ตอนที่ 761 เลียนเสียงหมู

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ด้านล่างสังเวียนต่อสู้ในตอนนี้ สีหน้าของคนตระกูลจูทุกคนบิดเบี้ยวเหยเกอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อมั่นว่าฝ่ายตระกูลจูที่มีถึงสิบสองคนจะไม่มีทางพ่ายแพ้ต่อคนเจ็ดคนของฝ่ายตระกูลฉื่ออย่างแน่นอน คิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่เพียงคนเดียวจะเอาชนะศิษย์ตระกูลจูจำนวนมากได้ในเวลาสั้น ๆ

ศิษย์เหล่านั้นถูกเตะกระเด็นออกจากสังเวียนทีละคนโดยที่ไม่มีหนทางต้านทานแม้แต่น้อย

ในฐานะผู้นำตระกูล จูปี้รู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่และเจ็บปวดในหัวใจอย่างที่สุดทว่าไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เมื่อเห็นว่าตอนนี้สมาชิกจากตระกูลจูของตนเหลือเพียงจูโหย่วจ้วงคนเดียวเท่านั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้…

ใบหน้าของจูยงเองก็บิดเบี้ยวไม่ต่างกัน เดิมทีเขาวางแผนให้ศิษย์ของตระกูลจูสั่งสอนฉินอวี้โม่ในการคัดเลือกครานี้ ทว่าแผนการของเขาก็พังไม่เป็นท่า หนำซ้ำยังรู้สึกเหมือนกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่เช่นนี้

บรรดาศิษย์ที่มีฝีมือโดดเด่นซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของตระกูลจูไม่สามารถรับมือกับกระบวนท่าเดียวของฉินอวี้โม่ได้ด้วยซ้ำ นี่เป็นการตบหน้าของคนทั้งตระกูลจูต่อหน้าสาธารณะและเป็นโอกาสที่คนเหล่านั้นจะหัวเราะเยาะตระกูลจูของพวกเขาได้

ในทางตรงกันข้าม ในฟากของตระกูลฉื่อ ทุกคนตื่นเต้นและทึ่งกับสิ่งที่เห็นอย่างมาก ฉินอวี้โม่กำจัดศิษย์ตระกูลจูออกจากการแข่งขันได้อย่างง่ายดายและนั่นทำให้ขวัญกำลังใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

เดิมทีพวกเขาก็ทราบดีว่าฉินอวี้โม่ทรงพลังอย่างมาก ทว่าตอนนี้ความชื่นชมภายในใจกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น การได้นางเป็นผู้อาวุโสของตระกูลฉื่อเรียกได้ว่าเป็นการที่สวรรค์เมตตาต่อตระกูลฉื่อจริง ๆ

“นี่ฉินอวี้โม่เก่งกาจเกินไปหรือตระกูลจูอ่อนแอเกินไปกันแน่ ? เหตุใดนางถึงดูผ่อนคลายยิ่งนัก ?”

หลายคนอดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ความแข็งแกร่งของศิษย์จากตระกูลจูเหล่านั้นก็บรรลุขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับฉินอวี้โม่ที่มีพลังในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวเช่นเดียวกันนั้น พวกเขากลับต่อกรกับกระบวนท่าเดียวของนางไม่ได้ด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะทราบถึงความบาดหมางระหว่างฉินอวี้โม่และตระกูลจู พวกเขาก็อาจคิดไปว่าตระกูลจูจงใจอ่อนข้อให้ฉินอวี้โม่ก็เป็นได้

บนสังเวียนการต่อสู้ จอมยุทธ์อิสระผู้นั้นคุกเข่าลงและวิงวอนขอความเมตตาด้วยความรู้สึกผิดในการตัดสินใจของตน

หากเขาไม่เลือกยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลจูเมื่อครู่ ต่อให้จะไม่ได้ช่วยฉินอวี้โม่และวางตัวเป็นกลาง เขาก็คงได้เป็นหนึ่งในสิบผู้เข้ารอบดังที่หวังไว้ อย่างไรก็ตาม เขาก็รนหาที่ตายเสียเองและเลือกยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลจู ตอนนี้แม้แต่คนเหล่านั้นก็ถูกฉินอวี้โม่กำจัดออกจากสังเวียนไปเกือบทั้งหมดแล้ว ตัวเขามีฝีมือไม่เก่งกาจเท่าคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ แล้วเขาจะมีโอกาสอยู่บนสังเวียนนี้ต่อไปได้อย่างไร ?

