บทที่ 694 ข่มขู่มหาวิถีเต๋าวาย

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

เป็นอีกครั้งที่สำนักวายุคลั่งเปิดประตูสำนักรับคนเข้าทดสอบเป็นศิษย์

แต่เนื่องด้วยเวลาอันกระชั้นชิดที่หลีต้าฉิงกำหนดเอาไว้ว่าการรับศิษย์จะต้องเสร็จสิ้นภายใน 1 เดือน ดังนั้นบรรดาผู้คนของสำนักวายุคลั่งจึงไม่มีทางเลือก พวกเขาจำเป็นต้องออกมาจากสำนักและกระจายกำลังกันไปทั่วบริเวณใกล้เคียงสำนัก หรือแม้แต่ในเมืองวายุพเนจรที่อยู่ข้างเคียงเพื่อทำการหาคนเข้ารับการทดสอบ

“เฮ้! หน่วยก้านของเจ้าไม่เลวเลย หากเจ้าได้รับการชี้แนะอย่างถูกต้องอนาคตของเจ้าจะต้องสดใสแน่นอน มา! มากับข้า ข้าจะพาเจ้าเข้าสำนักวายุคลั่งเพื่อปั้นให้เจ้ากลายเป็นยอดคนแห่งยุค!”

“เข้าร่วมกับสำนักวายุคลั่งแล้วพวกเจ้าจะได้ทุกสิ่งที่พวกเจ้าฝันหา!”

“เร็วเข้ามาเข้ามาร่วมกับสำนักวายุคลั่งของข้า! เฮ้! นั่นเจ้าจะหนีไปไหน! เป็นแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราแต่กลับกล้าหนีข้าผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำงั้นเหรอ? เจ้ารู้ไหมว่าการที่ข้าถูกใจเจ้านั้นนับว่าเป็นบุญของเจ้า! เจ้านี่มันไม่รู้อะไรดีกับตัวเจ้าเองจริง ๆ กล้าคิดที่จะหนีข้า! เจ้าคิดว่าจะหนีข้าไปได้ง่าย ๆ รึไง?”

เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่ง

บรรดาผู้คนทั่วไปเมื่อเห็นว่าสำนักวายุคลั่งเปิดรับทดสอบคนเข้าสำนัก พวกเขาต่างไม่มีใครรู้สึกดีใจเลยสักคน ในทางกลับกันพวกเขาต่างหวาดกลัวจนต้องหนีอย่างสุดชีวิต

ในเวลานี้ หลิงตู้ฉิงกำลังอยู่ในเมืองวายุพเนจร ซึ่งเมื่อเขาได้เห็นภาพเช่นนี้เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

สำนักวายุคลั่งนับว่าเป็นสำนักที่โด่งดังและแข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตวายุแถมพวกเขายังมีมหาวิถีเต๋าเป็นของตนเอง แต่ทำไมสำนักที่แข็งแกร่งแบบนี้กลับไม่มีคนอยากเข้าร่วมด้วยเลยแบบนี้?

ด้วยความสงสัย หลิงตู้ฉิงจึงสั่งให้หมิงยู่ขับไล่ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำที่จับตัวผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราให้หนีไป

จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงพาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่เขาเพิ่งช่วยเอาไว้กลับไปยังโรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่ และถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

“เรียนผู้มีพระคุณข้าชื่อซุนหลิน ก่อนอื่นข้าขอขอบคุณท่านจริง ๆ ที่ช่วยข้าเอาไว้เมื่อครู่ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าคงต้องจับตัวเข้าไปที่สำนักวายุคลั่งและจากนั้นชีวิตของข้าคงต้องแย่แน่ ๆ” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราพูดขึ้นด้วยสีหน้าซาบซึ้ง

“สำนักสำนักวายุคลั่งก็ไม่ได้อ่อนแอนี่นา ทำไมเจ้าถึงไม่อยากเข้าร่วมกับพวกเขาขนาดนี้?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

ซุนหลินมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าระแวง และพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ผู้มีพระคุณ ข้าจะอยากเข้าร่วมกับสำนักวายุคลั่งได้ยังไง!? ไม่ว่าจะเป็นใครหากถูกพาเข้าไปในสำนักวายุคลั่งพวกเขาจะต้องเข้ารับการทดสอบ ซึ่งการทดสอบของสำนักวายุคลั่งแต่ละครั้งนั้นมันไม่ต่างอะไรกับต้องโทษประหารเลยด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มีการทดสอบ จากจำนวนคนนับพันคนที่เข้าร่วมมันจะมีคนเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้นที่รอดตายออกมา! เมื่อเป็นแบบนี้ท่านก็ลองคิดดูว่าใครจะอยากเข้าร่วมกับสำนักวายุคลั่งบ้าง?”

