หลังจากรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นครบหมดแล้ว เขาก็เริ่มฝึกตนปิดขัง เตรียมพร้อมที่จะเข้าเข้าสู่ระดับที่บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นเก้า

ภายในระยะเวลาสามเดือนเต็ม เขาเก็บตัวเงียบอยู่ในสภาวะที่ไร้ตัวตน ในหัวของเขามีร่องรอยของผังกฎดั้งเดิมปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทียบกับ ประสบการณ์ฝึกตนที่เทวทูตจื่อเยียนมอบให้ทั้งหมด ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจมากมาย

ในวันที่เขาออกจากการปิดขัง กำแพงหินที่สูงชันสูงตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งก็ฉายเป็นประกายอันเยือกเย็นออกมา

ผมดำขลับปกคลุมไหล่ เสื้อคลุมของเขาปลิวไสวตามสายลม หลังจากบรรลุผลการฝึกตน พลังในการต่อสู่ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

อีกทั้งในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ฝึกตนปิดขัง เขาใช้มกุฎอัคคีนภาเหลืองชุบร่างเนื้อ ระดับที่บรรลุถึงของร่างเนื้อที่ร่วงหล่นไปก่อนหน้านี้ ก็ได้ฟื้นฟูขึ้นมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกันกับที่ผลการฝึกตนเพิ่มขึ้น อำนาจของมกุฎอัคคีนภาเหลืองก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สามารถกด เจ้ายุทธจักรช่วงปลายได้

เพียงแต่ว่าการหลอมรวมของภูตอัคคีเสือพิฆาตจิ่วหยินชนิดที่สามกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดเอาไว้ เมื่อภูตอัคคีร้อยแปรสามารถฝึกตนถึงการแปรที่สาม ก็จะกลายร่างเป็นจักรพรรดิอัคคีนภาแดง สามารถก่อให้เกิดภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ช่วงต้นได้

เพลิงอัคคีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผลการฝึกตนทั่ว ๆ ไปสามารถควบคุมได้ หลัวซิวมีลางสังหรณ์บางอย่าง นอกจากผลการฝึกตนของตนจะบรรลุถึงระดับ เจ้ายุทธจักร ไม่เช่นนั้นหากฝืนหลอมรวมภูตอัคคีชนิดที่สาม ก็จะเป็นการดูดไฟเผาตัวเอง ไม่สามารถรับอำนาจของภูตอัคคีชนิดนี้ได้ ยังไม่ทันได้ทำร้ายคนอื่น แต่กลับทำร้ายตัวเองไปเสียก่อน

เมื่ออกมาได้ไม่นาน หลัวซิวก็ได้รับรายงานจากองค์กรนักล่ายุทธ์รับรู้ได้ว่าในช่วงเวลานี้ ทั่วทั้งโลกแสงดาวต่างไร้ความสงบ

กองกำลังต่าง ๆ ตามหาเขาแต่ไม่พบเขา จึงได้หมายตาแดนตำหนักจื่อ ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนถูกฆ่าตาย ไม่ได้สนใจสถานะ ผู้ลาดตระเวนเมืองหลวงของเขาแม้แต่น้อย

เพราะเมืองศักดิ์สิทธิ์เดิมทีก็เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ร่วมมือกันจัดตั้งขึ้นมา ตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่ง ต่างต้องให้ผู้แข็งแกร่งแดนศักดิ์สิทธิ์มารับหน้าที่

ทางเข้าแดนตำหนักจื่อได้ถูกทำลายไปแล้ว แดนปริศนาหายเข้าไปในโซน ไม่สามารถพบเจอได้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่เชี่ยวชาญด้านกฎปริภูมิ ก็ยังเป็นการยากที่จะหาพบ

กองกำลังต่าง ๆ ไม่พบสิ่งที่ต้องการอีกครั้ง ไม่ได้อะไรกลับมา

เดิมทีไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่คนของตำหนักดารานภากับเผ่าพันธุ์ปีศาจเกิดการขัดแย้งกันขึ้น ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกสังหารกันอย่างดุเดือด มหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งของตำหนักดารานภาถูกมหาจักรพรรดิยุทธ์สองตนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจลอบโจมตี ผลการฝึกตนตกลงและบาดเจ็บสาหัส

หากไม่ได้มหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งแห่งสำนักดำเหลืองยื่นมือเข้าไปช่วย เกรงว่าตำหนักดารานภาคงจะต้องเสียผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ไปท่านหนึ่งแล้ว

เผ่าพันธุ์มนุษย์มีแดนศักดิ์สิทธิ์ 20 แห่ง ดูเหมือนมีจำนวนมาก แต่ว่าจำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้นมีเพียงน้อยนิด หากนับกันให้ดี จะพบว่าแต่ละแดนศักดิ์สิทธิ์มีมากที่สุดก็เพียงแค่สองสามท่านเท่านั้น

เช่นนี้ก็หมายความว่า ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ จำนวนผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนนั้น ก็มีเพียงแค่ประมาณ 60 คนเท่านั้น

ตัวเลขนี้ดูเหมือนไม่น้อย แต่หากเทียบกับจำนวนที่มากมายของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วนั้น กลับเป็นน้อยเสียจนน่าตกใจ

โลกแสงดาวคือโลกพิภพระดับล่าง หมื่นปีกำเนิดเทพมาร แต่รองลงมาจากเทพมารอย่างผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์นั้น พันปีจะมีสักหนึ่งคนก็ถือว่าดีมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่เกิดอุบัติภัยในสมัยโบราณ การฝึกยุทธ์ไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนในอดีตอีกต่อไป เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่เคยมีกำเนิดเทพมาร จำนวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์ก็ยิ่งน้อยลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน

ผู้แข็งแกร่งนิรันดร์สามารถใช้วิธีเกิดใหม่เพื่อเพิ่มอายุให้ยืนยาว สามารถถือครองนิรันดร์ไม่มีวันตายได้ แต่อายุของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์กลับมีข้อจำกัด โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณสองหมื่นปี

การต่อสู้อันดุเดือดครั้งนี้ ตำหนักดารานภาสูญเสียไปไม่น้อย มีผู้อาวุโสระดับ เจ้ายุทธจักรหลายคนที่กลายเป็นเถ้าธุลี

เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลอย่างมาก ทำให้การรักษาความสงบสุขมาหลายหมื่นปีระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ กลายเป็นเพียงลมฝนที่พัดผ่านไปเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวก็ยังได้รับข้อมูลอีกว่า กลุ่มคนที่เคยข้องเกี่ยวกับเขาในอดีต ก็ถูกร่างแหไปด้วย

สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เตรียมพร้อมที่จะเปิดสงครามใหญ่