“เหอะ ใจเสาะชะมัด ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ !”

จางเหิง—จอมยุทธ์อิสระอีกคนที่ติดตามฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ต้นอดกล่าวออกไปไม่ได้ เขามองดูจอมยุทธ์ที่กำลังคุกเข่าและวิงวอนขอความเมตตาจากฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเย้ยหยัน

ในฐานะชายชาตรีผู้แกร่งกล้าที่มีพลังถึงขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าว ไม่คาดคิดเลยว่าบุรุษผู้นี้จะไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ บุคคลเช่นนี้ไม่คู่ควรแก่การเคารพนับถือเลยจริง ๆ

“หากเจ้าไม่อ้อนวอนขอความเมตตาและสู้กับข้าอย่างซึ่ง ๆ หน้า บางทีข้าก็อาจจะปล่อยให้เจ้าเข้ารอบไปได้ !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาก่อนเตะคนตรงหน้าออกไปทันที

“อ๊ากกก !”

โครมมม !

ด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวด บุรุษผู้นั้นก็กระเด็นออกไปและร่วงกระแทกลงในพื้นที่เปิดโล่งข้างหลังฝูงชนด้วยเสียงดังโครมก่อนหมดสติไปทันที

“จูโหย่วจ้วง เจ้าพร่ำบอกว่าพวกข้าจบสิ้นแล้วมิใช่รึ ?”

ฉื่อไท่หลางก้าวออกไปหยุดข้างฉินอวี้โม่พร้อมกับสมาชิกตระกูลฉื่อคนอื่น ๆ และยิ้มเยาะให้กับจูโหย่วจ้วงผู้ซึ่งมีสีหน้ากังวลจนเหงื่อตกอยู่ตรงหน้า

“เหอะ พวกเจ้าจัดการข้าไม่ได้หรอก ตอนนี้บนสังเวียนเหลือคนน้อยกว่าสิบคนแล้วและนั่นหมายความว่าข้าผ่านเข้ารอบต่อไป !”

จูโหย่วจ้วงพยายามแสดงท่าทางที่กล้าหาญ ทว่าขาทั้งสองข้างที่เริ่มสั่นแสดงให้เห็นถึงความกังวลในหัวใจของเขาอย่างชัดเจน

“จริงรึ ? ข้าไม่ยักจะจำได้ว่ามีกฎบังคับเช่นนั้นด้วย กฎการคัดเลือกนี้คือผู้ที่เหลืออยู่บนสังเวียนจะได้สิทธิ์ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ทว่าไม่มีกฎบังคับตายตัวว่าจะต้องครบสิบคนเท่านั้น !”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

จูโหย่วจ้วงสั่นสะท้านและรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เคยทำลงไปทันที เหตุใดข้าจึงซวยไปมีเรื่องกับตัวอันตรายเช่นนี้…

“นายอำเภอจ้าว ถึงเวลาประกาศผลแล้วมิใช่หรือ ?”

จูยงอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและรีบกล่าวออกไป หากจูโหย่วจ้วงถูกกำจัดออกจากสังเวียนในตอนนี้ คุณชายใหญ่ตระกูลจูก็จะไม่มีโอกาสผ่านเข้าไปในรอบคัดเลือกของเมืองรอง และแน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมให้ลงเอยเช่นนั้นแน่

“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก การคัดเลือกยังไม่สิ้นสุดลง อาจจะยังมีบางคนที่ยืนหยัดอยู่บนสังเวียนไม่ได้”

จ้าวตั๋วไม่มีทางปล่อยให้จูยงได้สิ่งที่ต้องการง่าย ๆ และไม่มีความหวาดหวั่นในหัวใจแม้แต่น้อย เขายิ้มบาง ๆ และกล่าววาจาที่มีความหมายชัดเจน

“จ้าวตั๋ว อย่าให้มันมากนักเลย !”

