ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 45 ยอดเคารพซื่อฝา

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตงป๋อเสวี่ยอิงฟังจนเข้าใจแล้ว หลังจากบรรลุขั้นสุดยอด ต่อไปก็จะค่อยๆ มุ่งหน้าเข้าใกล้ ‘สิ่งมีชีวิตคละถิ่น’มากขึ้นเรื่อยๆ! อย่างเจ้าศิลาก็ตั้งใจเดินในเส้นทาง ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ มาตลอด เจ้าเมืองอนันต์ก็เดินไปตามเส้นทางของตนเองเช่นกัน เขาอาศัยการสอดส่องระเบียบกฎเกณฑ์มาวิเคราะห์กฎเกณฑ์อันสูงส่ง! ส่วนเรื่องการเข้าร่วมสังหารราชันย์อนธการอมตะนั้น เห็นได้ชัดว่าคงจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางของเขาเป็นอันมาก

 

ทำให้เส้นทางของเขายากลำบากขึ้นเป็นพันเป็นหมื่นเท่า เรื่องเช่นนี้ เจ้าเมืองอนันต์จะต้องไม่ยอมทำอย่างแน่นอน!

 

‘ตัดเส้นทางการบำเพ็ญ’ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคนใด ก็ถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจทั้งสิ้น!

 

“ท่านเจ้าเมือง ท่านผิดแล้วล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับยังไม่ยอมแพ้ หากแต่แค่นเสียงต่อไปว่า “ท่านคิดว่าเส้นทางของท่านทำเช่นนี้แล้วจะถูกต้องอย่างนั้นหรือ ไม่หรอก ผิดต่างหาก”

 

“ผิดรึ อ้อ ข้าผิดตรงไหนกัน” เจ้าเมืองอนันต์กลับเป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเอง

 

“วิญญาณ…คือแก่นแท้ของผู้บำเพ็ญ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงหนักแน่น “แต่ท่านเจ้าเมืองทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่วิญญาณปรารถนาที่สุดคือสิ่งใด”

 

“ปรารถนาสิ่งใดหรือ” เจ้าเมืองอนันต์อยากรู้ขึ้นมา ชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้าผู้นี้ คือผู้ที่เดินไปได้ไกลที่สุดบนเส้นทางวิญญาณในประวัติศาสตร์ของดินแดนจิตโลกา

 

“อิสรภาพ!”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเบา เขาจำได้ไม่ลืมว่า ตอนที่ช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จับตัวไปเป็นทาสนั้น วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนได้เปล่งเสียงโห่ร้องออกมา เป็นเสียงโห่ร้องอย่างอิสระ! วิญญาณเป็นอิสระโดยกำเนิดอยู่แล้ว

 

“วิญญาณแต่ละดวงล้วนแต่ปรารถนาอิสรภาพทั้งสิ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก “ปรารถนาอิสรภาพ ปรารถนาจะหลุดพ้น แล้วบำเพ็ญอย่างไม่หยุดหย่อน ต้องมีปณิธานเช่นนี้จึงจะมีหวังกระโดดออกจากกรงขังแล้วสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ แต่ท่านเจ้าเมืองกลับกลัวแต่ว่าจะทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ พยายามระมัดระวังให้แปดเปื้อนเหตุปัจจัยน้อยที่สุด ราวกับผู้ชมดูอยู่ข้างๆ คนหนึ่ง ท่านเฝ้าดูอย่างระมัดระวัง จนกลายเป็นผู้รักษา ‘ระเบียบกฎเกณฑ์’ ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ไปเสียแล้ว”

 

“เดิมทีพวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งที่เปลี่ยนแปรไปอยู่แล้วนี่” เจ้าเมืองอนันต์กลับส่ายหน้า

 