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและพูดว่า “การทดสอบของสำนักใหญ่ ๆ ทั่วไปมันก็ต้องมีอันตรายอยู่แล้วเพื่อเป็นการคัดเลือกผู้ที่คู่ควร ข้าไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน?”

ซุนหลินกลืนน้ำลายด้วยความกลัวจากนั้นเขาพูดต่อ “แต่กับสำนักวายุคลั่งมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิผู้มีพระคุณ! มันมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่าก่อนหน้านี้เมื่อหลายพันปีที่แล้วมีชายผู้หนึ่งที่เข้าร่วมกับสำนักวายุคลั่งได้สำเร็จ แต่เมื่อชายผู้นั้นเข้าร่วมกับสำนักวายุคลั่งได้ไม่นาน ชายผู้นั้นกลับหนีออกมาจากสำนักวายุคลั่ง ซึ่งหลังจากที่ชายผู้นั้นหนีออกมาได้เขาก็ทำการกระจายข่าวไปทั่วว่าอันที่จริงแล้วการทดสอบนั้นมันเป็นเรื่องแหกตา และเหตุผลที่เหล่าผู้เข้าร่วมการทดสอบหายตัวไปก็เพราะในระหว่างการทดสอบผู้เข้าทดสอบทุกคนจะต้องเดินผ่านเส้นทางสายหนึ่ง ซึ่งที่ปลายทางจะมีอสูรระดับสูงคอยจับผู้เข้าทดสอบที่มันหมายตากินไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะอิ่ม!”

“แต่หลังจากที่ชายผู้นั้นกระจายข่าวเรื่องนี้ได้ไม่นาน ชายผู้นั้นก็ถูกสังหารโดยเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งและถูกตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏและจงใจทำให้สำนักเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งนับจากนั้นบรรดาผู้คนทั่วไปต่างก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของสำนักวายุคลั่ง”

หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก

ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเมืองวายุพเนจรถึงไม่ค่อยจะคึกคักนักเมื่อเขามาถึง

ในอดีตเมืองวายุพเนจรนับว่าเป็นเมืองใหญ่ที่มีบรรยากาศคึกคักเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้บรรยากาศของเมืองกลับดูไร้ชีวิตชีวาไม่เป็นเหมือนอย่างที่เขาเคยจำได้

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาสืบสวนหาข้อเท็จจริงเรื่องใหญ่ขนาดนี้บ้าง? และอีกอย่างในเมื่อเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าสำนักวายุคลั่งอันตรายขนาดนี้ เจ้ายังจะมาที่นี่อีกทำไมกัน?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น

ซุนหลินยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ก็ข้าไม่นึกว่าจู่ ๆ สำนักวายุคลั่งจะประกาศรับคนปุบปับขนาดนี้ และข้าเองก็ไม่ได้วางแผนจะอยู่ในเมืองวายุพเนจรนานนัก ข้าเพียงแค่แวะเข้ามาหาซื้อของใช้ที่จำเป็นสำหรับการบ่มเพาะของข้าเท่านั้น และตั้งใจว่าจะออกจากเมืองในทันทีเมื่อซื้อของเสร็จ ท่านต้องเข้าใจว่าครั้งล่าสุดที่สำนักวายุคลั่งประกาศรับคนเข้าสำนักนั้นมันก็เมื่อ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว ดังนั้นมันไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าจู่ ๆ ในวันนี้พวกเขาจะประกาศรับคนอีกรอบ”

“ทิ้งช่วงมาเป็นเวลา 2,000-3,000 ปีแล้วงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงรู้สึกประหลาดใจ

เขารู้สึกไม่เข้าใจการกระทำของสำนักวายุคลั่งเลยในตอนนี้

ในความเป็นจริง สำนักวายุคลั่งนั้นไม่ใช่กลุ่มคนโง่

ตั้งแต่ที่มีคนออกมาแฉเรื่องของพวกเขาและพวกเขาถูกจับตาดูอย่างใกล้ชิด พวกเขาจึงเปลี่ยนแผนการรับศิษย์ใหม่ก็คือพวกเขาเลือกที่จะส่งคนของพวกเขาออกไปยังอาณาเขตอื่น ๆ เพื่อรับศิษย์แทน และแต่งตั้งให้ศิษย์เหล่านั้นเป็นศิษย์นอกสำนักและเมื่อไหร่ที่เหล่าอสูรอยากจะกินมนุษย์ พวกเขาถึงจะเรียกศิษย์นอกสำนักกลับมาที่สำนักตามจำนวนที่เหล่าอสูรต้องการโดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ ที่แนบเนียนให้เหล่าศิษย์นอกสำนักพวกนั้นไม่รู้ตัวว่าพวกเขากำลังจะถูกเรียกตัวกลับมาเพื่อให้พวกอสูรกิน