จูยงฉุนเฉียวและแผ่แรงกดดันตรงไปที่จ้าวตั๋วอย่างไม่รีรอ

“จูยง กฎเกณฑ์ในการคัดเลือกเป็นสิ่งที่เราทั้งหมดหารือร่วมกันก่อนหน้านี้โดยไม่มีการกำหนดชัดเจนว่าต้องมีผู้เข้าแข่งขันเหลือบนสังเวียนกี่คน ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่มีคนไม่เกินกว่าสิบคนผ่านเข้าไปยังรอบต่อไป จำนวนสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของการต่อสู้เท่านั้น ข้าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปอย่างชัดเจนแล้ว”

สีหน้าของนายอำเภอซ่างหยวนไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เขายิ้มและตอบกลับได้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่มีสิ่งใดให้โต้แย้งได้

“ถูกต้อง เราต่างก็เข้าใจกฎเหล่านี้มาชัดเจนตั้งแต่แรก ผู้ที่เหลือบนสังเวียนจะมีสิทธิ์เข้าร่วมการคัดเลือกต่อไปทว่าไม่มีกฎบังคับว่าต้องมีกี่คน การที่ศิษย์ตระกูลจูของพวกเจ้าถูกกำจัดไป นั่นก็เป็นเพราะความอ่อนแอของพวกเขาเอง ทุกคนในที่นี้ต่างเป็นพยาน ทว่าตอนนี้เจ้ามากล่าวเช่นนี้ เจ้าคิดจะใช้อำนาจในการกดขี่ข่มเหงผู้อื่นรึ ?”

ฉื่อซิ่งกล่าวออกไปเช่นกัน ตระกูลฉื่อและตระกูลจูเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันมาตลอด เพราะเหตุนั้นพวกเขาจะไม่ยอมอยู่เฉยให้อีกฝ่ายทำอะไรได้ตามต้องการ

นอกเหนือจากจูโหย่วจ้วง ศิษย์ตระกูลจูทั้งหมดถูกกำจัดออกจากสังเวียนแล้วและนั่นทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก ในเวลานี้เขาไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลจูหาทางแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน

“เจ้า…”

ผู้อาวุโสจูยงโมโหจนพูดไม่ออก ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังในขอบเขตราชาเซียน ทว่าหลังจากได้ประจักษ์ต่อพลังความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ด้วยตัวเอง เขาก็ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใดบุ่มบ่าม สำหรับผู้ที่สามารถเตะคู่ต่อสู้ในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวออกจากสังเวียนไปทีละคนอย่างง่ายดายนั้น ในเวลานี้แม้แต่จูยงเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันว่าเขาจะเอาชนะนางได้ ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป

“ฉินอวี้โม่ สำหรับสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ นับประสาอะไรกับความคิดสกปรกเหล่านั้น นักปราชญ์ที่สูงส่งอย่างเจ้าย่อมไม่สนใจคนต่ำทรามอย่างข้า ถึงอย่างไรฝ่ายตระกูลฉื่อก็มีสมาชิกไม่ครบสิบคน ปล่อยข้าไปเถอะ อย่ากำจัดข้าเลย”

เพื่อให้ได้เข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป จูโหย่วจ้วงไม่สนใจเรื่องหน้าตาในสังคมหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีของตนอีกต่อไป เขาไม่รอช้าและรีบร้องขอความเมตตาด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“สหายฉื่อ ก่อนหน้านี้ตระกูลจูของข้าทำเกินไปจริงๆ ตราบใดที่สหายฉื่อสั่งห้ามศิษย์ของตระกูลฉื่อ ข้าให้คำมั่นว่าพวกเราจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูหรือทำให้ตระกูลฉื่อต้องขุ่นเคืองใจอีกต่อไป ศิษย์ของเราก็จะไม่มาหาเรื่องรังแกหรือเล่นงานตระกูลฉื่อลับหลังอีกเช่นกัน”

จูปี้ตระหนักถึงความสำคัญของการคัดเลือกครานี้เป็นอย่างดี หากพวกเขาไม่สามารถผ่านเข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไปได้ ตระกูลจูก็คงจบสิ้นโดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ‘คนผู้นั้น’ กำชับไว้ว่าตระกูลจูจะต้องผ่านการคัดเลือกรอบนี้ไปให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากจูโหย่วจ้วงถูกกำจัดจากสังเวียนไปในตอนนี้ ข้อตกลงนั้นก็ถือว่าสิ้นสุดลง และความแข็งแกร่งของ ‘คนผู้นั้น’ ก็มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะรับมือได้เลย !

