หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1159 หอสอง

แท่นดอกบัวสีแดงเข้มวางอยู่ในส่วนลึกของโถงเสียหาย

ซึ่งยังคงเปล่งประกายแวววาวอ่อนโยนดูแปลกตามาก

แต่สายตาของมู่เฉินไม่ได้จดจ่อที่แท่นนั้น แต่จับจ้องไปที่ดอกไม้สีดำน่าหลงใหล

ดอกไม้มีขนาดประมาณสิบกว่าจั้ง ปกคลุมไปด้วยลวดลายโบราณ ทุกกลีบใบดูราวกับเกิดมาจากฟ้าดินที่สมบูรณ์แบบ

ทว่าเมื่อมองเข้าไปให้ชัดเจนก็จะรู้ว่าไม่ได้สมบูรณ์แบบ ดอกตูมอ่อนข้างลำต้นแตกออกไป ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ

มู่เฉินคิดว่าสิ่งนี้คงต้องเกิดขึ้นตอนที่มั่นถัวหลัวได้รับบาดเจ็บสาหัส นางแยกดอกตูมอ่อนออก ผนึกร่างหลักไว้เพื่อหลบหนีออกไปจากวังสวรรค์บรรพกาลและรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้

เวลานี้ดอกไม้ตั้งอยู่เงียบๆ บนแท่นดอกบัวราวกับว่าอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ แต่มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนน่าสะพรึงกลัวที่มาจากดอกไม้ราวกับว่าลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งทำให้เขาต้องแอบเดาะลิ้น

หลังจากถอนหายใจ มู่เฉินก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา ไม่คิดว่าจะได้พบร่างหลักของมั่นถัวหลัวก่อนจะได้เข้าไปในหอคัมภีร์เทพซ่อน

แต่มู่เฉินก็สงบใจตัวเอง จากนั้นก็สังเกตโถงจำภูมิทัศน์เพื่อที่จะได้จดรายละเอียดภัยคุกคามทั้งหมดที่อยู่รอบๆ

โถงเงียบสงบเต็มไปด้วยกระดูกสีขาวน่าขนลุกและร่องรอยการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการสู้รบรุนแรงขึ้นที่นี่

ทั้งห้องเงียบสงบ แต่มู่เฉินรู้สึกได้ถึงอันตรายภายใต้ความเงียบ

มู่เฉินหรี่ตาลงมองไปรอบๆ ก่อนดวงตาจะหดเกร็งหลังจากสิบลมหายใจสั้นๆ สายตาของเขาพุ่งตรงไปที่กองโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสารอบห้องโถง

มีโครงกระดูกจำนวนมากมายนอนอยู่รอบๆ แต่หลังจากที่มู่เฉินตรวจสอบก็รู้ว่าโครงกระดูกที่อยู่ใต้เสาเหล่านั้นไม่ได้นอนแบบระเกะระกะ พวกมันมีท่านั่ง แม้ว่าจะไม่มีความผันผวนใดๆ มาจากพวกมัน แต่มู่เฉินก็ยังคงรู้สึกถึงอันตรายเลือนราง

นอกจากนี้แม้ตำแหน่งจะดูซับซ้อน แต่กลับวางไว้อย่างคลุมเครือในรูปแบบค่ายกล ถ้ามู่เฉินเดาถูกน่าจะมีค่ายกลที่สร้างขึ้นจากโครงกระดูกเหล่านั้น

ซึ่งต้องเป็นค่ายกลที่น่ากลัวอย่างแน่นอน

สายตาของมู่เฉินวูบไหว ก่อนหน้ามั่นถัวหลัวเคยบอกว่านางถูกลู่หย่วนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ถ้าอีกฝ่ายต้องการฆ่าก็จะจัดการให้สิ้นซาก ดังนั้นสถานที่ที่นางเลือกผนึกรักษาตัวเองจะต้องมีพลังเพื่อปกป้องด้วย

ถ้าเขาเดาไม่ผิดค่ายกลที่ประกอบขึ้นจากโครงกระดูกน่าจะเป็นความหวังอย่างหนึ่งของมั่นถัวหลัว ทว่านี่ก็ทำให้มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่นเนื่องค่ายกลขัดขวางเส้นทางของเขาเต็มๆ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าเขาเข้าไปในโถงจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต

“นี่เป็นปัญหาตอนนี้” ตามการคาดการณ์แม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะร่วมมือกัน พวกนางก็ไม่สามารถผ่านและนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาได้

มู่เฉินรู้สึกปวดหัวจี๊ด นี่ยังไม่ใช่สุสานจักรพรรดิฟ้า ดังนั้นเขาจะยังให้มั่นถัวหลัวเข้ามาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นมิติระเบิดแน่

“ข้าต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกเพื่อให้ประสบความสำเร็จ” มู่เฉินหรี่ตาครู่ต่อมาหัวใจก็สั่นสะท้านก่อนที่แสงแปลกประหลาดจะวาบขึ้นในดวงตา

ความช่วยเหลือจากภายนอก… มู่เฉินกำมือป้ายโบราณก็ปรากฏขึ้นนี่เป็นป้ายของจอมพลสองที่เขาได้จากงานประมูล!

ซึ่งเป็นป้ายกองทัพสังหารวิญญาณของจอมพลสอง!

มู่เฉินมองไปที่ป้ายกองทัพหัวใจก็กระโจนขึ้น มั่นถัวหลัวบอกว่ากองทัพสังหารวิญญาณสิ้นชีพลงหลังจากที่สังหารนักรบปีศาจระดับตี้จื้อจุนจำนวนมาก แต่จอมพลสองจะต้องรักษาพวกเขาเอาไว้บางส่วนด้วยวิธีพิเศษ

หากเขาสามารถใช้ป้ายกองทัพนี้สั่งการกองทัพสังหารวิญญาณ การผ่านห้องโถงนี้เพื่อนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาก็อาจใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้มู่เฉินยังมีความคิดลึกซึ้งลงไปอีก นี่อาจเป็นโอกาสสำหรับเขา

โอกาสในการแสดงให้หอคัมภีร์เทพซ่อนได้เห็น

แววตามู่เฉินพราวระยับ เขาพบร่างหลักของมั่นถัวหลัวจากภาพที่วาบผ่านไปซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

มู่เฉินเชื่อว่านี่อาจเป็นการสร้างขึ้นโดยหอคัมภีร์เทพซ่อนก็เป็นได้

นั่นเป็นเพราะหอคัมภีร์เทพซ่อนต้องการดูผลงานของเขา ดูว่าเขาจะสามารถนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกไปได้สำเร็จหรือไม่

หากเขาทำสำเร็จอาจได้รับการตอบรับเพื่อเข้าสู่หอคัมภีร์เทพซ่อนก็ได้

แน่นอนว่าถ้าเขาล้มเหลวก็จะสูญเสียทั้งร่างหลักของมั่นถัวหลัวและวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะ

ซึ่งนี่เป็นการระเบิดครั้งใหญ่สำหรับเขา

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็กลายเป็นเคร่งเครียด หากเขาสูญเสียวิธีวิวัฒนาการร่างเทพสุริยะก็จะทำให้เกิดการหยุดชะงักและสูญเสียความได้เปรียบในอนาคตและการสูญเสียร่างหลักของมั่นถัวหลัวก็หมายความว่าฮ่องเต้เซี่ยจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

ด้วยพลังในปัจจุบันของมั่นถัวหลัว นางสามารถหยุดฮ่องเต้เซี่ยไว้ได้เพียงคนเดียว แต่ยังมีลู่หย่วนประมุขตำหนักเทพปีศาจ ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตของมั่นถัวหลัว

ดังนั้นเขาจะล้มเหลวไม่ได้!

มู่เฉินกำหมัดแน่น ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง จากนั้นเขาก็มองไปที่โถงโบราณซึ่งน่าจะเป็นที่ตั้งของหอหนึ่ง

เนื่องจากบนเสาหินทั้งหลายต่างสลักคำว่าหนึ่งไว้

“ไปหาหอจอมพลสองเพื่อรับกองทัพสังหารวิญญาณด้วยป้ายกองทัพ”

ทันทีที่มีความคิดเช่นนี้ มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนรุนแรงของพื้นที่รอบตัว ไม่กี่อึดใจทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป

