หวังเป่าเล่ออึ้งไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะทบทวนแต่ละฉากของความทรงจำก่อนหน้านี้อย่างไร เขาก็ไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์หรือศิษย์พี่ชายหญิง คำพูดและพฤติกรรมล้วนเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เขายากที่จะแยกแยะจริงเท็จได้
แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำกล่าวของแม่นางน้อยที่ว่าอาจารย์ตนเจ้าคิดเจ้าแค้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้รับโทษเพราะคำพูดของตนก่อนหน้านี้ และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าบางทีนี่อาจเป็นธรรมเนียมจริงๆ…
สรุปแล้วตอนนี้ในใจเขารู้สึกสับสนมาก หากไม่มีคำพูดเหล่านั้นของแม่นางน้อยก็อาจไม่เป็นไร แต่พอมีคำพูดเหล่านั้น เขาก็ไม่อาจแยกแยะได้ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหนักใจ
“พอแล้วๆ หากข้ายังลังเลเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะมีเรื่องวุ่นวายกว่านี้ เช่นนี้ข้าก็จะนับศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหมดเป็นอาจารย์ เต่าทองเพลิงกับวัวแก่ตรงหน้านี้ก็เป็นเช่นเดียว” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็กัดฟันกรอด เขาตัดสินใจแล้วแล้วก็มองไปที่วัวแก่ร่างใหญ่โต และเขาก็เกิดความคิดที่ต่างออกไป
“ถือว่าวัวแก่ตรงหน้านี้เป็นท่านอาจารย์ เป็นเพราะท่านอาจารย์ได้ยินที่ข้าพูดจึงลงโทษให้ข้ามาอาบน้ำให้เขา” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มใส่ใจ เขาเหาะไปข้างร่างมหึมาของวัวแก่ แล้วเริ่มล้างจากกีบของมันขึ้นมา
“ไม่เลว เจ้าสิบหกน้อย ล้างเล็บให้ข้าด้วย”
“แรงน้อยไปหน่อยนะ เจ้าสิบหก ออกแรงหน่อย”
“ใช่แล้ว อย่างนี้ถึงจะสบายหน่อย”
ด้วยความพยายามในการทำความสะอาดของหวังเป่าเล่อ เสียงของผู้เฒ่าวัวก็สะท้อนความรู้สึกสบายไม่หยุด ขณะที่มือกำลังทำงาน ปากของเขาก็ไม่ได้ว่างเว้น พูดคำเยินยอได้ไม่ซ้ำ
ภายใต้คำเยินยออย่างไม่หยุดของหวังเป่าเล่อ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน ในช่วงครึ่งเดือนนี้ หวังเป่าเล่อทำงานหนักมาก และในทุกวันก็มีเวลาพักผ่อนน้อยนัก พลังส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับร่างวัวเฒ่า ทำให้วัวเฒ่าสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ
ในระหว่างเวลานั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็เคยมาอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากพบหน้าหวังเป่าเล่อและวัวเฒ่า เขาก็กลายเป็นสายรุ้งสายยาวแล้วออกจากดาราจักรไฟไป บอกว่าจะออกไปรำลึกความหลังกับเพื่อนเก่า
หลังจากที่ปรมาจารย์แห่งไฟจากไป วัวเฒ่าก็จะถามเป็นครั้งคราวราวกับจะเป็นการหยั่งเชิง
“เจ้าสิบหก แม้อาจารย์ของเจ้าให้เจ้าสรงน้ำให้ข้าผู้เฒ่าวัว แต่ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว อันที่จริงข้าวัวเฒ่าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำความสะอาดทั้งหมด”
“ท่านวัวอาวุโสท่านผิดแล้ว อยู่ในใจข้าอาจารย์ก็เป็นราวบิดา ข้าพร้อมจะปฏิบัติตามคำพูดของท่านผู้อาวุโสอย่างไม่ลังเลเลย ให้ข้าทำความสะอาดทั่วร่างท่านเถอะ ข้าย่อมไม่ยอมให้มีการตกหล่นไปแม้แต่น้อย” หวังเป่าเล่อพูดอย่างจริงจังหนักแน่น
“อย่าได้กล่าวเท็จเลย อาจารย์ของเจ้าไม่อยู่ที่ดาราจักรไฟ เขาออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ได้ยินหรอก” วัวเฒ่าหัวเราะขึ้นมา ทำท่าราวกับเข้าใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็กะพริบตาปริบๆ และแสดงความเคารพในทันที
“ท่านวัวอาวุโสท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว คำสั่งของอาจารย์และธรรมเนียมของดาราจักรไฟของข้าเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่ง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือข้ารู้ว่าผู้อาวุโสที่เป็นพาหนะให้ท่านอาจารย์มาหลายปี ทุ่มเทและภักดีต่อท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยู่ก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในดาราจักรไฟแล้วย่อมต้องกตัญญูต่อท่าน”
