บทที่ 772 ทำไมต้องรนหาที่ตาย

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 772 ทำไมต้องรนหาที่ตาย

หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองแข็งแกร่งมาก

ข่าวลือเรื่องนี้บรรดาขุนพลใหญ่ในกองทัพประจำนครเจาฮุยต่างรับทราบเป็นอย่างดี

แต่พวกเขาไม่มีทางเชื่อจนกระทั่งได้เห็นด้วยตาของตนเอง

ทว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้เห็นการต่อสู้ของหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองกับกองทัพชาวทะเล เพราะฉะนั้น จึงยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของหน่วยทหารจากค่ายผู้อพยพ

อย่างเช่น แม่ทัพใหญ่โค้วจง

ตลอดเวลาที่ผ่านมา บรรดานายทหารขุนพลคู่ใจของแม่ทัพใหญ่โค้วจงทำหน้าที่ปกปักรักษากำแพงเมืองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เมื่อได้ยินว่าหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองสามารถทำผลงานได้ดี เขาจึงเพียงยิ้มเล็กน้อยด้วยความเหยียดหยามเท่านั้น

เพราะในโลกนี้มีผู้คนที่ชอบคุยโวโอ้อวดมากมายเหลือเกิน

ครั้งหนึ่ง แม้แต่ตัวของแม่ทัพใหญ่โค้วจงก็ยังเคยไปป่าวประกาศในหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ว่า ตนเองสามารถสู้ศึกสวาทได้ถึงคืนละหลายสิบยก ทั้ง ๆ ที่มันไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย

เขาเพียงพูดออกไปเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีเท่านั้น

แต่สิ่งสำคัญก็คือ ถึงหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองจะแข็งแกร่งก็จริง ทว่า พวกเขามีขุมกำลังเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น จะสามารถรับมือการโจมตีจากกองทัพที่มีจำนวนคนเยอะมากกว่ากันหลายสิบเท่าได้อย่างไร?

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่าเหตุการณ์จะมาลงเอยเช่นนี้ได้

ข่าวลือที่พวกเขาเคยได้ยินมาเห็นได้ชัดว่าไม่เป็นความจริง

เพราะความสามารถที่แท้จริงของหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองมีความสูงล้ำมากกว่าในข่าวลือหลายสิบเท่า

พวกเขามีฝีมือดีกว่ากองทัพประจำมณฑลด้วยซ้ำ

ระดับฝีมือที่สูงส่งถึงเพียงนี้ ดีพอที่จะทำหน้าที่อารักขาวังหลวงได้อย่างไม่มีปัญหา

วันนี้ นายทหารกว่า 30,000 คนของกองทัพนครเจาฮุย ต้องเสียชีวิตระหว่างการสู้รบไปกว่า 6,000 คน

ส่วนคนที่เหลือถูกจับตัวเป็นเชลยศึก

หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองและกลุ่มผู้อพยพจำนวน 3,000 คน มีไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่แขนขาหักเพราะได้รับลูกหลงจากการระเบิดพลังลมปราณ แต่นอกจากนั้น พวกเขากลับมีเพียงรอยฟกช้ำดำเขียว และไม่ได้รับบาดเจ็บอื่นใดเลยทั้งสิ้น

นี่คือผลการสู้รบที่ไม่มีใครอยากเชื่อ

ภายใต้การจ้องมองของสายตาจำนวนนับไม่ถ้วน เหล่าขุนพลใหญ่ของกองทัพเว่ยซานถูกปลดอาวุธถอดชุดเกราะ สองมือยกขึ้นกุมศีรษะ ร่างกายสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น ทุกคนถูกจับล่ามโซ่และเข้าแถวเดินตรงเข้าสู่ค่ายผู้อพยพ..

ภาพที่เห็นนี้ทำให้บรรดาขุนนางใหญ่และเจ้าสำนักทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ

ในขณะที่ยอดฝีมือตัวจริงก็จ้องมองไปยังแม่ทัพเฉียนเหมยอย่างไม่วางตา

ทหารหญิงผู้นี้น่ากลัวเหลือเกิน

เห็นได้ชัดว่าตัวจริงของนางเป็นเด็กสาวหน้าตางดงาม มีอายุเพียง 17 หรือ 18 ปีเท่านั้น รูปกายผอมบาง ผิวพรรณขาวเนียนปราศจากตำหนิ ลักษณะอ่อนแอไม่สามารถฆ่าใครได้

