บทที่ 1392 หนิงหลิงยู่แปลกไป

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 1392 : หนิงหลิงยู่แปลกไป
  หลังจากเหาะออกมาจากโรงพยาบาลแล้วหลิงหยุนก็ไปหากงเสี่ยวลู่กับซูปิงหยานที่บ้าน แต่กลับไม่พบทั้งสองคน และดูเหมือนทั้งคู่จงใจที่จะหลบหน้าหลิงหยุน
  “เฮ้อ..นี่พวกเจ้าสองคนจงใจหลบหน้าข้างั้นรึ!”
  หลิงหยุนตั้งใจที่จะนำโอสถทั้งสองเม็ดมาให้หญิงสาวทั้งสองคนคนหนึ่งสอนหนังสือเขามาสามปี ส่วนอีกคนก็เคยเป็นเจ้านายหลิงหยุน และที่สำคัญ หญิงสาวทั้งสองล้วนรักใคร่เขาอย่างมาก..
  หลิงหยุนจึงได้แต่เหาะไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งหญิงสาวทั้งสองคนอาจจะหลบหน้าหลบตาเขา แต่มีหนึ่งคนที่กำลังรอคอยเขาอยู่อย่างเงียบๆ
  ซึ่งก็คือเหยาลู่..
  เวลาสี่ทุ่มตรงอาจดูเหมือนเหยาลู่กำลังเดินอยู่ในสวนภายในบ้าน แต่ความจริงแล้วนางกำลังฝึกฝนวิชาใต้ปฐพีอยู่ ระหว่างที่เดินอยู่นั้น ผืนดินใต้ฝ่าเท้าของนางก็ได้เคลื่อนขึ้นเคลื่อนลงราวกับเกลียวคลื่น หากคนธรรมดาทั่วไปมาพบเห็นเข้า คงจะต้องตกใจเป็นอย่างมาก
  แต่นั่นเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น…
  เพราะหลังจากนั้นไม่นานคลื่นธุลีก็ก่อตัวขึ้นราวกับพายุหมุน และค่อยๆรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผืนดินด้านล่างเกิดรอยแยก และในที่สุดก็บดบังร่างของเหยาลู่ไว้จนมิดชิด
  ผืนดินที่แข็งกระด้างกลับกลายเป็นผืนดินที่อ่อนนุ่ม และเคลื่อนไหวได้ราวกับสายน้ำ..
  พรึบ..
  ท่ามกลางดินโคลนจู่ๆกระบี่สามเล่มที่ก่อตัวขึ้นจากผืนดินก็ได้ปรากฏขึ้น แม้มันจะทำจากดิน แต่ก็มีความคมกริบอย่างที่กระบี่ใดก็ยากที่จะต้านทานได้!   จากนั้นกระบี่พสุธาก็ลอยขึ้นขนานกับพื้นดินปลายกระบี่ทั้งสามชี้ไปทางเสาไม้ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสวน..
  “จัดการ..”
  กระบี่ปฐพีทั้งสามก็พุ่งเข้าตัดเสาไม้ทั้งเก้าต้นขาดออกจากกันทันทีก่อนจะร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
  “กลับมา!”
  เหยาลู่หลับตาและยังคงใช้ตวัดมือบังคับกระบี่ทั้งสามเล่มให้กลับมา ในขณะที่ฝ่าเท้ายังคงกระแทกกับผืนดินที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา และภายใต้การควบคุมของเหยาลู่ ดินเหล่านั้นก็ได้ก่อนตัวขึ้นราวกับพายุหมุน และล้อมร่างของเหยาลู่ไว้จนมิดชิดอีกครั้ง
  และนี่คือพายุปฐี!
  พายุปฐพียังคงหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆและค่อยๆลอยสูงขึ้นจนกระทั่งลอยอยู่เหนือกำแพงบ้าน แล้วจึงหยุดนิ่งอยู่เช่นนั้น จากนั้นพายุปฐีก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นเสาทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าครึ่งเมตร และยาวกว่าสามเมตร
  “สลายตั”
  ระหว่างนั้นเหยาลู่ก็นั่งลงขัดสมาธิกับเพื้น และกำลังสั่งให้พายุปฐีขยาย และย่อส่วนตามแต่ใจต้องการ ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน และสลายตัวรวมกับผืนดินดังเดิม แต่ผืนดินบริเวณนั้นยังคงกลายเป็นโคลนเหลว และเป็นคลื่นราวกับน้ำในทะเลสาบ
  เหยาลู่จ้องมองผืนดินที่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อนลงแน่นิ่งและกำลังลังเลว่าจะกระโดดลงไปในคลื่นโคลนตรงหน้าดีหรือไม่
  ระหว่างที่เหยาลู่กำลังลังเลอยู่นั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น..
