บทที่ 1505 บังเอิญเจอเกาก้วน

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

ผู้ที่มาสวมหมวกทรงสูงสีดำ สวมผ้าคลุมบ่าสีดำ สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย

เหมียวอี้เรียกได้ว่าคุ้นเคยกับคนคนนี้จนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไรแล้ว คาดว่าต่อให้มีคนปลอมตัวมา แต่ก็ปลอมลักษณะท่าทางที่พิเศษของคนคนนี้ไม่ได้ เป็นคนที่ทำให้รู้สึกว่าคำว่า ‘เย็นชา’ แทรกซึมถึงในกระดูก เกาก้วน ทูตขวาหน่วยตรวจการตำหนักสวรรค์!

ตรงนี้เพิ่งจะประชุมลับกับเทพประจำดาวฟ้าเถาะผังก้วนแล้วแยกกัน จู่ๆ เกาก้วนก็มาโผล่อยู่ตรงนี้ ทำให้เหมียวอี้หัวใจกระตุกวูบ อย่าบอกนะว่าโดนผู้พิพากษาหน้าตายคนนี้จับได้แล้ว?

ชั่วขณะนั้น ท่านขุนนางเหมียวก็เรียกได้ว่าจิตใจว้าวุ่นกระวนกระวายแล้วจริงๆ ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ที่ไหนดี เป็นเพราะไม่มีทางรับมือกับคนคนนี้ได้เลยจริงๆ คนที่สามารถใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่ของทูตตรวจการขวาตำหนักสวรรค์ได้ มีหรือที่จะอ่อนด้อยด้อยฝีมือ

“หนิวโหย่วเต๋อ เป็นเจ้าเหรอ?” เกาก้วนเหลือบมองซากเรือที่ถูกทำลายลอยอยู่บนผิวทะเล

ฟังจากคำพูดที่เหนือความคาดหมายของอีกฝ่าย ก็เหมือนจะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้อยู่ที่นี่ เหมียวอี้พยายามควบคุมอารมณ์กระวนกระวายของตัวเองเอาไว้ นำเหยียนซิวลอยขึ้นมาบนฟ้าอย่างช้าๆ หลังจากมาอยู่ตรงข้ามในระดับเดียวกันแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “คารวะทูตขวาเกา ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

เกาก้วนตอบว่า “มีธุระผ่านมาทางนี้พอดี จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิด เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า ได้ยินว่าเจ้าเพิ่งจะออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ทำไมไม่กลับไปรายงานตัว มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”

สงสัยจะบังเอิญแล้วจริงๆ ที่แท้ก็มาเพราะได้ยืนเสียงระเบิดนี่เอง! เหมียวอี้สงบใจลงหลายส่วน แล้วรับมืออย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ยังไม่ต้องไปรายงานตัวขอรับ หัวหน้าภาคอวี่อนุญาตให้ลาพักได้หนึ่งปี เพิ่งจะออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ เลยมาผ่อนคลายบนดาวเคราะห์แถวๆ นี้สักหน่อย เพิ่งจะผ่อนคลายได้สักประเดี๋ยวแล้วเตรียมจะไป นึกไม่ถึงว่าเสียงความเคลื่อนไหวจะบังเอิญดังไปรบกวนทูตขวาเกา”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้” เกาก้วนกล่าวเสียงเรียบ และไม่ได้ซักไซ้ถามเรื่องนี้อีก เปลี่ยนประเด็นสนทนาแล้ว “ข้าไม่ได้เข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ถ้าสะดวกก็เล่าสถานการณ์ของแดนมรณะดึกดำบรรพ์ในปัจจุบันให้ข้าฟังสักหน่อย” พูดจบก็สะบัดผ้าคลุมแล้วหันตัว พุ่งไปยังจุดดำจุดหนึ่งบนผิวทะเลที่อยู่ไกลๆ

เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง พบว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้ทูตขวาเกาอยู่บนเกาะนี้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ได้เข้าใกล้มากเกินไป ไม่อย่างนั้นเรื่องที่แอบมาเจอกับผังก้วนเป็นการส่วนตัวก็จะโดนจับได้คาหนังคาเขา แบบนั้นก็คงจะแย่แล้ว

แต่อีกฝ่ายก็เย็นชาดุร้ายเกินไปจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะตอบตกลงหรือไม่ อีกฝ่ายก็พูดทิ้งท้ายแล้วเหาะนำไปเลย เหมือนไม่กลัวสักนิดว่าเหมียวอี้จะไม่ตอบตกลง

แต่จะว่าไปแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่อาจตบก้นหนีไปโดยไม่สนใจอีกฝ่ายได้ จึงพาเหยียนซิวตามไปแล้ว