เพราะเหตุนั้น เขาจึงแสดงเจตนาอ่อนข้อลงทันทีทว่าแววตายังคงฉายแววบางอย่าง ในอนาคตข้างหน้า ตระกูลจูและตระกูลฉื่อจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง สักวันเขาจะต้องสังหารฉื่อซิ่งและฉินอวี้โม่ด้วยตัวเขาเอง !

“นายอำเภอจ้าว เรายอมถอยกันคนละก้าวจะดีกว่า หากท่านสั่งให้ตระกูลฉื่อหยุดการต่อสู้เพียงเท่านี้ ข้าให้คำมั่นว่าในอนาคตข้างหน้าข้าจะไม่สงสัยในการตัดสินใจใดของท่านอีก ตระกูลจูของเราจะเชื่อฟังวาจาของท่านอย่างไม่มีเงื่อนไข ท่านนายอำเภอ ท่านจะว่าอย่างไร ?”

ทัศนคติและวาจาของจูยงอ่อนลงและเขาเริ่มแสดงท่าทีนอบน้อมขึ้นมา

จ้าวตั๋วและฉื่อซิ่งหันมองหน้ากันครู่หนึ่งทันที พวกเขารู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าท่าทางของจูปี้และจูยงผิดปกติอย่างมาก

ด้วยลักษณะนิสัยโดยปกติ ทั้งสองไม่มีทางยอมประนีประนอมหรืออ่อนข้ออย่างง่ายดายเช่นนี้แน่ ทว่าตอนนี้เพียงเพื่อให้ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ผ่านการคัดเลือก พวกเขากลับพลิกจากหน้ามือกลายเป็นหลังมืออย่างชัดเจนเช่นนี้ เกรงว่าหากจูโหย่วจ้วงได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไป มันจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นแน่

ทว่าเมื่อเขากำลังจะอ้าปากเอ่ยปฏิเสธ น้ำเสียงเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้นมา

“จะให้พวกเราหยุดงั้นรึ ? มันก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่เจ้าคุกเข่าและตะโกนว่าเจ้าเป็นหมู ดัง ๆ สิบครั้งและส่งเสียงร้องเหมือนหมูอีกสามครั้ง ข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป”

ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกได้เช่นกันว่ามีบางอย่างผิดปกติและท่าทางของทั้งผู้นำและผู้อาวุโสตระกูลจูแปลกไปอย่างสิ้นเชิง เพียงเพื่อให้จูโหย่วจ้วงได้ผ่านเข้ารอบต่อไป พวกเขาถึงขั้นยอมก้มหัวลงเช่นนี้ ตระกูลจูจะต้องมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่เป็นแน่

ต่อให้จูโหย่วจ้วงจะถูกเตะร่วงจากสังเวียนในตอนนี้ มันก็อาจจะขัดขวางเขาจากการเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบต่อไปไม่ได้ ตราบใดที่ตระกูลจูยังมีแผนการเตรียมไว้ พวกเขาจะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้สิทธิ์เข้าสู่เมืองรองเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกรอบต่อไปอย่างแน่นอน

แทนที่จะปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น การมอบความอัปยศอดสูให้กับจูโหย่วจ้วงในตอนนี้พร้อมกับลองเชิงดูท่าทีของจูยงและจูปี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

“เจ้า…”

จูโหย่วจ้วงคิดไม่ถึงเลยว่าฉินอวี้โม่จะกล่าวออกมาเช่นนี้ การที่สั่งให้เขาตะโกนว่าตนเป็นหมูสิบครั้งและเลียนเสียงร้องของหมูสามครั้งนั้นเป็นการกระทำที่หยามเกียรติอย่างที่สุด ในฐานะนายน้อยของตระกูลจู เขาไม่เคยต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูมากเช่นนี้มาก่อน

เขาหันไปมองบิดาและผู้อาวุโสจูยงเพื่อขอความช่วยเหลือแต่แล้วก็พบเพียงว่าทั้งสองพยักศีรษะเบา ๆ ให้กับเขาซึ่งบ่งบอกถึงการยินยอม

“ข้าเป็นหมู…”