  “เหตุใดไม่ลองลงไปดูเล่า”
  เหยาลู่ย่อมจำได้ว่านี่คือเสียงของหลิงหยุนแต่เพราะเขาได้ใช้วิชาล่องหนพรางตัวไว้ และได้เห็นภาพการฝึกวิชาใต้ปฐพีของเหยาลู่ ทำให้เขานึกอัศจรรย์ใจยิ่งนัก!   เวลานี้เหยาลู่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่(ขั้นพลังชี่-3) และฝึกวิชาใต้ปฐพีถึงขั้นปฐพีธาราแล้ว ในขั้นนี้ผู้ฝึกจะสามารถทำให้ผืนดินอ่อนนุ่มราวกับน้ำได้
  “ดินได้กลายเป็นโคลนนุ่มแล้วเหตุใดไม่ลองลงไปดูเล่า”
  หลิงหยุนเผยตัวแต่ยังคงเหาะอยู่กลางอากาศพร้อมกับเอ่ยแนะนำเหยาลู่..
  “อืมม..”
  เหยาลู่เงยหน้ามองหลิงหยุนพร้อมกับพยักหน้าจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และก้าวลงไปในโคลนทีอ่อนยวบยาบนั้น
  ร่างของนางจมลงไปในดินครึ่งตัวทันทีและด้วยความตกใจกลัวว่าร่างของตนจะถูกฝังลงไปใต้ผืนดิน นางจึงทำท่าจะกระโดดออกมา
  “เจ้าไม่ต้องกลัวลงไป! ข้าเฝ้าดูอยู่..”
  เหยาลู่ดำลงไปใต้ดินในขณะที่หลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออก และพบว่าเวลานี้เหยาลู่กำลังดำอยู่ใต้ผืนดินราวกับว่ากำลังดำอยู่ในน้ำ นางดำลึกลงไปกว่าหนึ่งเมตร..
  “เหยาลู่เจ้าลองเดินดู เหมือนกับที่เจ้าเดินอยู่บนพื้นดิน..”
  หลิงหยุนยังคงคอยชี้แนะอยู่เบื้องบนเพื่อให้นางค่อยๆปรับตัวเข้ากับผืนดินเบื้องล่าง
  “เหยาลู่..เจ้ายังสามารถพูดได้..”
  ภายใต้จิตหยั่งรู้ของตนหลิงหยุนเห็นเหยาลู่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดิน แต่กลับปิดปากสนิท จึงได้แต่ร้องบอกพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างนึกขัน
  “งั้นรึ!”
  เหยาลู่เอ่ยถามออกไปและเมื่อรู้ว่าตนเองสามารถพูดได้ นางก็ถึงกับประหลาดใจ และดีใจอย่างมาก
  “เอาล่ะ..พอแค่นี้ก่อน เจ้าขึ้นมาได้แล้ว!”
  ร่างของเหยาลู่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินและดินที่เหลวเป็นโคลนใต้ฝ่าเท้าก็ค่อยๆกลับแข็งขึ้นดังเดิม ร่างของเหยาลู่ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงหยุนนั้น ยังคงสะอาดปราศจากคราบดินแปดเปื้อน..
  และทันทีที่ขึ้นจากใต้พื้นดินนางก็พุ่งตัวเข้าสู่อ้อมกอดของหลิงหยุนทันที!
  “เหยาลู่..คืนนี้ข้าจะไม่ไปไหน แต่จะอยู่กับเจ้าทั้งคืน!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็เดินโอบร่างของเหยาลู่เข้าไปในบ้านและคืนนั้นทั้งคืน หลิงหยุนกับเหยาลู่ก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างคุ้มค่า จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปกว่าสามชั่วโมง เสียงร้องภายในห้องจึงสงบลง..
  หลังจากที่ทั้งคู่เสร็จภารกิจแล้วเหยาลู่ก็เริ่มเล่าเรื่องต่างๆให้หลิงหยุนฟัง..
  “หลิงหยุนหลังจากที่พี่กงเสี่ยวลู่สะสางงานในสำนักงานการศึกษาจนเข้าที่เข้าทางแล้ว นางก็ย้ายออกจากหอพักที่โรงเรียนมัธยมจิงฉู และไปเช่าบ้านที่มีบริเวณเล็กๆหลังหนึ่งอยู่ แล้วช่วงนี้นางก็ไปสัมนาที่เมืองอื่น..”   “มิน่าล่ะ..เมื่อครู่ข้าแวะไปหานาง แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่ห้อง ที่แท้นางก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้วนี่เอง”
  “ส่วนพี่ซูก็ไปต่างยุโรปตั้งแต่สองเดือนก่อนอีกสองเดือนจึงจะกลับ..”