พอเหยียบลงบนเกาะแห่งนั้น ถึงได้พบว่าบนเกาะมีค่ายภูเขาอยู่แห่งหนึ่ง ที่ค่ายนั้นระเกะระกะ เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ ศพเกลื่อนพื้น ในอากาศอบอวบไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ดูจากศพกาแต่งตัวของที่เกลื่อนอยู่บนพื้นก็เหมือนจะเป็นมนุษย์ธรรมดาทั้งหมด ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเหมือนโจรสลัดมนุษย์ธรรมดา ที่นี่เหมือนจะเป็นรังของโจรสลัด

รอบข้างมองไม่เห็นคนอื่น เห็นเพียงเงาร่างอันโดดเดี่ยวของเกาก้วนยืนรับลมทะเลอยู่บนเนินเขา ผ้าคลุมบนบ่าปลิวสะบัดอย่างรุนแรง

เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย อย่าบอกนะว่าเกาก้วนอยู่ที่นี่คนเดียว? โจรสลัดพวกนี้โดนเกาก้วนฆ่าทิ้งหมดเหรอ? อาศัยสถานะของเกาก้วน ทำไมถึงไปมีเรื่องกับโจรสลัดพวกนี้ได้ล่ะ?

แต่ในจุดนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร เกาก้วนบังเอิญอยู่ที่นี่และถูกดึงดูดมาเพราะเสียงระเบิดจริงๆ ไม่ได้ค้นพบความลับอะไรของเหมียวอี้

พอบอกใบ้ให้เหยียนซิวรออยู่ที่เดิมแล้ว เหมียวอี้ก็ถลันตัวลอยไปเหยียบบนเนินเขาในค่ายภูเขา มายืนข้างกายเกาก้วนแล้วกุมหมัดคารวะ “ทูตขวาเกา”

เกาก้วนเอียงหน้าเหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง “สถานการณ์ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นอย่างไร ว่ามา”

“ปราณชั่วร้ายขวักไขว่ ต้นไม้ใบหญ้าไม่มีสักต้น…” เหมียวอี้เล่าสภาพแดนมรณะดึกดำบรรพ์ให้ฟังคร่าวๆ โดยเลี่ยงบางอย่างไป

เกาก้วนฟังจบแล้วเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “ยังจำอสุราอัคนี อาจารย์ต่างยุคของเจ้าได้มั้ย?”

“…” เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย แน่นอนว่าจำได้อยู่แล้ว ในปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะทูตขวาเกาเอ่ยถึง เกรงว่าเขาก็คงจะไม่รู้จักกตัวละครนี้แล้วจริงๆ

เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเกาก้วนเป็นฝ่ายเอ่ยถึงก่อน ต่อให้คนอื่นจะรู้จักอสุราอัคนีนั่นเหมือนกัน แต่คนที่ซ่อนมันไว้ในความทรงจำส่วนลึก ถ้าไม่ถามถึงแล้วจะยังมีใครเอ่ยขึ้นมาอีก

“จำได้อยู่แล้วขอรับ” เหมียวอี้ตอบอย่างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าการที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงอสุราอัคนีนั้นหมายความว่าอะไร

เกาก้วนตอบเสียงเรียบว่า “ในปีนั้นอาจารย์ของเจ้าก็เคยเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมือนกัน ครั้งแรกที่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ คนที่รอดชีวิตออกมาได้มีไม่เยอะ ก่อนจะเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ อสุราอัคนียังไม่ได้มีชื่อเสียงมากขนาดนั้น แต่หลังจากฝึกวิชาที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สักระยะแล้วออกมา ก็ไม่รูเหมือนกันว่าบังเอิญเจอความพิเศษอะไร ศักยภาพเพิ่มขึ้นเร็วมาก อาศัยวิชาควบคุมไฟโลดแล่นอยู่ในใต้หล้า วิชาคุมไฟของเขาไม่เหมือนคนอื่น สิ่งที่เขาควบคุมคือแหล่งกำเนิดของไฟ สิ่งที่ควบคุมคือธาตุไฟ ถ้าโดนขาโจมตีบาดเจ็บก็จะไฟพิษโจมตีหัวใจแน่นอน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะทรมานจนแทบทนไม่ไหว อสุราอัคนีสามารถรวมไฟให้เป็นปราณ เป็นการรวมกันระหว่างความแข็งและอ่อนนุ่ม อาศัยฝีมือที่พิเศษไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าวางอำนาจบาตรใหญ่ได้อยู่ช่วงหนึ่ง”

ควบคุมธาตุไฟ? รวมไฟให้เป็นปราณ? เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจไม่เบา แบบนี้ไม่เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราที่ตนฝึกหรอกเหรอ? อย่าบอกนะว่าสิ่งที่ตัวเองสงสัยก่อนหน้านี้ผิดพลาด หรือว่าตนจะเป็นลูกศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ?

