ตอนที่ 578 ภาพดันหลัง โดย Ink Stone_Fantasy
เถาซานอี้จากไปไม่นาน จั่วเจียจวิ้นก็กลับเข้ามายังคฤหาสน์ เมื่อเทียบกับสีหน้าห่อเหี่ยวของเยี่ยเทียนแล้ว “ปรมาจารย์จั่ว” มีความสุขเหลือล้น เปล่งประกายอย่างที่สุด
หลังจากเยี่ยเทียนประลองได้ชัยชนะแล้วค่อย ๆ ถอนตัวออกมา จั่วเจียจวิ้นก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยมหาเศรษฐีพวกนั้นทันที
บ้างก็เชื้อเชิญให้ทำนายฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์ บ้างก็ขอให้เขาทำนายชื่อ โดยรวมจั่วเจียจวิ้นก็คือตัวเอกงานเลี้ยงในวันนี้ กลบรัศมีเศรษฐีหมื่นล้านพวกนั้นจนหมด
อีกทั้งเพื่อนร่วมวงการฮวงจุ้ยในฮ่องกง หลังจากที่ได้ยินไช่หยางชิวบอกว่าพวกเขาจะดำเนินตามแนวทางของจั่วเจียจวิ้น ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอย่างที่สุด ราวกับยกย่องให้จั่วเจียจวิ้นเป็นปรมาจารย์ฮวงจุ้ยอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบัน
ดีที่สมองจั่วเจียจวิ้นยังไม่ไข้ขึ้น รู้ว่าในสำนักยังมีพี่น้องที่เหนือกว่าเขาอีกสองคน แต่ก็ถูกผู้คนมอมเหล้าไปไม่น้อย ขนาดอยู่แต่ไกลยังได้กลิ่นเหล้าโชย
“ศิษย์น้องรอง วันนี้ดื่มไปไม่น้อยสินะ?”
เห็นจั่วเจียจวิ้นมีท่าทางมึนเมามากมายอย่างนั้น โก่วซินเจียก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “มาพบกับ ไหวจิ่นสิ แต่ว่าเธอต้องนับเขาเป็นรุ่นพี่ล่ะ!”
พอได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็สร่างเมาขึ้นมาในทันที หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งลอยในอากาศรอบตัวเขา ก็ถูกเขาขับฤทธิ์สุราภายในตัวกำจัดออกมาจนหมดสิ้น
พอบังคับฤทธิ์สุราออกแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เดินไปยังข้างหน้าหนานไหวจิ่น ประสานมือโค้งตัวคำนับ เอ่ยปากว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่กับผมรู้จักกันมายี่สิบกว่าปี แต่กลับไม่รู้ว่าระหว่างเราสองมีต้นกำเนิดเช่นนี้ ยินดีต้อนรับสู่ฮ่องกงครับ!”
ครั้งนั้นที่จั่วเจียจวิ้นคำนับหลี่ซั่นหยวนเป็นอาจารย์ เป็นช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์หลากหลายเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศ
ความสัมพันธ์ต่อดินแดนนอกน่านน้ำจึงเป็นข้อห้ามอย่างมาก ดังนั้นนอกจากลูกศิษย์คนแรกแล้ว หลี่ซั่นหยวนก็ไม่ได้เอ่ยถึงหนานไหวจิ่น
แน่นอนว่า พอถึงยุคสมัยชีวิตของเยี่ยเทียน กลับตรงกันข้ามกับเมื่อในอดีต หากสำนักไหนมีความสัมพันธ์กับต่างชาติ เป็นต้องป่าวประกาศถึงสิบลี้แปดหมู่บ้าน จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนรู้จักหนานไหวจิ่น
หนานไหวจิ่นยกมือขวาผอมแห้งขึ้น ประคองมือจั่วเจียจวิ้นขึ้นเล็กน้อย ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์น้องจั่ว ทีแรกฉันถามเธอว่าอาจารย์มาจากสำนักพยากรณ์เสื้อป่านหรือไม่ น้องปิดบังเสียแนบเนียน!”
