บทที่ 770 ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 770 ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน

บัดนี้ เฉียนเหมยขี่หลังเสี่ยวซานไปปรากฏตัวอยู่แนวหน้าของหน่วยทหารคนงานขุดเหมือง

เมื่อเด็กสาวยื่นแขนออกมาข้างหน้า แสงสว่างสาดประกายระยิบระยับ แล้วกระบี่เงินสองเล่มก็พุ่งออกมาจากถุงเก็บของวิเศษปรากฏขึ้นในมือของนาง

พวกมันเป็นอาวุธที่เฉียนเหมยว่าจ้างช่างตีกระบี่ที่ดีที่สุดในนครเจาฮุยให้สร้างขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ รูปลักษณ์ของกระบี่แม้ดูราบเรียบธรรมดา แต่กลับหลอมขึ้นมาจากแร่โลหะชั้นดี ซ้ำยังผ่านการลงค่ายอาคมแสนปราณีต แม้กระบี่แต่ละเล่มจะมีขนาดใหญ่โตกว้างสองยาวหกเซี๊ยะ แต่เมื่อมาอยู่ในมือของเด็กสาว นางกลับสามารถตวัดจับถือพวกมันได้อย่างคล่องแคล่วไม่น่าเชื่อ

เฉียนเหมยมีร่างกายผอมบาง ยามถือกระบี่ขนาดใหญ่โตเช่นนี้ จึงทำให้ผู้คนอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าแขนที่เรียวบางของนางจะสามารถรับน้ำหนักกระบี่ยักษ์ทั้งสองเล่มนี้ได้จริงๆ หรือ

เจ้าลูกหมาป่าเสี่ยวซานส่งเสียงคำรามแหบต่ำ แววตาของมันจ้องมองกองทัพศัตรู ยามแยกเขี้ยวข่มขู่เผยให้เห็นฟันขาวคมกริบราวกับใบมีด ลมหายใจของมันกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…

ฟึบ!

ร่างอีกหนึ่งร่างทิ้งตัวลงมายืนอยู่ข้างกายเฉียนเหมย

เป็นเจ้าหนูอากวง ซึ่งยืนหลังตรงด้วยสองขาหลัง บัดนี้ กระดานชนวนแผ่นเดิมที่แขวนไว้กับหน้าอกไม่เคยห่างกาย กลับกลายเป็นกลองหนังสัตว์ใบใหญ่ สองมือของมันถือไม้กลองจังก้า ฟาดตีลงไปบนหนังกลองเป็นจังหวะจะโคนเร่งเร้าปลุกใจ

กลองหนังสัตว์ใบนี้ลงค่ายอาคมอย่างดี เมื่อหนังกลองสั่นสะเทือน เสียงของมันก็จะดังกังวานไปไกล คลื่นเสียงแผ่กระจายคล้ายเกลียวคลื่นในทะเล อาศัยเพียงอากวงตีกลองตัวเดียว เสียงกลองจากกองทัพผู้อพยพก็แทบจะดังกลบเสียงกลองจากกองทัพฝ่ายตรงข้ามหมดสิ้น

“พวกเราฆ่ามัน!”

นายทหารผู้คุ้มกันค่ายผู้อพยพยกกระบี่ชี้ไปที่กองทัพของเหลียงหยวนเตา

แสงแดดสะท้อนประกายกับชุดเกราะโลหะแวววาว เช่นเดียวกับคมกระบี่ที่สาดประกายเจิดจ้า

นายทหารกองทัพเว่ยซานที่ดาหน้าเข้ามาอย่างเป็นระบบระเบียบพลันเร่งความเร็วฝีเท้ามากขึ้น

รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย พื้นหิมะถูกเหยียบย่ำฟุ้งตลบ ฝุ่นผงปลิวกระจายในอากาศ คลื่นพลังลมปราณและจิตสังหารครอบคลุมทั่วบริเวณ

“ฆ่ามัน”

“ฆ่ามัน ฆ่ามัน ฆ่ามัน”

กลุ่มทหารกองทัพเว่ยซานเพิ่มความเร็วในการบุกโจมตีมากขึ้นและมากขึ้น

พวกเขาแยกกลุ่มกันสร้างค่ายกลอย่างรวดเร็ว นายทหารห้าคนรวมตัวกันเป็นหนึ่งหน่วย เกิดเป็นค่ายกลกระจายกำลังอยู่รอบทิศทาง

ในเวลาเดียวกันนี้

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

เสียงวัตถุแหลมคมพุ่งแหวกอากาศดังขึ้น

ลูกธนูจำนวนมากถูกยิงออกมาจากด้านหลังกองทัพเว่ยซาน พวกมันพุ่งเป็นเส้นโค้งเข้าหาประตูทางเข้าของค่ายที่พักชาวเมืองหยุนเมิ่งหนาแน่นราวกับสายฝนโหมกระหน่ำจากฟากฟ้า