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องบางเรื่องก็อธิบายไม่ได้ เหมียวอี้ถามว่า “ธาตุไฟแบ่งเป็นหยินกับหยาง ไม่ทราบวิ่งที่ ‘อาจารย์’ ของข้าควบคุมคือไฟหยางหรือว่าไฟหยิน?”

เกาก้วนตอบว่า “อันนี้ข้าก็ไม่รู้ชัดเท่าไร รู้ว่าเพียงว่าสิ่งที่ควบคุมคือเพลงเดือดสีแดง ตอนที่รวมไฟให้เป็นปราณราวกับดาบทวนก็แป็นสีแดงเช่นกัน คาดว่าคงเป็นไฟหยาง สำหรับสิ่งนี้ ลูกศิษย์อย่างเจ้าน่าจะรู้ชัดที่สุดสิ มาถามข้าทำไม?”

เหมียวอี้ครุ่นคิดเงียบๆ ถ้าพูดอย่างนี้จริงๆ ก็แสดงว่าอสุราอัคนีควบคุมไฟหยาง เพียงแต่วิธีการควบคุมนี้เหมือนเคล็ดวิชาอัคนีดาราสุดๆ สิ่งที่แตกต่างก็คือไฟหยาง อีกอย่างก็คือเพลิงจิตที่โปร่งแสงไร้สี ถ้าจะพูดให้ถูกกว่านั้นก็คือ อสุราอัคนีนั่นควบคุมได้แค่ไฟหยาง แต่เคล็ดวิชาอัคนีดารากลับควบคุมได้ทั้งไฟหยินและไฟหยาง แต่ก็เหมือนจะมีจุดเหมือนในความแตกต่าง อย่าบอกนะว่าระหว่างอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีอะไรเกี่ยวข้องกันจริงๆ?

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรไปสักพัก เกาก้วนก็เหล่ตามถาม “พออสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์รอบเดียว ศักยภาพก็เพิ่มขึ้นเร็วมาก ไม่รู้ว่าหลังจากเจ้าเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้วพบความมหัศจรรย์อะไรหรือเปล่า?”

“เอ่อ…” เหมียวอี้อึ้งทันที ยังไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งสงสัยว่าอสุราอัคนีกับเคล็ดวิชาอัคนีดารามีความเกี่ยวข้องกัน อสุราอัคนีเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ววรยุทธ์เพิ่มเร็วมาก แล้วเขาจะไม่เป็นแบบนั้นได้อย่างไร

ขณะเดียวกันก็ถูกเกาก้วนเรียกสติในชั่วพริบตาเดียว ก่อนหน้านี้เขากังวลเรื่องบางเรื่องมาตลอด นั่นก็คือวรยุทธ์ของตัวเองเพิ่มเร็วเกินไปแล้วไม่สามารถอธิบายได้ ตอนนี้ตัวเองเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนี มีโชคชะตาเหมือนอสุราอัคนี แล้วทำไมวรยุทธ์จะเพิ่มเร็วบ้างไม่ได้? สามารถอธิบายให้ฟังขึ้นได้เลย!

นอกจากนี้ เคล็ดวิชาและวิธีการลงมือของอสุราอัคนีก็มีจุดที่ทั้งเหมือนและต่างกับเขา ความต่างอยู่ที่สีสันและภายในที่คนนอกไม่รู้เท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้เขากังวลจึงไม่กล้าใช้เคล็ดวิชาอัคนีดาราอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ตอนนี้สงสัยจะมีวิธีการอธิบายแล้ว

พอคิดเรื่องพวกนี้ได้ เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าดีใจมาก นึกไม่ถึงว่าการบังเอิญเจอเกาก้วนจะทำให้ความกังวลที่อยู่ในใจเขาหายไปโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว

แน่นอน ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแสดงความดีใจ เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบว่า “ไม่นับว่าเป็นการพบกันโดยบังเอิญขอรับ วรยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นบ้าง ตอนนี้บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้วขอรับ”

“อ้อ!” เกาก้วนทำท่าประหลาดใจ แล้วหันตัวมาบอกว่า “เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปีก็บรรลุระดับบงกชรุ้งแล้ว นั่นเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ! ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัย พอมาดูตอนนี้แล้ว เจ้าก็เป็นศิษย์ของอสุราอัคนีจริงๆ สงสัยแดนดึกดำบรรพ์จะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”

“ก็แค่โชคดีเท่านั้นเองขอรับ” เหมียวอี้ถ่อมตัว

เกาก้วนกลับไม่เกรงใจตามเขา “ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว เจ้าก็ไปได้ กำลังพลของหน่วยตรวจการขวากำลังจะมาตรวจสอบ ข้าไม่หวังให้คนนอกมารบกวนที่นี่”

เหมียวอี้พูดไม่ออก คนที่เรียกข้ามาก็คือเจ้าไงล่ะ คนที่ไล่ข้าไปก็คือเจ้า เล่นอะไรของเจ้า