หนานไหวจิ่นรู้เรื่องสำนักพยากรณ์เสื้อป่านอย่างลึกซึ้ง ในอดีตเห็นวิธีการทำนายดวงชะตาของจั่วเจียจวิ้น ก็สงสัยว่าต้นกำเนิดของเขาเกี่ยวข้องกับสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน จึงเคยลองถามหยั่งเชิง
เพียงแต่ว่าตอนนั้นจั่วเจียจวิ้นเพิ่งมาถึงฮ่องกงไม่นาน ระแวดระวังผู้คนอย่างมาก จึงหาข้ออ้างปกปิดเรื่องในอดีตไป ในยุทธภพการถามเรื่องสืบทอดวิชาเป็นข้อห้าม ด้วยเหตุนั้นหนานไหวจิ่นจึงไม่ซักถามต่อ
ถูกมือขวาของหนานไหวจิ่นยันเอาไว้จึงไม่อาจคำนับลงไป จั่วเจียจวิ้นแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ศิษย์พี่หนาน พี่ก็รู้ว่าอาจารย์ไม่ชอบเป็นที่รู้จัก หากไม่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์ ผมเลยไหนจะกล้าลืมตัวแพร่งพรายเรื่องสืบทอดวิชา”
จั่วเจียจวิ้นมายังฮ่องกง ก็เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ภายในเหล่านั้น เขาถูกข่มขู่จากในแผ่นดินใหญ่จนหวาดวิตก ช่วงแรกที่มาถึงฮ่องกงจึงต้องทำตัวหลบหลีกปิดบังตัว ในอดีตนับว่าถ่อมตนอย่างมาก
“เอ๋? ศิษย์น้องจั่ว เธอเองก็เข้าถึงปรมัตถ์แล้วหรือ?”
หลังจากปล่อยมือจั่วเจียจวิ้นแล้ว หนานไหวจิ่นพบว่า จั่วเจียจวิ้นที่สิบปีก่อนยังไม่เข้าสู่พลังลมปราณแฝง ปัจจุบันราวกับมีพลังถึงขั้นปรมัตถ์ จึงอดสะดุ้งในใจไม่ได้
อันที่จริงจากพลังภายนอกเข้าสู่พลังลมปราณแฝงมีอุปสรรค ถ้าหากอายุห้าสิบยังไม่อาจผ่านไป ตามหลักก็ไม่มีหวังแล้ว ชั่วชีวิตคงต้องจอดอยู่ที่ตรงนั้น
อีกทั้งจากพลังลมปราณแฝงเข้าสู่ขั้นปรมัตถ์ มีกำแพงกั้นโดยธรรมชาติ ในหมู่คนฝึกวิชาวิทยายุทธร้อยคน สักหนึ่งคนที่จะเข้าถึงขั้นปรมัตถ์นั้นยาก
จากยุคโบราณจวบจนปัจจุบันยอดฝีมือในตำนานเหล่านั้น เฉกเช่น คงคงเอ๋อร์ในราชวงศ์ถัง จางซันเฟิงในราชวงศ์ หมิง บุคคลผู้เป็นเทพเซียนบนโลกนี้ ความจริงแล้วก็มีวิชาถึงขั้นปรมัตถ์ แสดงให้เห็นความยากลำบากในการก้าวข้ามอุปสรรคได้อย่างชัดเจน
หนานไหวจิ่นศึกษาบันทึกโบราณของศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋าและหรูสามสำนัก ดูเหมือนว่านอกจากบุคคลในตำนานเหล่านั้น ก็ไม่เคยได้ยินสำนักไหนปรากฏยอดฝีมือสามปรมัตถ์ในหนึ่งสำนักอีก
จั่วเจียจวิ้นส่งสายตาซาบซึ้งใจไปทางเยี่ยเทียน กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้อาศัยศิษย์น้องเล็ก ผมจึงสามารถเข้าถึงระดับปรมัตถ์ได้!”