“พวกเราถือกำเนิดขึ้นจากกฎเกณฑ์อันสูงส่งเปลี่ยนแปรไป แต่พวกเรามิใช่ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่งเสียหน่อย กฎเกณฑ์อันสูงส่งเป็ฯเพียงเปลของพวกเราเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็ต้องกระโดดออกจากกรงขังให้ได้อยู่ดี!” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องมองเจ้าเมืองอนันต์ “หากยินยอมเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์อันสูงส่ง一 จนถึงขั้นมิกล้าส่งผลกระทบต่อระเบียบกฎเกณฑ์เป็นอย่างมาก เช่นนั้นก็จะยิ่งไม่มีหวังหลุดพ้นแล้ว”

 

“ท่านพูดได้มีเหตุผล”

 

เจ้าเมืองอนันต์ส่ายหน้า “แต่ข้ามีเส้นทางของข้าเอง! ท่านไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้วล่ะ”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเงียบงัน

 

เขาไม่ยอมจำนน

 

แต่เขาก็เข้าใจว่า ผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดคนหนึ่ง และกำลังยกระดับขึ้นไปด้วย ผู้บำเพ็ญระดับขั้นเช่นนี้ มิอาจโน้มน้าวได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

 

นอกเสียจากตัวเขาเองจะได้พบปัญหาต่างๆ มากมายระหว่างการบำเพ็ญ แล้วทบทวนตนเองจนรู้แจ้ง จึงเปลี่ยนเส้นทางของตนเอง คนอื่นจะพูดไปก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตนไม่เข้าใจเส้นทางของเขา!

 

……

 

ณ เมืองหิมะเหิน

 

“มิน่าเล่า ผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจึงรู้สึกว่าเขาสุขุมที่สุดและนิสัยดีที่สุด แม้เมืองอนันต์ของเขาจะมีกฎระเบียบเข้มงวด แต่ขอเพียงรักษาระเบียบไว้ ก็จะไม่เป็นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “ถือตนเองเป็นผู้ชมระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งหมดโดยไม่สอดมือยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ นิสัยนี้…ช่างเป็นคนที่แปลกพิกลคนหนึ่งจริงๆ”

 

เข้าใจเส้นทางของเขา ยังสามารถเข้าใจได้

 

เมื่อเทียบกับเจ้าเมืองอนันต์ผู้นี้แล้ว บรรพชนราตรีนิรันดร์ บรรพชนนิจรัตติกาล บรรพชนฝาน จักรพรรดิเซี่ย ราชันย์อนธการอมตะ ประมุขรัฐเสียดฟ้า ประมุขรัฐจันทร์บุปผาและคนอื่นๆ ก็อยู่กับความเป็นจริงกว่ามาก  พวกเขาต่างก็มีสิ่งที่รักและชังเป็นของตนเอง

 

“ทำเช่นไรดี”

 

“เขาไม่ยอมรับปาก ก็ไม่มีผู้ที่สะกดรอยได้”

 

“หรือจะต้องทำถึงขั้นเมื่อล้อมสังหารก็ต้องสังหารได้เลยทันที” ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้สักเท่าใดนัก ประมุขโลกกลุ่มหนึ่งล้อมสังหารเพื่อลอบโจมตี เมื่อราชันย์อนธการอมตะรู้ว่าท่าไม่ดีแล้วก็ต้องหลบหนีไปเป็นแน่ ทำให้เขาไร้ทางหนีรอดหรือ สามารถมองข้ามความเป็นไปได้ไปได้เลย! เพราะถึงอย่างไรหากพูดถึงความพิสดารของกระบวนท่าแล้ว ราชันย์อนธการอมตะก็สูงชั้นกว่าประมุขโลกชนพื้นเมืองมากมายนัก

 

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังเค้นสมองครุ่นคิดนั้น ร่างแยกของเขาที่ทิ้งเอาไว้ในโลกแสงดาวก็ได้รับสารจากจักรพรรดิ

 

เป่ยเหอ

 