บัดนี้ ผู้ใช้ค่ายอาคมของเหลียงหยวนเตาก็เริ่มลงมือโจมตีแล้วเช่นกัน

นี่คือการจู่โจมของสุดยอดกองทัพที่แท้จริง

เมื่อยิงธนูทะลวงนำหน้าไปแล้ว บรรดาแม่ทัพนายกองของกองทัพเว่ยซานจึงได้ชักกระบี่วิ่งตามเข้าไปพร้อมกับส่งเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่ง

แล้วการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายก็เริ่มขึ้น

โดยทั่วไปแล้ว การปะทะกันของขุมกำลังที่ต่างฝ่ายต่างมีจำนวนหลายพันคน มักจะก่อเกิดความสูญเสียใหญ่หลวงตามมาแทบทุกครั้ง

ดังนั้น กองทัพเว่ยซานจึงวางแผนบุกโจมตีด้วยการแยกนายทหารของตนเองออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เพื่อกระจายกำลังยึดพื้นที่ของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด และลดความสูญเสียของฝ่ายตนเองลงให้น้อยมากที่สุดในเวลาเดียวกัน

ลูกธนูของพวกเขาพุ่งเข้าไปหากลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองที่ยืนแน่นิ่งเสมือนเป็นเป้ายิงมีชีวิต

สำหรับกับนายทหารที่ไม่มีโล่คอยคุ้มกัน การถูกโจมตีด้วยพายุลูกธนูเช่นนี้จึงถือว่าเป็นฝันร้าย

และบรรดานายทหารคนงานขุดเหมืองเหล่านี้ก็แทบไม่มีโล่คุ้มกันร่างกายเลย

เห็นดังนั้น เหล่าขุนพลระดับสูงของกองทัพประจำเมืองก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีทักษะการต่อสู้สูงส่ง แต่สำหรับกับสายตาของพวกเขา นายทหารคนงานขุดเหมืองเหล่านี้แทบไม่แตกต่างไปจากอันธพาลข้างถนนแม้แต่นิด

“เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”

โค้วจงระเบิดเสียงหัวเราะออกมากึกก้องกังวาน

ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของคุณภาพหรือปริมาณ ฝ่ายกองทัพประจำเมืองของเขาล้วนเหนือกว่าทั้งสิ้น

โค้วจงไม่เชื่อว่าหลินเป่ยเฉินจะมีหนทางพลิกสถานการณ์ได้อีก

แต่เสียงหัวเราะยังไม่ทันจางหาย ดวงตาของแม่ทัพใหญ่ก็ต้องเบิกกว้าง ราวกับพบเห็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์ประการหนึ่ง

บัดนี้ เขากำลังเห็นลำแสงสีเหลืองทองอร่ามลอยอยู่เหนือค่ายที่พักของผู้อพยพ

ลมหายใจต่อมา แสงสีเหลืองทองเหล่านั้นก็ครอบคลุมทั้งค่ายที่พักราวกับเป็นชามขนาดใหญ่ยักษ์

ก่อเกิดเป็นม่านพลังป้องกันการโจมตีที่ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยวารอบค่ายผู้อพยพ

พายุลูกธนูที่พุ่งแหวกอากาศเข้าไปจากฝีมือการแผลงศรของมือยิงธนูระดับพระกาฬ เมื่อกระทบกับม่านพลังเหล่านั้น พวกมันก็สูญเสียพลังการโจมตี และร่วงกราวลงสู่พื้นดินอย่างไร้ซึ่งอันตราย

“นี่มันม่านพลังลมปราณ”

“นับเป็นค่ายอาคมระดับสูง ไม่ทราบว่าในค่ายผู้อพยพ มีผู้ใช้ค่ายอาคมที่สูงส่งเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”

“ต้องมีสุดยอดผู้ใช้ค่ายอาคมกี่คนกันนะ ถึงจะสามารถสร้างค่ายอาคมลมปราณขนาดใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาได้?”

กลุ่มคนดูส่งเสียงอุทานอื้ออึง

ต้องเข้าใจก่อนว่าค่ายอาคมไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะการสร้างค่ายอาคมที่จะครอบคลุมทั่วค่ายที่พักผู้อพยพเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ใช้ค่ายอาคมไม่ต่ำกว่า 100 คนคอยจัดสร้างและติดตั้งค่ายอาคมในระยะเวลาอันสั้นให้เสร็จสิ้น

อีกทั้งการสร้างค่ายอาคมแต่ละครั้ง ไม่สามารถทำได้ด้วยการจัดวางก้อนหินตามรูปทรงที่ต้องการเท่านั้น เพราะยังมีอีกหลายขั้นตอนที่หลายฝ่ายต้องมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าทุกครั้งที่มีการสร้างค่ายอาคมขนาดใหญ่ มันก็มักเป็นสิ่งที่กลืนกินเวลาและใช้แรงงานผู้คนจำนวนมหาศาล

แต่สิ่งสำคัญที่สุดมากกว่าการสร้างค่ายอาคมได้สำเร็จก็คือ ทุกๆ ครั้งที่มีการเปิดใช้งานค่ายอาคมเหล่านี้ พวกเขาก็จำเป็นต้องใช้ยอดฝีมือให้ถ่ายเทพลังลมปราณเข้ามาในค่ายอาคมตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น รอยยิ้มจึงหายไปจากใบหน้าของท่านแม่ทัพโค้วจงแล้ว

ส่วนแม่ทัพกงซุนไป๋ซึ่งนั่งบนม้าขาวอยู่ทางด้านหลัง รวมไปถึงขุนพลคนสนิทคนอื่นๆ ของแม่ทัพใหญ่โค้วจง ต่างก็ต้องยกมือขยี้ตาด้วยความไม่อยากเชื่อ

ค่ายผู้อพยพแห่งนี้สร้างม่านพลังคุ้มกันตั้งแต่ตอนไหน?