จั่วเจียจวิ้นรู้ดีว่าหากไม่มีเยี่ยเทียนมอบทักษะวิชา หากไม่มีพลังลมปราณที่เรือนสี่ประสานในเมืองหลวงหลังนั้น ความต้องการบรรลุเข้าขั้นปรมัตถ์ของตนเอง ก็เป็นดังคนโง่พูดจาเพ้อเจ้อ ที่เขายกคุณงามความดีให้กับเยี่ยเทียน ไม่ได้เอ่ยยกยอเกินเลยแม้เพียงคำเดียว
หนานไหวจิ่นสามารถฟังออกถึงความจริงใจในน้ำเสียงของจั่วเจียจวิ้น ได้ยินแล้วอดพิจารณาเยี่ยเทียนใหม่ไม่ได้ เดิมทีเขาก็มองเยี่ยเทียนสูงส่งไม่น้อย แต่คาดไม่ถึงว่าตนเองจะยังดูแคลนเด็กหนุ่มคนนี้
” ศิษย์พี่หนาน พี่มองผมอย่างนี้ ผมออกจะละอายใจ”
ทั้งคู่ต่างเป็นยอดฝีมือระดับปรมัตถ์ แรงกดดันบางเบาจากบนตัวหนานไหวจิ่น จึงไม่เป็นผลดีต่อเยี่ยเทียนแม้แต่น้อย พอเห็นสายตาของหนานไหวจิ่นแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดพูดจาหยอกล้อไม่ได้
“ไม่ต้องกระดากใจ ขอยืมสถานที่นี้ของเธอ ฟูมฟักลูกศิษย์มีวิชาระดับปรมัตถ์ออกมาหนึ่งคนให้ฉันก็พอแล้ว”
หนานไหวจิ่นได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา ตัวเขาเป็นคนมีนิสัยเปิดเผย คิดอะไรก็พูด ไม่ทำตัวเป็นคนนอกแม้แต่นิดเดียว
“เถาซานอี้ไม่ไหวหรอกครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้ากล่าว “ศิษย์พี่เองก็คงเคยสังเกตวิชาของเขาหรือตรวจโครงสร้าง ลูกศิษย์ใหญ่คนนี้ของพี่พื้นฐานมีขีดจำกัด เกรงว่าตลอดชีวิตนี้คงอยู่ที่ขั้นพลังลมปราณแฝง”
ผู้อ่านมากมายคงล้วนเคยเห็นในนิยายกำลังภายใน คนที่ฝึกวิทยายุทธ มักพูดถึง “โครงสร้างกระดูก”
ในนิยายพวกนี้ ผู้มีโครงสร้างกระดูกดีเลิศ จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกันเห็นได้ชัดว่ามีคนโง่อยู่บ้าง หรือแม้กระทั่งมีเหตุการณ์ที่อาจารย์ต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อลูกศิษย์
คำกล่าวของนักเขียนนิยาย ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไปซะทั้งหมด เพราะเมื่อสำนักพยากรณ์รับลูกศิษย์ โครงสร้างกระดูกถือเป็นขั้นแรก โครงสร้างกระดูกของคนคนหนึ่งเป็นอย่างไร มักตัดสินได้ว่าชีวิตนี้เขาสามารถไปถึงระดับไหน
เยี่ยเทียนพบหลี่ซั่นหยวนครั้งแรกตอนอายุห้าขวบ ก็ถูกนักพรตเฒ่าจับเปลือยกายล่อนจ้อน สำรวจโครงร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า เสร็จแล้วก็ตะโกนสรรเสริญขึ้นมาสามคำ จากนั้นถึงจับตัวเยี่ยเทียนไปเป็นศิษย์
หากว่าเยี่ยเทียนเป็นคนประเภทโครงสร้างกระดูกอ่อนด้อย นักพรตเฒ่าไหนเลยจะลงทุนลงแรงเก็บสมุนไพรเพื่อเขา เกรงว่าต่อให้เยี่ยเทียนคุกเข่าถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนนักพรตเฒ่าก็คงไม่ยอมรับเข้าสำนัก