“จ้าวหิมะเหิน ข้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ควรเคลื่อนไหวได้แล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอถ่ายเสียงบอก

 

“เคลื่อนไหวหรือ ได้สิ!” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับปากทันที

 

เรื่องสังหารราชันย์อนธการอมตะ เขาของพักไว้ด้านหนึ่งก่อนชั่วคราว เพื่อไตร่ตรองให้ดีๆ ว่ายังมีวิธีใดอีก

 

เขาจะไปช่วยจักรพรรดิเป่ยเหอก่อน เพราะถึงอย่างไรก็รับปากเอาไว้ก่อนแล้ว

 

******

 

ณ โลกเป่ยเหอ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงภายในโถงตำหนัก

 

“พี่หิมะเหิน” ‘จักรพรรดิเป่ยเหอ’ ในอาภรณ์สีเขียวทั้งร่างที่นั่งรออยู่บนบัลลังก์ก่อนแล้วผุดลุกขึ้นมา ภายในตำหนักใหญ่ก็มีแม่ทัพเทพคนอื่นๆ อยู่ด้วย รวมมีแม่ทัพเทพทั้งหมดสิบคน ซึ่งก็คือแม่ทัพเทพที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกจากทั้งสามสิบหกคน ตามปกติแล้วพวกเขาล้วนค่อนข้างหยิ่งทะนง และรักอิสระเป็นอย่างมาก ครั้งนี้เขาสามารถเรียกตัวมาได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าจักรพรรดิเป่ยเหอจริงจังเพียงใด

 

“จักรพรรดิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือขอรับ”

 

“เตรียมพร้อมแล้ว!”

 

จักรพรรดิเป่ยเหอมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า “พี่หิมะเหิน สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลากระมัง”

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ไม่ทราบว่าจะไปที่ใด เป็นท่านใดในยอดเคารพทั้งสามหรือขอรับ”

 

“ยอดเคารพซื่อฝา” จักรพรรดิเป่ยเหอกล่าว

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ยอดเคารพซื่อฝาถือได้ว่าเป็นคนที่ไม่เลวในบรรดายอดเคารพทั้งสามแห่งเผ่ามรณะทมิฬ แต่ก็ โหดเหี้ยมอำมหิตเช่นเดียวกัน ถือเป็นมารร้ายตัวฉกาจโดย สมบูรณ์ อาจจะเพราะถือกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางความตาย ยอดเคารพซื่อฝาจึงรู้สึกว่าการสังหารสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และทำให้พวกเขากลับคืนสู่ความตายได้ เป็นการ ‘ทำทาน’ อย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาผู้ชมชอบการทำทาน จึงได้ร่อนลงไปในโลกของชนพื้นเมือง เขาถึงขั้นทำพิธีก่อนการทำทาน จากนั้นก็ทำทานครั้งหนึ่ง  ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกแห่งหนึ่งกลับสู่ ‘ความตาย’

 

ยอดเคารพซื่อฝาเชื่อว่า นี่คือการทำทาน เป็นความเมตตา

 

แต่สำหรับชนพื้นเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว กลับรู้สึกว่าน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นตงป๋อเสวี่ยอิง ก็ยังรู้สึกว่านี่คือ มารร้ายโดยกำเนิด!

 

“ที่ผ่านมาแม้ข้าจะเคยไปยังเกาะซื่อฝาแล้ว แต่ยังมิทันได้พบหน้ายอดเคารพ ก็ถูกโจมตีและไล่ตะเพิดออกมาแล้ว ครั้งนี้มีพี่หิมะเหินอยู่ ข้าจึงมั่นใจ” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดยิ้มๆ “บุญคุณใหญ่หลวงครั้งนี้ ข้าจะจดจำเอาไว้ รอให้กลับออกมาจากเกาะซื่อฝา ข้าจะต้องตอบแทนพี่หิมะเหินมิให้เสียเปรียบเลย”

 

“ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นยอดเคารพ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว หนึ่งในห้ายอดเคารพคงมิได้รับมือง่ายถึงเพียงนั้น

 

“ได้ ไป ออกเดินทางกันเถิด!”