ท่ามกลางความตกตะลึงของนายทหารประจำนครเจาฮุย พายุลูกธนูซึ่งเป็นการโจมตีชุดแรกของพวกเขากลับถูกม่านพลังสีเหลืองทองปัดป้องได้หมดสิ้น ไม่มีลูกธนูสามารถทะลวงผ่านม่านพลังเข้าสู่ด้านในค่ายที่พักได้แม้แต่ดอกเดียว

และจังหวะนี้ ทางค่ายผู้อพยพก็ลงมือตอบโต้แล้ว

อากวงรัวกลองหนังสัตว์ของมันด้วยความเร่งร้อน ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์

ตัวมันเป็นสัตว์ที่ชำนาญการมุดดิน และโจมตีศัตรูด้วยการขว้างปาก้อนหิน มีพลังพิเศษสามารถควบคุมพื้นดินได้ตามใจปรารถนา

ตอนที่หลินเป่ยเฉินบุกเข้าไปล่าเผ่าพันธุ์หนูอสูรหางกุดในหุบเขาชายแดนเหนือ มันและบริวารก็อาศัยการมุดดินขว้างปาก้อนหินโจมตีพวกของเด็กหนุ่ม ภายหลังอากวงเกิดการวิวัฒนาการเมื่อได้รับประทานหญ้าดาราน้อย ทักษะในด้านต่างๆ ของมันจึงเพิ่มพูนมากขึ้น และอดีตราชันย์หนูอสูรก็แทบไม่เคยมีโอกาสได้ใช้พลังการควบคุมพื้นดินของตนเองอีกเลย

แต่วันนี้ เพื่อรับมือการโจมตีจากกองทัพใหญ่ อากวงจึงได้ใช้ความสามารถพิเศษของตนเองอีกครั้ง

มันมีหน้าที่รับผิดชอบสนามรบแห่งนี้

อิทธิฤทธิ์ของอากวงมหัศจรรย์เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด

เสียงรัวกลองของมันทำให้พื้นดินพริ้วไหวราวกับคลื่นทะเล

บรรดานายทหารกองทัพเว่ยซานที่วิ่งเข้ามาพร้อมกับควงกระบี่ในมือรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพื้นดินใต้เท้าของตัวเองเกิดการสั่นไหว แล้วในทันใดนั้น พื้นดินที่แข็งกระด้างกลับเกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ และนายทหารหลายร้อยคนก็ร่วงหล่นลงไปในรอยแตกร้าวบนพื้นดิน…

ในเวลาเดียวกันนี้ เศษดินที่รวมตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ ก็พุ่งขึ้นมาจากใต้ดินไม่ต่างจากลูกกระสุนห่าใหญ่

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังกึกก้อง

นายทหารกองทัพเว่ยซานที่ยังเหลือรอดอยู่อีกจำนวนมากถูกกระสุนก้อนดินพุ่งทะลุแขนขา ต้องล้มลงไปนอนส่งเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด โลหิตไหลทะลักเนืองนอง

“พวกมันมีผู้ควบคุมพื้นดิน”

“รีบตามตัวผู้ใช้เวทมนตร์ของพวกเราออกมาเร็วเข้า”

ใครคนหนึ่งส่งเสียงตะโกนเร่งเร้า

แล้วเงาร่างหลายสิบสายในชุดเสื้อคลุมลายทางก็ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ เจ้าของร่างเหล่านี้สวมใส่ชุดเกราะป้องกันการโจมตี แขนเสื้อของพวกเขาปลิวไสวตามแรงลม หลังจากนั้น ลำแสงสีส้มสว่างก็พุ่งวาบออกมาบรรจบกันเป็นรูปสามเหลี่ยมครอบทับลงไปบนพื้นดินบริเวณที่เกิดรอยแตกแยกและกำลังมีกระสุนก้อนดินพุ่งขึ้นมา…

หิมะและเศษดินเศษฝุ่นฟุ้งตลบในอากาศ เงาสีดำเคลื่อนไหววูบวาบ

สุดท้าย พื้นดินก็กลับมาแข็งกระด้างดังเดิมอีกครั้ง

การโจมตีด้วยพายุลูกกระสุนก้อนดินสลายหายไป

ในที่สุด ผู้ใช้เวทมนตร์ของกองทัพประจำเมืองก็สามารถยุติการควบคุมพื้นดินของอากวงได้สำเร็จ

เหตุการณ์ครั้งนี้ที่ยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของใครหลายคน ในความเป็นจริงนั้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