“มาเถอะ ท่านวัวอาวุโสท่านอย่าเพิ่งขยับ ตรงนี้มีเห็บอยู่ ให้ข้าได้จัดการเจ้าเห็บนี่ที่กล้ามากัดท่านวัวอาวุโสของข้าได้ ข้ากับมันอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว”
“ท่านวัวอาวุโส ยกเท้าขึ้นด้วย…ข้าจะล้างฝ่าเท้าให้ท่าน”
เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าวัวก็มีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลานี้เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นหลายครั้ง ขณะเดียวกันมันก็เปลี่ยนวิธีการทดสอบวังเป่าเล่อไปต่างๆ ไม่หยุด แต่ด้วยความตั้งใจของหวังเป่าเล่อ แต่ละครั้งคำพูดที่ตอบกลับมาล้วนจริงใจ แทบจะทุกประโยคแสดงถึงความเคารพที่มีต่ออาจารย์
อีกอย่างนอกจากผู้เฒ่าวัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สิบห้าก็ดี ยังมีศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นแวะเวียนกันมาเป็นครั้งคราว แต่ละครั้งที่มาไม่ว่าพวกเขาจะพูดเช่นไร คำตอบของหวังเป่าเล่อล้วนแฝงด้วยความเคารพรักต่ออาจารย์ จนทำให้ศิษย์สิบห้าแทบจะอาเจียนอยู่หลายครั้ง แต่หวังเป่าเล่อยังคงสรรเสริญเยินยออย่างไม่ลดละ
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในหนึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่ออาศัยอยู่บนร่างวัวเฒ่า นอกจากอาบน้ำให้เขาแล้ว พลังส่วนหนึ่งก็ใช้ไปกับการศึกษาเวทผนึกดาราที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้
เวทผนึกดารานี้ประหลาดมาก ความเขลาในตอนต้นของเขาค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นไปตามความเข้าใจที่มากขึ้นตาม และยังมีการชี้แนะจากวัวเฒ่า สุดท้ายหลังจากที่เขาศึกษาเวทผนึกดาราจนถ่องแท้ทั้งหมดแล้ว วิชานี้ก็เป็นดังคลื่นลูกใหญ่ภายในใจเขา
อันที่จริงเวทผนึกดารานี้ หากใช้คำว่าลึกจนยากแท้หยั่งถึงก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
หลักการง่ายๆ ของมันก็คือผนึกกับดัก!
วิชาทั้งหมดแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ซึ่งจะแบ่งตามดาวพระเคราะห์ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย รวมทั้งชั้นมหาวัฏจักร ระดับหนึ่งในดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเรียกว่าทักษะผนึกสะเก็ดดาว โดยรวมคือการผนึกสะเก็ดดาวและสะเก็ดดาวจำนวนมากมาสร้างผนึก ก่อเป็นภาพลวงตามแต่จินตนาการ
ภาพลวงตานี้สามารถเป็นได้ทุกสิ่ง แต่เมื่อกำหนดแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนได้อีก ในขณะเดียวกันยิ่งเสมือนจริงมากพลังของมันก็ยิ่งมาก และหากมีสะเก็ดดาวที่ก่อเป็นภาพลวงตานี้มากเท่าไรพลังก็จะมากตามไปด้วยเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงพัวพันไปถึงปัญหาสองข้อ ข้อแรกคือจำเป็นต้องผนึกสะเก็ดดาวจำนวนมาก อีกข้อก็คือ…ต้องเลือกภาพลวงตาที่จะสร้าง และต้องเลือกสิ่งที่ตนเองเข้าใจมากที่สุด ดังนั้นขณะที่อยู่ในขั้นตอนอาบร่างวัวเฒ่า ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่หวังเป่าเล่อ…จะเลือกร่างของวัวเฒ่าเป็นร่างที่ก่อขึ้นด้วยทักษะผนึกสะเก็ดดาวของตน
อย่างไรก็ตามระดับความเข้าใจของเขาก็เพิ่มขึ้นไปตามการอาบร่างทั่วทุกตารางนิ้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ระดับความเสมือนจริงของภาพลวงตาที่ก่อขึ้นก็ย่อมไปถึงขีดสุดโดยปริยาย
ดังนั้นสิ่งนี้จึงกลายเป็นแรงจูงใจของหวังเป่าเล่อ เขาจะไม่ทำงานหนักในการทำความสะอาดและอาบน้ำให้วัวเฒ่าได้อย่างไร… ในเมื่อเวทผนึกดารานี้ส่งเสริมให้พลังระดับสองของดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแข็งแกร่งขึ้น
มันไม่ใช่การผนึกสะเก็ดดาวอีกต่อไป แต่เป็นการผนึกดาวเคราะห์ทั่วไปในดาวพระเคราะห์ โดยใช้ดวงดาวก่อเป็นภาพลวงตาของเทพวัว ตามการคาดการณ์ของหวังเป่าเล่อ เรียกได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวทีเดียว!