 

จักรพรรดิเป่ยเหอหัวเราะเสียงดัง

 

เขาและตงป๋อเสวี่ยอิงเดินเคียงข้างกัน ส่วนแม่ทัพเทพคนอื่นๆ ทั้งสิบก็ตามมาด้านหลัง พวกเขาทะลุอากาศตรงไปยังโลกเป่ยเหอ

 

……

 

เกาะซื่อฝา

 

สามารถถูกยอดเคารพผู้หนึ่งครอบครองและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ หากพูดถึงพื้นที่แล้ว ก็ย่อมสามารถจัดอยู่ในสามอันดับแรกของเกาะลอยคว้างในหุบเขาเขี้ยวหักได้ ที่นี่มีทั้งอันตรายและโอกาสอยู่ร่วมกัน ที่นี่น่ากลัวกว่า เกาะของ ‘ราชันย์เหยี่ยน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสามราชันย์มากนัก! ลำพังแค่ ‘ยอดเคารพซื่อฝา’ เพียงคนเดียวก็มีแรงคุกคามอันน่าหวาดหวั่นแล้ว

 

สวบๆๆๆๆๆ!!!!!!

 

พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝาแห่งนี้

 

แม้เกาะซื่อฝาจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับมีทางเดินหินปูลาดเอาไว้ทั่ว ทางเดินหินตัดผ่านไปมา ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะ

 

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าก็ลอบตกใจ แม้เขาจะเคยไปยังเกาะลอยคว้างมากมาย แต่เกาะลอยคว้างอื่นๆ ก็ล้วนแต่ดั้งเดิมมาก มีเพียงดินแดนชนเผ่าเท่านั้นจึงจะสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษอยู่บ้าง! ต้องรู้ไว้ว่าในโลกของผู้บำเพ็ญมีอาหารชั้นเลิศนานาชนิด มีสิ่งก่อสร้างซึ่งมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป มีคูเมืองรายล้อม…พวกมันต่างก็มีลักษณะแตกต่างกันไป แต่เกาะลอยคว้างนั้นมีแต่รูปแบบดั้งเดิมมาโดยตลอด

 

“ไม่เสียทีที่ยอดเคารพซื่อฝาผู้นี้เป็นยอดเคารพ อย่างน้อยก็ได้สร้างเกาะลอยคว้างขึ้นมาบ้างในขั้นต้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ

 

รายงานบันทึกเอาไว้ว่า ยอดเคารพซื่อฝานั้นอยู่ระหว่างความจริงและความลวง

 

แล้วศัตรูของเขาก็จะสิ้นใจไปอย่างไร้สุ้มเสียง

 

เป็นผู้ที่มีวิธีการสังหารศัตรูที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดายอดเคารพทั้งห้า

 

พวกเขาทั้งสิบสองคนร่อนลงบนเกาะซื่อฝา ยังมิทันได้เคลื่อนไหว แสงสีดำรำไรที่เปล่งออกมาจากทางเดินหินด้านข้าง ก็สาดส่องลงบนร่างของพวกเขาทั้งสิบสอง

 

“ถูกพบเข้าแล้ว” จักรพรรดิเป่ยเหอพูดพลางหัวเราะเบาๆ

 

“เป่ยเหอ เจ้าถึงกับกล้าบุกรุกเกาะซื่อฝาเชียวรึ” สิ้นเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยว เงาร่างกำยำผิวสีดำทะมึนซึ่งสวมเกราะตลอดร่างก็เคลื่อนที่ในพริบตามาปรากฏกายขึ้น เขากุมหอกยาวสีดำขนาดมหึมาเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือขณะยืนอยู่กลางอากาศ

 

 

…………………………………..