แต่พอมาถึงรอบนี้ หลงหยาดันให้เวลาหลีต้าฉิงน้อยเกินไปจนเขาไม่สามารถเรียกบรรดาศิษย์นอกสำนักกลับมาได้ทัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องบังคับคนเข้าสำนักแบบนี้

จากนั้นในเวลาไม่นาน สำนักวายุคลั่งก็จับตัวผู้คนได้มากกว่า 3,000 คนเข้าในสำนักได้สำเร็จ ซึ่งในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงก็ได้ลอบเข้ามายังใจกลางสำนักวายุคลั่งแล้วเช่นกัน เพื่อสืบว่าข่าวลือที่สำนักวายุคลั่งจับผู้คนมาให้อสูรกินเป็นเรื่องจริงหรือไม่?

อันที่จริงที่ใจกลางของสำนักวายุคลั่งนั้นเป็นสถานที่ที่มหาวิถีเต๋าของสำนักวายุคลั่งสถิตอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากเป็นศิษย์ทั่ว ๆ ไปหรือแม้แต่ผู้อาวุโสของสำนัก หากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาถึงจุดนี้ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิงตู้ฉิงแม้แต่น้อย เนื่องจากตอนนี้ค่ายกลป้องกันของสำนักวายุคลั่งอยู่ในการควบคุมของเขา ดังนั้นการเข้ามายังสถานที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

หลิงตู้ฉิงเดินเข้าไปในตึกสูงที่ตั้งอยู่ใจกลางสำนักวายุคลั่ง ซึ่งตึกนี้เป็นสถานที่ที่มหาวิถีเต๋าของสำนักวายุคลั่งสถิตอยู่

เมื่อเข้ามาด้านในหลิงตู้ฉิงมองไปที่พายุหมุนที่อยู่ตรงกึ่งกลางตึกสูง และพูดว่า “ช่างน่าประทับใจจริง ๆ ที่เจ้ากลับมาฟื้นฟูได้จนสมบูรณ์อีกรอบไวขนาดนี้ ทั้งที่ในอดีตข้าทำลายเจ้าจนย่อยยับไปแล้ว แต่มันดูเหมือนว่าทุกอย่างมันก็คล้ายกับในอดีตเลยจริง ๆ ที่สำนักของเจ้ามันยังคงสมควรตายเหมือนเดิม”

“เอาล่ะ แต่รอบนี้ข้าจะให้เจ้าได้มีโอกาสเลือกสักหน่อย หากครั้งนี้เจ้าช่วยข้าอธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นที่นี่ ข้าจะช่วยเจ้าหาบ้านใหม่ให้ แต่ถ้าหากเจ้าไม่ช่วยข้า รอบนี้ข้าก็จะทำลายเจ้าเหมือนเดิม ไม่สิ รอบนี้ข้าจะทำลายเจ้าให้หมดจดกว่าเดิมจนเจ้าหายไปจากโลกตลอดกาลเลยเชียวล่ะ!”

ตั้งแต่แรกที่หลิงตู้ฉิงเดินเข้ามา มหาวิถีเต๋าวายุก็รู้ได้ทันทีว่าหลิงตู้ฉิงเป็นใครและเมื่อมันได้ยินคำขู่เช่นนี้มันจึงรีบตัดสินใจให้ความร่วมมือกับหลิงตู้ฉิงในทันที

มหาวิถีเต๋าวายุแสดงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสำนักให้หลิงตู้ฉิงได้เห็นกับตาทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงภาพของหลงหยาที่ในเวลานี้กำลังอยู่ในสำนักด้วยเช่นกัน

ทางด้านของหลงหยาเองก็สัมผัสได้เช่นกันว่าในเวลานี้มันกำลังถูกจ้องมองโดยมหาวิถีเต๋าวายุ

ในความคิดของมันนั้น มันคิดว่าคงเป็นพวกตัวตนระดับสูงของสำนักวายุคลั่งที่ใช้มหาวิถีเต๋าวายุจับตาดูมัน ซึ่งมันเองก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย

มันไม่สนใจว่าเหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งจะเห็นว่ามันกินมนุษย์หรือไม่ เพราะอันที่จริงแล้วการที่มันกินมนุษย์ในครั้งนี้มันต้องการที่จะย้ำเตือนให้เหล่าผู้คนของสำนักวายุคลั่งเห็นว่าเผ่าอสูรของมันคือผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนี้ และจงรับใช้พวกมันให้ดีไม่อย่างนั้นผู้ที่จะถูกมันกินเป็นรายต่อไปคือพวกเขาเอง!

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของตัวตนระดับสูงของสำนักวายุคลั่งตอนนี้ก็กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมการทดสอบเหล่าผู้คนที่เข้ามาในสำนักใหม่