ส่วนระดับที่สามดูเหมือนจะต่างกันเล็กน้อย มันเป็นการผนึกดาราสองประเภท ดาราวิญญาณและดาราอมตะ ซึ่งก่อตัวเป็นเงาของเทพวัวแต่พลังต่างกันมากนัก ตามคำอธิบายของเคล็ดวิชาก็คือหากสามารถดึงดาราวิญญาณและดาราอมตะมาได้ เช่นนั้นแม้ต้องเผชิญกับดาวพระเคราะห์ขั้นสูงก็สามารถต่อสู้และพิชิตได้อย่างเท่าเทียมกัน!
ก่อนหน้านั้นในเชิงปฏิบัติก็ได้อธิบายถึงขีดจำกัดของวิธีนี้ไว้ ซึ่งก็คือการผนึกดาวเคราะห์อมตะ แต่ดวงดาวพิเศษนั้นไม่สามารถผนึกได้ แต่เมื่อได้วัวเฒ่าชี้แนะ บอกกับหวังเป่าเล่อว่าตามการคำนวณของมันนั้น ด้วยความชำนาญของหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์เต๋าที่มี เมื่อฝึกวิชานี้ก็อาจสามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดไปถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนได้
หวังเป่าเล่อเได้หลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋า ดังนั้นสภาพกายจึงแตกต่างจากผู้ฝึกตนทั่วไป
นี่ยังไม่หมด วิชาระดับที่สี่ของเวทผนึกดาราเป็นการชี้ทางในการเลื่อนสู่ระดับดารานิรันดร์ หากฝึกไปตามเคล็ดวิชาผนึกดาวนี้ทีละขั้น การเลื่อนระดับจากดาวพระเคราะห์สู่ดารานิรันดร์ก็จะยิ่งง่ายขึ้น
และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนกที่สุดก็คือวิชานี้อาจดูเหมือนมีเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นทักษะวิชาแห่งเทพของระดับดาวพระเคราะห์ แต่ตามที่เขาคาดการณ์แล้ว ดวงดาวที่ใช้ก่อร่างเทพวัวยังสามารถใช้ดารานิรันดร์แทนได้ด้วย…
เมื่อนึกถึงภาพลวงตาเทพวัวที่ก่อขึ้นจากดารานิรันดร์จำนวนมาก ระดับความน่าสะพรึงของมัน แม้จะมีความแตกต่างจากวัวเฒ่าตัวจริงอยู่ แต่ขอเพียงมีดารานิรันดร์ที่เพียงพอก็จะแตกต่างกันไม่มาก หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก
และเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความตั้งใจของปรมาจารย์แห่งไฟที่ให้เขามาสรงน้ำให้เทพวัว ว่าแท้จริงมีความนัยที่ลึกซึ้งแฝงอยู่
ไม่ว่าเทพวัวที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นร่างอวตารของอาจารย์หรือไม่ก็ตาม ความหมายของอาจารย์ก็ชัดเจนแล้ว กล่าวคือในระหว่างที่อาบน้ำให้เทพวัว ตัวหวังเป่าเล่อเองก็จะได้พินิจพิเคราะห์ ทำความคุ้นเคยไปถึงขนและผมแต่ละเส้นของเทพวัว และเมื่อเขาใช้ความชำนาญนี้ฝึกเวทผนึกดารา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะทำให้เขาฝึกได้อย่างราบรื่นขึ้น แลพลังก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรเสีย วัวเฒ่าเองก็เป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ
และผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้หนึ่งก็ปล่อยกายและใจให้เขาได้เข้าใจ โอกาสและโชคเช่นนี้โดยพื้นฐานแล้วหาได้ยากนัก แม้แต่พวกสำนักใหญ่ตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็ยากที่จะให้ศิษย์หรือคนในตระกูลทำได้ถึงระดับนี้
ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือน แม้หวังเป่าเล่อจะไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกตน แต่ในด้านเวทผนึกดารากลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว กล่าวเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป
………………………………