แต่เมื่อการสู้รบเริ่มต้นขึ้น เด็กสาวก็เปลี่ยนไปกลายเป็นคนละคน กระบี่ยักษ์ในมือทั้งสองเล่มตวัดกวัดแกว่งอย่างรุนแรง ตัวคนหมุนวนไม่ต่างจากกงจักรมรณะ คู่ต่อสู้ทุกคนที่อยู่ในระยะสังหาร ถึงจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ก็ไม่สามารถรอดพ้นความตายได้อีก

โดยทั่วไปแล้ว การต่อสู้กับศัตรูที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ คือสิ่งที่เผาผลาญพลังลมปราณเป็นจำนวนมาก เมื่อฆ่าตายได้คนหนึ่งแล้ว ส่วนใหญ่ผู้สังหารก็จะไม่มีพลังเหลือพอไปไล่ฆ่าใครได้อีก แต่แม่ทัพหญิงผู้นี้กลับลงมือสังหารอย่างต่อเนื่อง เจ้าหมาป่าน้ำแข็งซึ่งนางขี่บนแผ่นหลังของมันก็มีความรวดเร็วไม่ต่างจากคมกระบี่ที่สะบัดตัดขวาง นอกจากเด็กสาวจะไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแล้ว นางยังดูคึกคักแจ่มใสมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย…

น่ากลัวเกินไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่ทัพหญิงฝีมือดีเช่นนี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน?

ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยรู้จักนางมาก่อน?

ดูจากระดับพลังในสนามรบแล้ว เด็กสาวต้องมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์เป็นอย่างน้อยแน่นอน

แต่ที่สำคัญก็คือกลยุทธ์การต่อสู้ของหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองมีความแปลกประหลาดพิสดารมากเกินไป

ใครจะไปคิดเลยว่าผู้ที่นำทัพอยู่ด้านหน้าสุดกลับเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้มีฝีมือสูงล้ำ หาใช่นายทหารเลวที่ถูกส่งตัวออกมาเพื่อรับคมกระบี่ของศัตรูไม่?

การวางกลยุทธ์ของกองทัพค่ายผู้อพยพมีความเด็ดขาดและทรงประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง

ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังคิดไม่ออกเลยว่าเพราะเหตุใดอยู่ดี ๆ ศีรษะของแม่ทัพใหญ่หวงเฟิงถึงระเบิดกระจายไปอย่างนั้น

ไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี หรือยอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก บัดนี้พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด การต่อสู้ในครั้งนี้ ถึงกลายเป็นโศกนาฏกรรมของฝ่ายกองทัพประจำนครเจาฮุยไปเสียได้?

เพราะเหตุนี้เองสินะ เด็กหนุ่มหน้าขาวถึงมีจิตใจห้าวหาญ กล้าลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนผู้วิปริต?

นี่คือการตบหน้าเหลียงหยวนเตาฉาดใหญ่

เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของทุกคนก็หันกลับไปจ้องมองที่เสลี่ยงของชายอ้วน

แต่ใบหน้าอุดมไขมันของเหลียงหยวนเตากลับไม่แสดงความตกตะลึงหรือความตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

มีเพียงแสดงออกถึงความผิดหวัง

ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังซากศพเหล่านายทหารที่ตกตายระหว่างการต่อสู้ ยิ่งจ้องมองกองเลือดที่เนืองนองบนพื้นดิน ดวงตาของชายอ้วนก็ทอประกายเศร้าโศกวูบหนึ่ง จมูกของเขาสูดดมฟุดฟิด เมื่อกลิ่นคาวเลือดลอยเข้าสู่โพรงจมูก ดวงตาที่เศร้าโศกของเหลียงหยวนเตาก็กลับมาเป็นประกายระยิบระยับอีกครั้ง

เขายกมือโบกสะบัดโดยไม่ลังเล

แล้วสมาชิกหน่วยอินทรีธูมรณะจำนวนหนึ่งพันคนสุดท้าย ก็ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างพร้อมเพรียงกัน

บรรยากาศปกคลุมด้วยความตึงเครียดอีกครั้ง

ทุกคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้ามองท้องฟ้า และก็พบว่าเมื่อหน่วยอินทรีธูมรณะกลุ่มสุดท้ายชักกระบี่ออกมา เมฆดำก้อนใหญ่ก็เคลื่อนตัวเข้ามาจากท้องฟ้าทิศตะวันตกเฉียงใต้ ปกคลุมดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสว่างไสว ทำให้ท้องฟ้าฤดูหนาวมืดมิดในพริบตา

อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางเงามืดที่แผ่ปกคลุม มือปราบอินทรีธูมรณะทั้ง 1,000 คนโผบินขึ้นไปในอากาศ ไม่ต่างจากนกแร้งออกหาเหยื่อ และเหยื่อของพวกเขาก็คือเหล่านายทหารคนงานขุดเหมือง…

มือปราบอินทรีธูมรณะเหล่านี้สวมใส่หน้ากากนกอินทรี ยามเคลื่อนไหวอยู่ในความเงียบ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีเสียงร้องคำราม มีเพียงเสียงชายเสื้อปะทะแรงลมเท่านั้น

เป็นที่ทราบกันดีทั่วนครเจาฮุยว่าหากครั้งใดเกิดการรวมตัวของมือปราบอินทรีธูมรณะมากมายถึงเพียงนี้ โศกนาฏกรรมของการสังหารหมู่ก็กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

แต่สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว

บรรดายอดฝีมือระดับเจ้าสำนักล้วนมองออกว่ามือปราบของเหลียงหยวนเตาไม่ต่างจาก ‘แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ’ ถึงพวกเขาจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากองทหารคนงานขุดเหมืองมีฝีมือสูงล้ำมากกว่ามือปราบอินทรีธูมรณะมากมายหลายเท่านัก

ดังนั้น การส่งมือปราบหน้ากากอินทรีเหล่านี้ออกมาโจมตี ก็ไม่ต่างจากส่งพวกเขาออกมาตาย

ดูเหมือนเหลียงหยวนเตาจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ

บัดนี้ ชายอ้วนคงไม่ต่างจากนักพนันที่เสียเงินหลายตาติด ๆ กัน เมื่อเหลือเงินติดตัวก้อนสุดท้าย เขาก็ได้แต่ทุ่มแทงเงินลงไปหมดหน้าตักด้วยความหมดหวัง

ณ ยอดต้นไม้ใจกลางค่ายที่พัก

หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

ทำไมมือปราบอินทรีธูมรณะเหล่านี้ต้องรนหาที่ตายด้วยนะ?

เด็กหนุ่มได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ

เหลียงหยวนเตาควรทราบดีจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ว่า มือปราบอินทรีธูมรณะของตนเองไม่สามารถสู้กับขุมกำลังผู้อพยพได้เลย

ถึงจะสู้กันอีกสักกี่ครั้ง ผลลัพธ์ก็คงเป็นเช่นเดิม

เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ชายอ้วนจะมองไม่ออก ขนาดกองทัพใหญ่ประจำนครเจาฮุยกว่า 30,000 คนยังพ่ายแพ้ราบคาบ แล้วมือปราบหน้ากากอินทรีเพียง 1,000 คนจะสามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบได้อย่างไร

เพราะเหตุใดเหลียงหยวนเตาถึงต้องส่งลูกน้องของตนเองออกมาตายด้วย?

ฉับพลันนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง

เขาตะโกนเสียงดังว่า “พวกเราถอยทัพ ถอนกำลังกลับมาเร็วเข้า!”

ทำไมถึงสั่งให้ทุกคนถอยทัพถอนกำลังกลับมา?

หลินเป่ยเฉินเองก็ไม่รู้

แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าจะปล่อยให้ทุกคนยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เด็ดขาด

โชคดีที่หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองและผู้อพยพส่วนหนึ่งที่เข้าร่วมการต่อสู้ในวันนี้ เมื่อได้ยินเสียงของคุณชายหลิน พวกเขาก็รีบถอนกำลังกลับเข้ามาในค่ายผู้อพยพด้วยความเชื่อฟัง มีเพียงขุมกำลังยอดฝีมืออย่างพวกของเฉียนเหมยเท่านั้นที่อยู่รั้งท้ายคอยระวังหลังให้แก่ทุกคน

แม้แต่กลุ่มนายทหารที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจับตัวเชลยศึก ก็ยังรีบวิ่งหนีกลับเข้ามาหลบอยู่หลังม่านพลังประจำค่ายผู้อพยพแล้ว

ลมหายใจต่อมา…

ตู้ม!

ตู้ม!

ตู้ม!

สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดพลันอุบัติขึ้น