ตอนที่ 548 พวกมันมาทวงชีวิตแล้ว!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตอนที่ 548 พวกมันมาทวงชีวิตแล้ว!

 

 

เข็มพิษย้อนกลับมาด้วยความเร็วดุจลูกกระสุน พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของซ่งชิงอี

 

 

ส่วนทางด้านตู๋กูซิงหลัน ปลายนิ้วของคนผู้นั้นที่เดิมทีแตะลงบนสายพิณ พอเห็นนางลงมือ จึงขยับกลับไปดังเดิม

 

 

นางแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้มากนัก

 

 

เขาเหลือบตามองดูนางอีกครั้ง เห็นนางจับจ้องไปที่ซ่งชิงอีบนร่างปลดปล่อยไอสังหารออกมา

 

 

ในมืออีกข้างหนึ่ง พลังวิญญาณที่เอ่อล้นขึ้นมาปรากฏไม้คฑาสีดำผุดขึ้นมาจากใจกลางฝ่ามือของนาง

 

 

หากบอกว่าเป็นไม้คฑา ที่จริงดูไปแล้วกลับเหมือนไม้เท้าสีดำด้ามหนึ่งมากกว่า บนตัวไม้มีลวดลายอักขระซับซ้อน แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่ดูพิเศษ

 

 

ปลายเท้าของนางขยับเล็กน้อย จากนั้นก็คลายมือที่กำแขนเสื้อของเขาเอาไว้อย่างแนบแน่น คนก็โผบินออกไปดุจผีเสื้อสีดำตัวหนึ่ง นางฟาดไม้คฑาลงไป ซ่งชิงอีไม่ทันจะได้มีปฏิกริยาใดๆ ไม้คฑานั้นฟาดลงไปบนแผ่นหลังของนาง

 

 

เมื่อครู่ซ่งชิงอีถูกเข็มพิษของตนเองซัดกลับมา ถึงแม้ว่านางจะบิดหลบได้อย่างทันท่วงที แต่ก็ยังถูกเข็มเล่มหนึ่งพุ่งเข้าใส่ใบหน้า

 

 

 

 

 

ใครจะไปรู้ว่า เจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นจะมีฝีมืออยู่บ้างถึงกับสามารถซัดเข็มพิษของนางกลับมาได้

 

 

ต้องรู้ว่าเข็มพิษนี้เล็กบางดุจขนวัว  ตอนนี้ก็เป็นยามดึก ไม่มีทางใช้ตาเปล่ามองดูเห็นได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ฝีมือการซัดเข็มของนางก็ว่องไวอย่างยิ่ง ไม่มีทางจะให้เวลาเจ้าเดรัจฉานน้อยนั่นได้ทันตั้งตัว

 

 

แต่ว่ามันไม่เพียงแต่สามารถรับมือ ทั้งยังซัดเข็มย้อนกลับมาได้อีกด้วย

 

 

ซ่งชิงอีได้แต่ตกตะลึงอยู่ในใจ นางรีบล้วงเอายาแก้พิษออกมากลืนลงไป ไหนเลยจะรู้ว่าพึ่งจะกลืนยาแก้พิษลงไป เจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้นก็กุมคฑาเอาไว้ในมือ เหาะมาในอากาศ ฟาดไม้คฑานั่นลงไปบนกระดูกสันหลังของนาง

 

 

“ผลั๊วะ….” ซ่งชิงอีได้ยินเสียงกระดูกหลังของตนเองหักอย่างชัดเจน

 

 

สิ่งที่ตามมาในทันทีก็คือความเจ็บปวดจากกระดูกหักจนตนเองไม่อาจทนทาน

 

 

นางฝึกฝนหลอมยาตันจนถึงขั้นสูงส่ง แต่ว่าในด้านการบำเพ็ญเพียรฝึกปรือพลังกลับไม่ใช่ยอดยุทธ์ เมื่อถึงคราวที่แข็งกับแข็งปะทะกันย่อมไม่ใช่คู่มือของตู๋กูซิงหลัน

 

 

ดังนั้นตอนที่ตู๋กูซิงหลันยกไม้คฑาฟาดลงมา นางแม้อยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ได้แต่ต้องทนรับไปเต็มๆ

 

 

“ท่านเจ้า” บนตึกสูง ฝูลั่วได้แต่มองดูซ่งชิงอีหล่นลงมาจากอากาศ จากนั้นก็กระแทกลงไปกับพื้นหนักๆ

 

 

ตกลงมาจากบนฟ้าเช่นนี้ แม้แต่พื้นดินก็ยังกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ฝุ่นธุลีปลิวว่อนไปในอากาศ ทำเอาทุกคนตาพร่าไปหมด

 

 

คนของวังตันติ่งกงก็คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายที่เป็นเพียงเด็กหนุ่ม……จะถึงขนาดซัดเจ้าวังของพวกเขาจนหมอบได้ในครั้งเดียว?