  “…”
  “อ่อ..ว่าแต่เหตุใดธุรกิจของข้าในจิงฉู จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อของข้าจนหมดเช่นนี้ แม้แต่โรงแรมไคเฉวียน ก็เปลี่ยนเป็นโรงแรมหลิงหยุน?”
  “อ่อ..เรื่องนี้เป็นความคิดของถังเมิ่ง”
  เหยาลู่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อ“แต่ด้วยเหตุผลอะไรข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากที่เปลี่ยนจากบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นมาเป็นหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่น ถังเมิ่งก็สั่งให้เปลี่ยนธุรกิจทั้งหมดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มาเป็นชื่อของเจ้าจนหมด..”
  “เวลานี้ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดของเมืองจิงฉูก็ล้วนแล้วแต่มีชื่อของเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปหมด!”
  หลิงหยุนเริ่มเข้าใจความต้องการของถังเมิ่งได้ทันทีและนี่คือวิธีการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยมของผู้คนอย่างหนึ่ง เพราะตราบใดที่เขายังคงผงาดอยู่เช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วธุรกิจของเขาจะขยายไปทั่วโลก!
  ….
  หลิงหยุนตื่นมาอีกครั้งตอนตีสี่และลุกขึ้นไปฝึกฝนวิชาดาราคุ้มกายเช่นเคย แต่ครั้งนี้เขาไม่ฝึกอยู่บนพื้นดิน แต่กลับเหาะขึ้นไปราวสองหมื่นเมตร และทำการฝึกฝนอยู่บนนั้น
  หลิงหยุนนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศเช่นเดียวกับที่เคยนั่งอยู่บนพื้นดินและหันหน้าไปทางทิศตะวันออกซึ่งแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา แล้วเริ่มทำการดูดซับเอาพลังสุริยะเข้าไป
  การขึ้นไปฝึกวิชาดาราคุ้มกายกลางอากาศสูงจากพื้นดินสองหมื่นเมตรนั้นทำให้ได้ผลรวดเร็วมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
  หลังจากรับประทานอาหารเช้ากับเหยาลู่เสร็จแล้วเขาก็ไปรับถังเมิ่งที่สนามบินจิงฉูด้วยตัวเอง และทันทีที่เขาพบหน้าหลิงหยุน ก็รีบเอ่ยขอบคุณทันที
  “พี่หยุน..ขอบคุณพี่มากที่ไปช่วยพี่เม่ยเฟิงกลับมา ตอนนี้เธอมาไปเป็นประธานแทนฉันแล้ว เวลานี้ฉันรู้สึกโล่งใจมากทีเดียว!”
  ถังเมิ่งร้องบอกหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มจากนั้นจึงหันมาพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
  “พี่หยุนท่านลุงหลิงฝากมาบอกว่า พี่จะไปช่วยแม่บุญธรรมที่เทียนซานนั้น ให้ระมัดระวังตัวให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุนหลุน พวกเขาจะต้องยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่!”
  “ข้ารู้!”
  หลังจากสั่งงานถังเมิ่งอีกสองสามอย่างแล้วหลิงหยุนก็มอบขวดหยกใส่โอสถโฉมสะคราญ และกำชับถังเมิ่งว่า  “มอบโอสถเยาว์วัยกับโอสถโฉมสะคราญให้ท่านลุงถังกับท่านป้าถังท่านลุงหลี่กับท่านป้าหลี่ แล้วก็หลิวลี่กับแม่สามีของนาง..”
  ถังเมิ่งพยักหน้ารับปากแล้วจัดการเรียกขวดหยกเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
  “นี่เจ้าใช้เป็นแล้วรึ”
  ถังเมิ่งยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“ต้องเป็น!”