อยากจะด่าแต่ก็ด่าได้เพียงในใจ เขากุมหมัดคารวะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ขอตัวก่อนขอรับ”

“อืม” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ

จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวจากไป พาเหยียนซิวเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ดำหายไปในจุดลึกของดาราจักร เร่งไปยังตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน

สาเหตุที่ไปตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ก็ไม่ใช่เพราะตั้งใจไปหาคนรักเก่าอย่างหวงฝู่จวินโหรวหรือว่าพวกฝูชิง แต่เป็นเพราะโค่วเหวินหลาน บอกว่าต้องการจะเลี้ยงต้อนรับผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ เหมียวอี้เดาว่าเจ้าหมอนั่นคงจะมีเรื่องอะไรสักอย่าง ดังนั้นจึงกำหนดสถานที่นัดพบเป็นตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน

กำหนดสถานที่นัดพบเป็นดาวเทียนหยวน สาเหตุก็ไม่ซับซ้อนเลย เพราะจะถือโอกาสไปหาคนรักเก่าสักหน่อย อีกฝ่ายย้ำแล้วย้ำอีกว่าคิดถึงอยากเจอหน้า จะได้ถือโอกาสแก้ไขปัญหาเรื่องนี้พอดี

พอนึกถึงหวงฝู่จวินโหรว เหมียวอี้ก็ปวดประสาทนิดหน่อย ตอนแรกคนที่ขืนใจหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา ตอนหลังคนที่ทิ้งหวงฝู่จวินโหรวก็คือเขา จากนั้นคนที่เป็นฝ่ายขอคืนดีอีกครั้งก็คือเขา ตอนนี้อยากจะสลัดทิ้งแต่ก็ไม่มีทางทำได้แล้วจริงๆ ทั้งยังสาบานกับอวิ๋นจือชิวแล้วว่าตัวเองกับหวงฝู่จวินโหรวไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ความจริงเลย บวกกับหวงฝู่จวินโหรวมีภูมิหลังเป็นสุนัขรับใช้ให้ราชันสวรรค์ นี่เป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาดทั้งยังยุ่งเหยิงอีกด้วย ขนาดเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตอนสุดท้ายเขากับหวงฝู่จวินโหรวจะกลายเป็นอย่างไร

ส่วนหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็อยู่ที่ร้านค้าสมาคมวีรชนที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน ตอนนี้นางกำลังเหม่อลอยอยู่ในอ่างอาบน้ำ ใช้นิ้วเขี่ยดอกไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างเบื่อหน่าย บางครั้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

หนิวโหย่วเต๋อคนรักของนางรอดชีวิตออกมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้แล้ว ที่จริงที่คือเรื่องดี หนิวโหย่วเต๋อก็บอกแล้วว่าจะมาหานางทันที นางดีใจสุดๆ แต่ใครจะคิดว่าในเวลานี้คนที่นางกลัวที่สุดและไม่ควรจะมาดันมาแล้ว มารดาของนาง หวงฝู่ตวนหรง!

“ทำไมต้องมาเวลานี้ด้วยนะ…” หวงฝู่จวินโหรวบ่นพึมพำพลางฉีกกลับดอกไม้อย่างไม่พอใจ

“โหรวโหรว!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตู ทั้งยังมีเสียงผู้หญิงที่ชัดใสทว่าแฝงความนิ่งสงบ

“ค่ะ!” หวงฝู่จวินโหรวได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเป็นใคร รีบบอกไปว่า “ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำ”

ที่พูดแบบนี้ก็เพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้เข้ามา แต่ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายจะร่ายอิทธิฤทธิ์สะเดาะกลอนประตู สตรีวัยกลางคนหน้าตาสวยแพรวพราวแต่งกายสง่างามคนหนึ่งผลึกประตูเข้ามา จากนั้นก็ปิดประตู แหวกม่านมุ้งที่บังห้องข้างในเอาไว้ออก ในอ่างอาบน้ำมีไอน้ำหอมโชยขึ้นมา

“ท่านแม่ ข้ากำลังอาบน้ำอยู่นะ ท่านเข้ามาได้ยังไง มีเรื่องอะไรรอสักประเดี๋ยวไม่ได้เหรอคะ…” หวงฝู่จวินโหรวที่งอเข่ากอดอกเสียงเบาลงเรื่อยๆ เพราะถูกแววตาคมกริบของมารดามองมาจนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

สายตาของหวงฝู่ตวนหรงจับจ้องไปบนใบหน้างามพริ้งที่ถูกชำระล้างจนสะอาดของลูกสาว เครื่องประทินโฉมถูกลบไปแล้ว อาศัยที่นางเป็นคนมีประสบการณ์ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าลูกสาวเสียพรหมจรรย์ เคยผ่านเรื่องสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมาตั้งนานแล้ว

…………………………