 

 

ใช่แล้ว ……ตู๋กูซิงหลันซัดซ่งชิงอีจนคว่ำไปแล้วจริงๆ

 

 

ไม้คฑานั้นของนางพอฟาดลงไป นางก็เหยียบเข้าใส่ร่างของซ่งชิงอี เพียงเท้าเดียวก็กระทืบคนตกลงมาจากกลางอากาศ จมลงไปในฝุ่นดินใต้เท้าอย่างเต็มที่ ในนางกินโคลนเข้าไปจนเต็มปาก

 

 

สมองของซ่งชิงอีมีแต่เสียงอื้ออึง นางรู้แต่ว่ากระดูกหักไปหลายต่อหลายท่อน  หน้าผากเปียกชุ่ม ทั้งยังปูดบวมออกมา

 

 

ในสมองของนางมีแต่ภาพขาวโพลน เจ็บปวดทั่วทั้งร่าง

 

 

ดวงตาถูกเลือดกลบจนพร่ามัว นางได้แต่อ้าปาก กระอักเลือดออกมา

 

 

“เดรัจฉานน้อย เจ้า…”

 

 

พอนางเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันก็ฟาดไม้คฑาลงมาอีก

 

 

ไม้นี้แทบทำเอาซ่งชิงอีต้องกระอักเอาหัวใจและเครื่องในออกมาด้วย

 

 

นางอ้าปากกระอักเลือดออกมา ครั้งนี้ในเลือดถึงกับเป็นลิ่มๆ

 

 

พอฝุ่นจางลงไป ทุกคนถึงได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ตลอดชีวิตพวกเขาไม่เคยถึงฝันภาพนี้มาก่อนเลย ว่าวันหนึ่ง เจ้าวังของพวกเขาจะถูกคนซัดคว่ำจนกระอักเลือดออกมา

 

 

และผู้ที่ทำร้ายนาง ก็เป็นเพียงเด็กรุ่นหลังที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม!

 

 

“มัวตกตะลึงอะไรกันอยู่? ยังไม่รีบช่วยเหลือท่านเจ้า!” ฝูลั่วเองก็พุ่งออกมาแล้ว หัวใจของนางสั่นสะท้าน สองขาอ่อนแรง จนแทบจะหาทางเดินไม่เจอ

 

 

เสียงตะโกนของนาง ปลุกเหล่าผู้อาวุโสในวังตันติ่งกงขึ้นมา ต่างก็รีบนำพาศิษย์ไปช่วยซ่งชิงอี

 

 

แต่ทันทีที่พวกเขาขยับ ก็เห็นในมือของตู๋กูซิงหลันมียันต์สีเหลืองปึกใหญ่ เขวี้ยงขึ้นไปในอากาศ

 

 

นางปิดตาลง ริมฝีปากเอ่ยคาถาออกมา พอลืมตาขึ้นก็เอ่ยกับวิญญาณแค้นทั้งหลายที่อยู่ในอากาศว่า “มีแค้นชำระแค้น จงไปเถอะ!”

 

 

ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นยันต์สีเหลืองของนาง ผนึกลงบนร่างของวิญญาณแค้นเหล่านั้น

 

 

ทันใดนั้น วิญญาณแค้นเหล่านั้นก็เหมือนดิ้นหลุดจากบ่วงรัด ต่างตะโกนร่ำร้องในอากาศแล้วพุ่งลงมา

 

 

ต่างพุ่งเข้าไปพัวพันเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์ทั้งหลาย

 

 

บนท้องฟ้า บุรุษที่ดูร้ายกาจผู้นั้นเพียงหรี่ตามอง สายตาของเขาไม่เคยคลาดเคลื่อนไปจากร่างของนาง

 

 

วิญญาณแค้นเหล่านี้ ได้ฟัง ‘คาถาส่งวิญญาณสู่สันติ’ เดิมทีสมควรจะละทิ้งทุกสิ่ง สงบใจไปเกิดใหม่

 

 

พอนางซัดยันต์สีเหลืองชุดนี้ออกไป ก็ทำให้พวกมันระเบิดความโกรธแค้นทั้งหมดออกมา คืนนี้วังตันติ่งกง คงต้องหลั่งเลือดนองเป็นท้องธารแล้ว

 

 

แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวาง และมิได้ช่วยเหลือ เพียงเฝ้าดูอย่างสงบนิ่ง ราวกับผู้สูงส่งจากเบื้องบน

 

 

บนพื้น ซ่งชิงอีตกตะลึงไปแล้ว นัยตาของนางถลนออกมา นางฝืนทนต่อความเจ็บปวดอ้าปากขึ้น ตะโกนใส่ตู๋กูซิงหลันไปว่า “เจ้า….คือใครกันแน่?”

