด้วยเหตุนี้ แม่ทัพหนุ่มจึงมีสถานะสูงส่งและได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คนจำนวนมาก

“พี่ไต้…”

“ฉิวหลิง”

“อาจารย์หลิว…”

“อาจารย์พาน…”

หลินเป่ยเฉินทยอยขานชื่อยอดฝีมือในค่ายที่พักของตนเองออกมาทีละคน

ยอดฝีมือทุกคนที่ถูกเรียกชื่อพากันปรากฏตัวออกมาด้วยความรวดเร็ว

ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ระดับพลังของพวกเขาสูงขึ้นมาก

ทุกคนได้รับประทานยาบำรุง ได้ซึมซับพลังจากสมุนไพรวิเศษ ได้ฝึกฝนการต่อสู้ในเกม Lost Castle…

ฝีมือกระบี่ของพวกเขาจึงน่ากลัวมากขึ้น

เปรียบดั่งผลไม้กำลังสุกงอมได้ที่

ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างกำลังรอคอยโอกาสที่ตนเองจะได้สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักของผู้คนบ้าง

และขณะนี้โอกาสนั้นได้มาถึงแล้ว!!