สิ่งที่ปรากฏคือขอบฟ้าที่ปกคลุมไปด้วยหมอก มู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขาขนาดใหญ่

ยอดเขาเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโอ่อ่าพร้อมด้วยหอสูงตระหง่านซึ่งปล่อยกลิ่นอายโบราณทำให้ทั่วฟ้าดินปกคลุมด้วยรัศมีเก่าแก่

มู่เฉินสามารถมองเห็นหอที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งพันจั้ง ทำให้ผู้คนถูกมองว่าเป็นมดที่เบื้องหน้า

ด้านบนสูงสุดของหอก็ปรากฏกระดานซึ่งมีคำอันทรงเกียรติ ‘หอสองฟ้า’

ป้ายเอิบอาบด้วยเกลียวแสงสีทองคลุมเครือพร้อมด้วยพลังไร้ขอบเขตพวยพุ่งทำให้แม้แต่มิติยังผันผวน

“นี่คือหอสองฟ้าเรอะ” มู่เฉินมองไปที่หอโบราณก็ไม่สามารถกลั้นยิ้มได้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ลังเลกลายเป็นร่างแสงมุ่งหน้าไปยังหอเบื้องหน้า

แน่นอนว่าขณะเดินทางไวมู่เฉินก็กระจายประสาทสัมผัสออกไปเพื่อมองหากับดักที่อยู่รอบๆ

แต่โชคดีที่ครั้งนี้ราบรื่นสำหรับเขา ราวกับว่ากับดักทั้งหมดถูกทำลายจากการต่อสู้ครั้งใหญ่

ไม่กี่นาทีต่อมามู่เฉินก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าหอโบราณ เขาตรวจสอบอย่างระเอียดก็พบว่าประตูสัมฤทธิ์เขียวปิดด้วยผนึกที่ไม่สามารถเปิดได้ด้วยพละกำลังที่เขามีตอนนี้

มู่เฉินขมวดคิ้วชั่วครู่ต่อมาสายตาก็ปะทะไปที่กระดานบนประตู ป้ายมังกรทองคำปรากฏขึ้นในมือเขา

ป้ายเปล่งประกายแสงสีทองก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในกระดาน มีร่องรอยแสงส่องลงมาที่ประตูปิดสนิท

แกร็ก

ในที่สุดประตูสัมฤทธิ์เขียวก็เปิดออกอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นฉากนี้มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาคลึงป้ายมังกรทองคำในมือพลางถอนหายใจ ในวังสวรรค์บรรพกาล ป้ายประจำตัวมีความสำคัญแท้จริง ซึ่งจำเป็นมากไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม

ขณะที่ประตูสัมฤทธิ์เขียวเคลื่อนตัวเปิด รัศมีรกร้างก็พวยพุ่งออกมา มู่เฉินเหมือนจะได้ยินเสียงสังหารหมู่ที่มาจากประตูบานนั้น

เมื่อประตูเปิดออกอย่างสมบูรณ์มู่เฉินก็ฟื้นสติ เขาลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวเข้าไปในโถงของหอสองฟ้า

ห้องโถงใหญ่โตมโหฬาร แต่ขณะนี้สถานที่ที่เคยโอ่อ่าดูยุ่งเหยิงไปด้วยร่องรอยการต่อสู้ที่กรีดผ่านไว้โดยรอบ

ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาดวงตาก็จดจ่อไปที่ปลายโถงพร้อมกับแววตกตะลึงกะพริบวูบวาบในดวงตา

เขาเห็นบัลลังก์สีทองที่มีภาพเงาในชุดสีม่วงยืนอยู่เบื้องหน้าบัลลังก์เปล่งรัศมีครอบงำพร้อมกับพลังอันน่าสะพรึงกลัว ปราบปรามกระทั่งสวรรค์และโลก

แรงกดดันที่พัดเข้ามาทำให้ปฏิกิริยามู่เฉินเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากเขาตระหนักได้ว่าร่างเงาชุดสีม่วงไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นร่างที่มีอยู่จริง!

นอกจากจอมพลสองแล้ว ใครกันจะมีแรงกดดันแบบนี้อีก!

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจก็คือยังมีร่องรอยของพลังชีวิตที่มาจากร่างเงานั้น!

หรือว่าจอมพลสองยังไม่ตาย?!