 

 

บนดินแดนจิ่วโจว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่สามารถใช้ยันต์อยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เพียงแค่สะบัดยันต์ไม่กี่ใบก็สามารถควบคุมวิญญาณแค้นของนางได้แล้ว…..นางประมาทเจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นี้ไปแล้วจริงๆ

 

 

ตู๋กูซิงหลันคร้านที่จะสนใจนาง จึงหันกลับไปมองดูท้องฟ้าด้านหลังแวบหนึ่ง

 

 

ถึงผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นยังคงคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าเขา แต่ก็สามารถดูออกว่า พวกมันก็คิดจะเคลื่อนไหว

 

 

คราวนี้ในมือของตู๋กูซิงหลันจึงหยิบเอายันต์โลหิตออกมาอีกหลายใบ

 

 

ยันต์สีเหลืองไม่มีผลต่อผีกุ่ยหลัวซา ต้องยันต์โลหิตเท่านั้นจึงจะได้

 

 

พอเห็นว่านางคิดจะลงมืออีก ซ่งชิงอีก็ฝืนอาการเจ็บปวดเป่าขลุ่ยกระดูกออกมา หากเจ้าเดรัจฉานน้อยนี้สามารถควบคุมวิญญาณแค้นของนางได้….ไม่แน่ว่าก็อาจจะควบคุมผีกุ่ยหลัวซาของนางได้ด้วยเช่นกัน

 

 

วิญญาณแค้นเหล่านั้น….แม้ว่าจำนวนจะค่อนข้างมาก แต่ว่าพวกมันยังไม่ได้ก่อกำเนิดเป็นร่าง ผู้อาวุโสและศิษย์ในวังตันติ่งกงยังพอจะรับมือได้อยู่

 

 

แต่ว่าผีกุ่ยหลัวซาไม่เหมือนกัน ….หากว่าผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นหันกลับมาเล่นงานวังตันติ่งกง เช่นนั้นสำนักเซียนอันดับหนึ่งในดินแดนจิ่วโจวของนาง วันนี้ก็คงจะต้องจบสิ้นแล้ว

 

 

เลือดบนมุมปากของนางไหลลงไปบนขลุ่ยกระดูก ย้อมขลุ่ยกระดูกสีขาวจนกลายเป็นสีแดงฉาน

 

 

แค่เป่าออกมาเพียงเสียงเดียว ก็กรีดแหลมเสียจนแก้วหูคนต้องปวดร้าว

 

 

แต่แล้วก็มิได้เกิดผลใดๆอยู่ดี….

 

 

ผีกุ่ยหลัวซาเหล่านั้นไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย กลับเป็นยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันที่พุ่งขึ้นไป เพียงพริบตาเดียว ผีกุ่ยหลัวซาก็เหมือนถูกปลุกจิตวิญญาณขึ้นมา พากันเคลื่อนไหว

 

 

ดวงตาที่น่าหวาดกลัวแต่ละคู่หันกลับมามองดูซ่งชิงอีที่อยู่ในหลุมยุบ ครู่เดียวพวกมันทั้งหมดก็ลุกขึ้นยืนอยู่ในอากาศ พริบตาก็เหาะลงมา

 

 

สายลมจากไอหยินที่เย็นเฉียบโหมใส่ร่างของซ่งชิงอีจนนางตัวสั่นสะท้าน ในใจของนางเกิดความหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก

 

 

ในสมองของนางมีภาพต่างๆผุดขึ้นมาเรื่อยๆ…..เป็นภาพที่ตอนนั้นนางทรมานพวกมันจนตายอย่างอนาถ และวิธีการที่นางกักขังวิญญาณของพวกมัน ทำให้พวกมันกลายเป็นผีกุ่ยหลัวซา

 

 

ตอนนี้…..พวกมันมาทวงชีวิตแล้ว!

 

 

ตู๋กูซิงหลันกระทืบขลุ่ยกระดูกของนางลงไปบนพื้น ดวงตาทอแววเย็นชาอย่างที่สุด “อย่างเจ้า แม้ตายก็ยังไม่สาสมกับความผิด”

 

 

…………………………….