แต่ว่าโครงสร้างกระดูกของเถาซานอี้ มีคุณสมบัติอยู่ที่ขั้นกลาง ยากที่จะฝึกฝนถึงขั้นสำเร็จยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนั้นเยี่ยเทียนจึงพูดออกมาเช่นนี้
“เฮ้อ พี่ต้มสมุนไพรให้เขากินมาตั้งแต่เด็ก หวังอยากพัฒนาพื้นฐานของเขา นึกไม่ถึงว่าจนสุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ “
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน หนานไหวจิ่นก็ถอนหายใจออกมา เขาหรือจะดูโครงสร้างกระดูกของลูกศิษย์ตัวเองไม่ออก เพียงนึกวาดฝันในใจเล็กน้อย แต่กลับถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“ศิษย์พี่หนาน จากวรยุทธ์ของพี่ อย่างน้อยยังมีอายุขัยอีกสิบกว่าปี ช่วงเวลานี้เพียงพอให้พี่หาลูกศิษย์เพิ่มก่อนปิดสำนัก”
ในหมู่สำนักพยากรณ์ เกิดแก่เจ็บตายไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เยี่ยเทียนพูดตรง ๆ ว่า “วันหลังขอเพียงศิษย์พี่หนานส่งคนมา ก็สามารถฝึกวิชาภายในค่ายกลรวมลมปราณนี้ได้อย่างเต็มที่ พี่ว่าดีไหม?”
“ได้ งั้นตกลงตามนั้น!” หนานไหวจิ่นก็เป็นคนถือได้และปล่อยวางเป็น หัวเราะขึ้นเสียงดัง “เป็นศิษย์น้องเยี่ยที่มองทะลุปรุโปร่ง ฉันออกจะยึดติดไปหน่อย”
“จริงสิ ศิษย์พี่หนาน ผมมีเรื่องหนึ่งอยากถาม ไม่ทราบว่าพี่รู้หรือไม่?”
สำหรับสำนักพยากรณ์ การสืบทอดนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ เยี่ยเทียนไม่อยากเป็นเหตุให้หนานไหวจิ่นขุ่นเคืองใจ จึงเปลี่ยนประเด็นทันที
“ศิษย์น้องเยี่ย พี่ไม่ถึงกับคิดไม่ตกขนาดนั้น”
หนานไหวจิ่นมองออกถึงความคิดของเยี่ยเทียน จึงส่ายหน้ายิ้มตอบ “พูดมาเถอะ เรื่องอะไร ขอเพียงเป็นเรื่องที่ฉันรู้ ย่อมตอบแน่นอน!”
“ศิษย์พี่หนานครับ ผมอยากรู้ว่า ในพิพิทธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวัน มีของชิ้นหนึ่งไหม?” พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
ได้ยินเยี่ยเทียนถามถึงเรื่องนี้ หนานไหวจิ่นก็เลิกคิ้วพูดว่า “ของอะไร? ฉันคุ้นเคยกับพิพิธภัณฑ์กู้กงนั้นอย่างมาก ของภายในแปดถึงเก้าในสิบส่วนฉันล้วนเคยสัมผัสมาหมด”
หนานไหวจิ่นไม่ได้เป็นเพียงปรมาจารย์ศาสตร์ประจำชาติ เชี่ยวชาญหลากทฤษฎีหลายสำนัก ขณะเดียวกันก็เป็นปรมาจารย์ด้านสุนทรีย์ ค้นคว้าวิจัยวัตถุโบราณหลักหลายชนิดอย่างลึกซึ้ง
หลายต่อหลายครั้งเวลาปรับปรุงพิพิธภัฑ์กู้กงที่ไต้หวัน หนานไหวจิ่นล้วนเคยเข้าร่วมด้วย จึงไม่ถือเป็นการอวดอ้างต่อเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่หนาน ที่นั่นมีภาพดันหลังไหมครับ?”