  หลังจากตระเวนเยี่ยมเยียนและมอบโอสถให้กับผู้ที่เคยช่วยเหลือหลิงหยุนเมื่อครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นมู่หลงเวิ่นฉี ซ่งเจิ้งหยาง และเซียนหยกแล้ว หลิงหยุนก็ได้สั่งให้ถังเมิ่งจัดงานเลี้ยงขึ้นที่อาคารหลิงหยุน เพื่อเป็นการพบปะพนักงาน และเป็นการร่ำลาก่อนที่หลิงหยุนจะต้องออกเดินทางไกลอีกครั้ง
  และงานเช่นนี้ถังเมิ่งก็มักจะทำได้รวดเร็วและออกมาดีเสมอ ในคืนนั้นทุกคนต่างก็ดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งเวลาสี่ทุ่มตรง ต่างคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
  หลิงหยุนไป๋เซียนเอ๋อ เย่ซิงเฉิน และฉินตงเฉวี่ย กลับไปที่บ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉู และเมื่อไปถึงฉินตงเฉวี่ยก็ขอตัวพาหลิงหยุนออกไปพูดคุยด้านนอกเป็นการส่วนตัว
  หลิงหยุนกับฉินตงเฉวี่ยเดินตรงไปที่หน้าผาแห่งหนึ่งจากนั้นจึงเหาะขึ้นไปบนฟ้าเหนือท้องทะเลราวสามสิบกิโลเมตร แล้วหลิงหยุนจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า..
  “ตงเฉวี่ย..ความจริงเจ้าไม่ต้องหลบออกมาคุยเรื่องของเราถึงที่นี่ก็ได้ นางเองก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว!”
  “ใครบอกเจ้าว่าข้าจะคุยเรื่องของเรา”
  จากนั้นฉินตงเฉวี่ยก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด“หลิงหยุน.. น่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหลิงยู่เป็นแน่ นางดูแปลกไปมาก..!”
  หนิงหลิงยู่ผ่านทัณฑ์สวรรค์ซื่อจิ่วมาแล้วหลิงหยุนเชื่อมั่นว่าคงไม่มีผู้ใดทำอันตรายนางได้แน่ แต่เมื่อได้ยินฉินตงเฉวี่ยพูดเช่นนั้น เขาก็ร้องถามออกไปด้วยความกังวลใจ
  “เกิดอะไรขึ้นกับหลิงยู่งั้นรึ”
  สีหน้าของฉินตงเฉวี่ยเปลี่ยนเป็นกังวลใจมากกว่าเดิม“หลิงหยุน.. หลายวันมานี้ข้าติดต่อหลิงยู่ไม่ได้เลย ไม่ว่าจะโทรศัพท์ไป หรือว่าส่งข้อความไปทางโทรศัพท์มือถือ หรือทาง WeChat นางก็ไม่เคยรับสาย หรือว่าตอบข้อความข้าเลย!”
  “เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมากี่วันแล้วงั้นรึ!”
  หลิงหยุนเริ่มไม่สบายใจอย่างมากนั่นเพราะหนิงหลิงยู่กับฉินตงเฉวี่ยนั้นสนิทสนมกันมาก ทั้งคู่ไม่เพียงเป็นน้าหลาน แต่ยังเป็นยิ่งกว่าสหายใกล้ชิด แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน พวกนางก็ไม่เคยขาดการติดต่อกันเลยสักครั้ง..
  และหากหนิงหลิงยู่รู้ว่าฉินตงเฉวี่ยอยู่กับหลิงหยุนแล้วล่ะก็มีหรือที่นางจะไม่ยอมติดต่อกับฉินตงเฉวี่ย
  “นับตั้งแต่ข้อความสุดท้ายที่นางตอบข้า..นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว!”
  “ห้าวันงั้นรึ!”
  หลิงหยุนคำนวณดูเวลาในใจคร่าวๆจึงถามขึ้นว่า “ครั้งสุดท้ายที่เจ้าคุยกับนางคือเมื่อคืนวันเทศกาลไหว้พระจันทร์สินะ”
  “ใช่แล้ว!คืนนั้นข้าส่งข้อความให้กับนางว่า สุขสันต์วันไหว้พระจันทร์ และได้บอกนางว่างานชุมนุมชาวยุทธใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้นางไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา..”
  ฉินตงเฉวี่ยชะงักไปเล็กน้อยแล้วจึงถามหลิงหยุนว่า “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่านางตอบกลับมาเช่นใด”
  “นางตอบกลับมาว่าอย่างไรงั้นรึ”หลิงหยุนเอ่ยถามด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
  ฉินตเฉวี่ยจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาเปิดข้อความในWeChat ที่หนิงหลิงยู่ตอบกลับมาครั้งสุดท้ายให้หลิงหยุนฟัง
  ในข้อความเสียงนี้หนิงหลิงยู่ตอบกลับมาสั้นๆเพียงแค่สี่คำเท่านั้น “ข้าไม่กังวล!”   นอกเหนือจากข้อความเสียงที่สั้นมากแล้วแต่น้ำเสียงของนางยังเย็นชาอย่างยิ่ง อีกทั้งยังไร้อารมณ์ความรู้สึก และห่างเหินยิ่งนัก!