เขากล่าวด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวและเป็นเสียงที่เบาหวิวราวกับเป็นเสียงยุงที่บินผ่านไป หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกลนัก เกรงว่าพวกนางก็คงไม่ได้ยินเสียงของเขาด้วยซ้ำ

“เสียงเบาเกินไป ไม่นับ”

ปฏิกิริยาตอบสนองของจูปี้และจูยงเป็นไปตามที่ฉินอวี้โม่คาดไว้และเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าตระกูลจูมีแผนการบางอย่างซ่อนไว้จริง ๆ

“จูโหย่วจ้วง เจ้าไม่ได้กินข้าวมารึไง ? เพิ่มเสียงขึ้นอีก !”

แม้ฉื่อไท่หลางจะไม่เข้าใจการกระทำของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก เขาและคนอื่น ๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ครานี้พวกเขาได้โอกาสเอาคืนและสั่งสอนจูโหย่วจ้วงทั้งที แน่นอนว่าเขาไม่ยอมพลาดมันเด็ดขาด

“เจ้า…”

สีหน้าของจูโหย่วจ้วงในตอนนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างที่สุด ทว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลย

“ข้าเป็นหมู…”

เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อยทว่าก็ยังแทบไม่ได้ยินเช่นเดิม ฝูงชนโดยรอบไม่ได้ยินมันเลยสักนิด

“ช่างมันเถอะ ถ้าไม่อยากทำก็ลงไปซะ!”

ฉินอวี้โม่ยักไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อนและตั้งท่าเตรียมโจมตี

“ช้าก่อน !”

จูโหย่วจ้วงรีบกล่าวเพื่อหยุดนางไว้และกระแอมเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงดัง “ข้าเป็นหมู ข้าเป็นหมู ข้าเป็นหมู…”

คำกล่าวซ้ำสิบครั้งดังชัดเจนทั่วบริเวณอำเภอซ่างหยวนและแม้แต่เสียงที่ก้องสะท้อนในตอนหลังก็ยังคงดังพอสมควร

“พรืดดด ! ฮ่า ๆ ๆ”

ทุกคนชะงักนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ได้

“ข้าล่ะชอบใจจริง ๆ !”

หลายคนกล่าวออกไปทันที พวกเขาเคยถูกคนของตระกูลจูรังแกอยู่บ่อยครั้งและในวันนี้พวกเขาก็ได้โอกาสหัวเราะเยาะอย่างไม่ต้องเกรงกลัวเสียที

“ดีมาก ทีนี้ก็เลียนเสียงร้องของหมู”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างพึงพอใจและมองตรงไปยังคุณชายใหญ่ของตระกูลจูที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้น

“เสียงร้องของหมูเป็นอย่างไรรึ ?”

สีหน้าของจูโหย่วจ้วงในตอนนี้ดูหดหู่ยิ่งนัก เขาชะงักไปทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และสับสนไปครู่หนึ่ง

“อืมม…ข้าจะสาธิตกับเจ้าอย่างไรดี ?”

ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและมันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้

“ข้ามีอสูรพันธสัญญาเป็นหมู ท่านต้องการให้มันสาธิตให้จูโหย่วจ้วงดูรึไม่ ?”

ใครคนหนึ่งจากท่ามกลางฝูงชนอดกล่าวออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็เรียกอสูรคู่กายของตนออกมาและมันมีลักษณะเป็นสุกรที่ผิวหนังเต็มไปด้วยลวดลาย

“มาเถอะ ส่งเสียงร้องให้คนนั้นฟัง”

บุรุษผู้นั้นชี้ไปที่จูโหย่วจ้วงบนสังเวียนและออกคำสั่งกับอสูรของตน

อสูรมายาของเขาก็มองไปที่จูโหย่วจ้วงก่อนส่งเสียงร้องอย่างว่าง่าย

“เอาล่ะ เจ้าลองเลียนเสียงของมัน ไม่ยากหรอก แค่สามครั้งเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะให้กับบุรุษผู้นั้นก่อนหันกลับมามองจูโหย่วจ้วงพร้อมรอยยิ้ม

“อู๊ด อู๊ด อู๊ด !!!”

“ฮ่า ๆ ๆ”

จูโหย่วจ้วงก็ส่งเสียงร้องเหมือนหมูสามครั้งและทำให้ทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่นออกมา