เยี่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องเสียดายอย่างหนึ่งของท่านอาจารย์ คือตลอดทั้งชีวิตก็ยังไม่เคยเสาะหาจนได้เห็นภาพดันหลัง ในฐานะลูกศิษย์จึงอยากทำความปรารถนานี้ของท่านอาจารย์ให้สำเร็จ!”
นับตั้งแต่วัยกลางคน หลี่ซั่นหยวนก็ท่องเที่ยวไปรับหน้าที่สอนในโรงเรียนชื่อดังหลายแห่งในแผ่นดินใหญ่ แต่ใช้เวลาสิบกว่าปีก็ยังไม่เคยได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับภาพดันหลังแม้แต่น้อย
ก่อนใกล้กลายร่างเป็นเทพเซียน หลี่ซั่นหยวนเคยพูดเรื่องนี้กับเยี่ยเทียน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องเดียวที่ค้างคาใจไม่หายของเขาก่อนจากไป
หลี่ซั่นหยวนเคยสงสัยว่า ภาพดันหลังนั้นบางทีอาจจะถูกแอบซ่อนอยู่ภายในตำราโบราณจำนวนมหาศาลที่กู้กง แล้วถูกย้ายไปไต้หวัน ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงถามขึ้นอย่างนี้
“ภาพดันหลังหรือ?”
ได้ยินคำถามของเยี่ยเทียนคือเรื่องนี้ สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็ออกจะประหลาดใจเล็กน้อย ภาพดันหลังเป็นตำราพิสดารในหมู่สำนักพยากรณ์ตลอดมา คนที่ตามหามันเกรงว่าคงจะเป็นความปรารถนาของทุกคนในสำนักพยากรณ์หรือเปล่า?
“ในพิพิธภัณฑ์กู้กงที่ไต้หวันไม่มีตำราเล่มนี้หรอก!”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้า หลังจากครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็พูดว่า “แต่ฉันเคยได้ยินข่าวคราวของตำราดันหลังอยู่บ้าง แค่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือลวง”
“เอ๋? ไหวจิ่น เล่าให้ฟังหน่อยสิ” บทสนทนาของทั้งสองทางดึงดูดความสนใจของโก่วซินเจียเช่นกัน ภาพดันหลังก็มีแรงดึงดูดต่อเขาอย่างใหญ่หลวง
หนานไหวจิ่นกล่าวว่า “ตอนอยู่ที่อังกฤษผมเคยรู้จักศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมของโบราณอยู่ท่านหนึ่ง ตัวเขาเองก็ชื่นชอบสมบัติทางวัฒนธรรมตะวันออกเช่นกัน ผมจึงพอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับภาพดันหลังจากปากเขามาบ้าง…”
ที่แท้เมื่อแปดปีก่อนตอนหนานไหวจิ่นศึกษาค้นคว้าอยู่ที่ยุโรป ได้ทำความรู้จักชาวอังกฤษคนหนึ่ง ทั้งสองต่างมีความสนอกสนใจในวัฒนธรรมตะวันออก คุยไปคุยมาก็เข้าเรื่องผลงานศิลปะของชาติจีน
ชาวอังกฤษคนนั้นเคยรับหน้าที่ซ่อมแซมบูรณะคัมภีร์โบราณหลากชนิดในพิพิทธภัณฑ์ใหญ่ของอังกฤษ ขณะที่คุยกับหนานไหวจิ่นก็เผลอพูดถึงขึ้นมา ว่าเขาเคยเห็นคัมภีร์โบราณอันแปลกประหลาดอยู่ชิ้นหนึ่ง
ภาษาที่ใช้ในคัมภีร์โบราณชิ้นนั้นคลุมเครืออย่างมาก อีกทั้งยังมีภาพประกอบเข้ากันบางส่วน
ตอนนั้นชาวอังกฤษเคยวาดภาพเหล่านั้นโดยอิงจากความทรงจำ ในสายตาของหนานไหวจิ่นก็ลงความเห็นว่ามันคงจะเป็นภาพดันหลังม้วนหนึ่ง
………………………………………………………….