บทที่ 487.1 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นครปี้ฮว่ากินอาณาบริเวณเท่ากับขนาดของเมืองหงจู๋ เพียงแต่ว่าตรอกซอกซอยค่อนข้างจะระเกะระกะ ความกว้างความแคบไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ล้วนเอียงลาด อีกทั้งยังมีจวนหรือหอสูงน้อย นอกจากร้านค้ามากมายที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แล้ว ยังมีร้านผ้าห่อบุญอีกเป็นจำนวนมากที่ตั้งแผงลอยเอาไว้ เสียงเรียกลูกค้าดังขึ้นๆ ลงๆ แทบไม่ต่างจากเสียงไก่ขันหมาเห่าในหมู่บ้านชนบท แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นก็คือพ่อค้าหาบเร่ที่เงียบงัน พวกเขาจะนั่งยองอยู่ข้างทาง ห่อไหล่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่สนใจคนที่เดินอยู่บนถนน อยากดูก็ดู อยากซื้อก็ซื้อ

เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนครปี้ฮว่า มีคำบอกเล่าที่แตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกวาดไว้บนผนังที่มีความงามเลิศล้ำในแบบที่แตกต่างกันออกไป สำนักพีหมาที่มาเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่เปิดขุนเขาตั้งสำนักก็ยิ่งเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาที่เดินตามกระแสคนจำนวนมากที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของที่แห่งนี้มานานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผนังแถบหนึ่ง ผนังภูเขาสูงสิบกว่าจั้ง ภาพวาดเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจ เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเงยหน้ามองตามทุกคน เนื้อหาในภาพวาดฝาผนังนี้ก็คือเรือนกายของเทพหญิงรูปร่างอรชรที่ยืนหันข้างคล้ายกำลังเดินไปข้างหน้า ท่วงท่าสีหน้าของนางมีชีวิตชีวา ใต้เฝ้าเท้ามีก้อนเมฆมงคลผุดรับ ตรงเอวรัดจานฝนหมึกชิ้นหนึ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในปัจจุบันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นแสงหรือปราณวิญญาณที่อยู่ในภาพวาดฝาผนัง เห็นเพียงว่าสายตาของเทพหญิงมีประกายไหลวนทำให้ดูเหมือนคนที่มีชีวิตจริง

เทพหญิงบนฝาผนังภาพนี้ถูกคนรุ่นหลังตั้งชื่อให้ว่า ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ สีสันใช้สีเขียวเข้มเป็นหลัก แต่ก็มีการไล่สีแต้มขอบทองอย่างพอเหมาะพอเจาะ ประหนึ่งการวาดมังกรแต้มนัยน์ตา เป็นเหตุให้ภาพฝาผนังหนาหนักแต่ไม่ขาดกลิ่นอายความเป็นเซียน มองปราดๆ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมองอักษรแบบหวัดในตำรา มองดูเหมือนตวัดพู่กันเรียบง่าย แต่หากเพ่งมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรอยยับของเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเส้นลายบนผิวพรรณ แม้กระทั่งขนตาก็ล้วนละเอียดเป็นพิเศษ ประหนึ่งใช้อักษรบรรจงแบบตัวเล็กคัดคัมภีร์ แต่ละพู่กันที่ตวัดสอดคล้องกับกฎเกณฑ์

ดูท่าแล้วคนที่วาดจะต้องเป็นจิตรกรมือหนึ่งที่ฝีมือสุดยอดเลิศล้ำคนหนึ่งอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันเข้าใจภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนข้างกาย เขาจึงฟังออกแค่คร่าวๆ ภาพวาดบนฝาผนังแปดภาพในเมืองใต้ดินแห่งนี้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาได้ถูกคนมีวาสนาของแต่ละยุคแต่ละสมัยทยอยกันดึงเอาโชควาสนาห้าส่วนที่มาจากเจตนารมณ์สวรรค์ไปแล้ว อีกทั้งเมื่อเทพหญิงทั้งห้าท่านเดินออกมาจากภาพวาด เลือกเจ้านายเพื่อให้การปรนนิบัติรับใช้แล้ว สีสันบนภาพวาดก็จะจางหายไปในเสี้ยววินาที ลวดลายของภาพยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไปเหมือนการวาดลายเส้นบนกระดาษขาวเท่านั้น ไม่ได้มีสีสันสดใสสะดุดตาอีกต่อไป อีกทั้งปราณวิญญาณยังไหลหายไปด้วย ดังนั้นภาพบนฝาผนังทั้งห้าจึงถูกสำนักพีหมาเชื้อเชิญบรรพบุรุษของสำนักที่มีอักษรจงในชื่อจากหลิวเสียทวีปซึ่งสนิทสนมกันมานานท่านหนึ่ง ให้มาใช้วิชาลับเฉพาะร่ายปิดภาพวาดเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ภาพฝาผนังที่สูญเสียการประคับประคองจากปราณวิญญาณถูกกาลเวลากัดเซาะให้สูญสลายไป

นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อชมความงามล่มเมืองของเทพหญิง แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ดูด้วย เพราะถ้าไม่ดูก็ถือว่ามาเสียเที่ยว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ภาพวาดฝาผนังเท่านั้น ดูไปแล้วจะยังเป็นอย่างไรได้อีก

เพียงแต่ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันอยู่ที่จานฝนหมึกโบราณขนาดเล็กที่สตรีห้อยไว้ตรงเอวมากกว่า เขาพอจะมองเห็นตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ที่สลักเอาไว้ได้อย่างเลือนราง การที่เขาอ่านออกต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ในตำราเล่มนั้นมีตัวอักษรฉงเหนี่ยว (ตัวอักษรนกและแมลง คือตัวอักษรโบราณชนิดหนึ่งของจีน รูปแบบของตัวอักษรคล้ายภาพนกและแมลง) อยู่มาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวอักษรประเภทนี้ได้หายสาบสูญไปจากใต้หล้าไพศาลนานแล้ว

บริเวณใกล้เคียงกับผนังแถบนี้มีร้านค้าร้านหนึ่งเปิดอยู่ ซึ่งขายสำเนาคัดลอกของภาพเทพหญิงนี้ไว้โดยเฉพาะ ราคาไม่เท่ากัน หนึ่งในนั้นคือสมุดกระดาษไขที่ใช้การเขียนแบบสองตะขอเติมเต็ม (ซวงโกวคว่อเถียนคือเทคนิคการวาดภาพและเขียนพู่กันของจีนอย่างหนึ่ง คือการใช้เส้นตวัดปลายงอเป็นตะขอในวาดเค้าโครงของวัตถุ เนื่องจากจะใช้เส้นสองเส้นที่อาจจะซ้ายกับขวา หรือบนกับล่างประกบกันจึงเรียกว่าซวงโกวหรือสองตะขอ และการเติมหมึกในช่องวางของเส้นที่วาดร่างเอาไว้ก็เรียกว่าคว่อเถียน) ที่มีราคาแพงที่สุด ภาพหนึ่งที่มีขนาดเท่าพัดก็กล้าตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่เฉินผิงอันก็เห็นว่าสำเนาภาพนี้วาดได้งดงามอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่รูปร่างเหมือนภาพบนฝาผนัง ยังมีความเหมือนทางจิตวิญญาณอีกสองสามส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อมาสองภาพ คิดว่าในอนาคตตนจะเก็บไว้ภาพหนึ่งและมอบให้จูเหลี่ยนภาพหนึ่ง

จูเหลี่ยนเคยบอกว่า เรื่องของการเก็บของสะสมนั้นมีข้อต้องห้ามใหญ่หลวงที่สุดก็คือการเก็บปะปนกันมั่วซั่ว

ร้านแห่งนี้มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการ เด็กสาวไม่ค่อยสนใจลูกค้าเท่าใดนัก แต่เด็กหนุ่มกลับคล่องแคล่วว่องไว พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อภาพที่แพงที่สุดในร้านก็เริ่มแนะนำภาพชุดแบบเติมเต็มซึ่งบรรจุภาพวาดของเทพหญิงห้าภาพครบชุดให้แก่แขกผู้มีเกียรติอย่างเฉินผิงอัน สมุดเล่มนี้บรรจุไว้ในกล่องไม้สีแดงสด เด็กหนุ่มบอกว่าลำพังแค่ราคาของกล่องไม้นี้ ต้นทุนก็หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว

เฉินผิงอันเอามือปาดผ่านกล่องไม้เบาๆ เนื้อไม้เนียนเรียบลื่น ปราณวิญญาณบางเบาแต่บริสุทธิ์ น่าจะมาจากภูเขาตระกูลเซียนจริงๆ

เด็กหนุ่มยังบอกอีกว่าภาพเทพหญิงอีกสองภาพที่เหลือหาซื้อที่นี่ไม่ได้ ลูกค้าต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะซื้อจากร้านอื่นได้ ตอนนี้นครปี้ฮว่าเหลือร้านที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของใครของมันอยู่อีกแค่สามร้าน เหล่าพวกผู้อาวุโสได้ร่วมกันตั้งกฎเอาไว้ ไม่อนุญาตให้แย่งกันทำการค้า แต่ภาพทั้งห้าที่ถูกสำนักพีหมาปิดการทำสำเนาคัดลอกเอาไว้แล้วล้วนสามารถหาซื้อได้จากทั้งสามร้าน

เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกว่าขอดูก่อน จากนั้นก็เก็บภาพเทพหญิง ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ แผ่นนั้นกลับไป แล้วจึงเดินออกมาจากร้าน

ส่วนเรื่องโชควาสนาจากเทพหญิงอะไรนั่น เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ

ได้ยินพวกนักท่องเที่ยวพูดคุยกันว่าหากเทพหญิงเดินออกมาจากภาพวาดก็จะปรนนิบัติรับใช้เจ้านายไปชั่วชีวิต ในประวัติศาสตร์คนทั้งห้าในภาพวาดล้วนผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้านายของตัวเอง จากนั้นอย่างน้อยก็สามารถพากันเลื่อนขั้นสู่เซียนดินก่อกำเนิดได้ หนึ่งในนั้นมีบัณฑิตตกอับที่พรสวรรค์การฝึกตนธรรมดาที่พอได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิง ‘ไม้เท้าเซียน’ ไป ก็ฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป เรียกได้ว่าได้กอดสาวงามกลับบ้านอย่างแท้จริง เทพเซียนบนภูเขาก็ได้เป็นแล้ว ชีวิตนี้เดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว

ตอนนั้นเฉินผิงอันฟังจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจของตัวเอง ขาดก็แค่ไม่ได้ยกมือขึ้นพนมเท่านั้น เขาภาวนาในใจเงียบๆ ว่าขอให้ผู้อาวุโสเทพหญิงบนผนังสายตาสูงสักหน่อย อย่าได้ตาบอดมาหมายตาตนเลย

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยือนภาพวาดฝาผนังที่เหลืออีกสองภาพ และยังซื้อสมุดสำเนาเติมเต็มที่แพงที่สุดมา รูปแบบเหมือนกับที่ซื้อจากร้านแรก ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงก็ขายภาพเทพหญิงทั้งห้าครบชุดเหมือนกัน ราคาเหมือนกับที่เด็กหนุ่มคนก่อนหน้านี้บอก นั่นคือหนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ไม่ลดราคาแล้ว ภาพขุนนางหญิงสองภาพที่เหลือนี้แบ่งออกเป็นชื่อ ‘สิงอวี่ (โปรยฝน)’ และ ‘ฉีลู่ (ขี่กวาง)’ ฝ่ายแรกถือถ้วยหยกสีขาวเอียงลงเบื้องล่างเล็กน้อย นักท่องเที่ยวพอจะมองเห็นได้ว่าในถ้วยมีริ้วคลื่นแสงเป็นประกาย และยังมีเจียวหลงตัวหนึ่งส่องแสงสีทองระยิบระยับ ฝ่ายหลังขี่กวางเจ็ดสีตัวหนึ่ง ชุดกระโปรงของเทพหญิงลากสะบัดอยู่ด้านหลัง พลิ้วไหวล่องลอยดุจเซียน เทพหญิงท่านนี้ยังสะพายกระบี่ไม้ไร้ฝักสีเขียวไว้บนหลังอีกหนึ่งเล่ม บนกระบี่สลักสามคำว่า ‘สายลมแห่งความสุข’

เฉินผิงอันเดินปะปนไปกับกระแสผู้คนตลอดทาง ฟังให้มากและมองให้มาก

ระหว่างนี้มีบทสนทนาหนึ่งที่ทำให้คนหลงใหลในทรัพย์สินอย่างเฉินผิงอันรู้สึกสนใจ คิดว่าจะต้องทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญดูสักครั้ง การมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อฝึกกระบี่แล้วก็อาจจะถือโอกาสลองทำการค้าดู ถึงอย่างไรในวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นก็แทบจะว่างโล่งอยู่แล้ว

มีคนที่เดินอยู่บอกว่าภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่าแห่งนี้ เนื่องจากฝีมือการวาดงามวิจิตรอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงที่ผู้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ในทวีปรู้จัก ทางแถบทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปจึงมักจะมีผู้ฝึกตนที่ให้ราคาสูง ค่อนข้างได้รับความนิยมในวงการขุนนางของทางทิศเหนือ ถึงขั้นที่ว่ายังมีเซียนซือตระกูลเศรษฐียินดีจ่ายด้วยเงินห้าเหรียญเงินร้อนน้อยเพื่อซื้อภาพเทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่าครบชุดทั้งแปดภาพ

เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดก็เริ่มรู้สึกว่ามีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก คิดว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็เหมือนมีเงินเหรียญทองแดงพวงหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนที่พอจะมีเงินทุนมีพื้นฐานทางครอบครัวสักหน่อยก็ล้วนสามารถหยิบขึ้นมา ช่วงชิงราคาที่แตกต่างกันได้ เฉินผิงอันจึงมองประเมินนักท่องเที่ยวที่พูดคุยกันอยู่ห่างไปไม่ไกลกลุ่มนั้นให้มากขึ้น มองดูแล้วไม่เหมือนกับพวกหน้าม้าของร้านค้าทั้งสาม เขาจึงขบคิดต่ออีกครั้ง แล้วก็เริ่มจะกระจ่างแจ้ง อาณาเขตของอุตรกุรุทวีปกว้างใหญ่ไพศาล ชายหาดโครงกระดูกตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด เดิมทีการนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนก็เป็นการใช้จ่ายที่ไม่น้อยก้อนหนึ่งอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ภาพเทพหญิงจะขายได้ราคาสูงหรือไม่ก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายชื่นชอบจนรู้สึกว่าต่อให้มีเงินพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้หรือไม่ นี่ค่อนข้างจะขึ้นอยู่กับบุพเพวาสนา ต้องดูที่โชคชะตาไม่มากก็น้อย อีกอย่างก็ต้องดูที่ว่าอัตราการผลิตภาพชุดของทั้งสามร้านเป็นอย่างไร หลายปัจจัยรวมเข้าด้วยกันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีผู้ฝึกตนที่ยินดีจะหากำไรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่ค่อนข้างเปลืองแรงนี้

แน่นอนว่านี่ก็อาจจะเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ทางร้านค้าและสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว ก็แค่คนนอกไม่รู้เท่านั้น

เรื่องของการหาเงินนั้น

เฉินผิงอันเดินทางมาไกลขนาดนี้ ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า ต่งสุ่ยจิ่งแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียน คือคนที่ทำได้ดีที่สุด ไม่พูดถึงซุนเจียซู่ที่มีกิจการใหญ่โตอยู่แล้ว พูดถึงแค่ต่งสุ่ยจิ่งที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรม แต่จู่ๆ กลับ ‘ร่ำรวยขึ้นมากะทันหัน’ ท่าทีในการหาเงินของเขาทำให้เฉินผิงอันรู้สึกนับถือมากที่สุด ทั้งๆ ที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ต่งสุ่ยจิ่งก็ยังไปมาหาสู่กับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างนายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา และยังมีกวนอี้หรานที่กำลังจะไปเยี่ยมเยียนผูกมิตรอีก ทว่าเงินเล็กๆ น้อยๆ จากร้านขายเกี๊ยวน้ำ เขาก็ยังคงไม่ปล่อยทิ้งเปล่า แม้จะบอกว่ากิจการร้านค้าของต่งสุ่ยจิ่งในตอนนี้จะเหมือนการปลูกฝังอารมณ์และความรู้สึกของตระกูลคนรวยในสายตาของคนบางคนมากกว่า แต่ต่งสุ่ยจิ่งก็ยังคงมานะขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย

นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนทำการค้า คือเคล็ดลับทางธุรกิจที่ควรจะมี

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไปหาเถ้าแก่ของทั้งสองร้าน สอบถามว่าจะสามารถซื้อสำเนาภาพวาดรวดเดียวได้กี่มากน้อย จะลดราคาให้ได้หรือไม่ ร้านหนึ่งส่ายหน้าโดยตรง บอกว่าต่อให้เจ้าซื้อสินค้าคงคลังที่มีอยู่ในร้านไปจนหมดก็ลดให้ไม่ได้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว ไม่เหลือพื้นที่ให้ปรึกษากันเลยแม้แต่น้อย อีกร้านหนึ่ง เจ้าของร้านคือหญิงชราหลังค่อม นางยิ้มตาหยีย้อนถามว่าลูกค้าสามารถซื้อชุดภาพเทพธิดาได้กี่ชุด เฉินผิงอันถามว่าในร้านเหลืออีกกี่ชุด หญิงชราบอกว่าสมุดภาพแบบเติมเต็มนั้นเป็นงานละเอียด กว่าสินค้าแต่ละชิ้นจะออกจำหน่ายได้ต้องใช้เวลานานมาก อีกอย่างจิตรกรที่เป็นผู้วาดสมุดภาพนี้ก็เป็นเค่อชิงผู้เฒ่าของสำนักพีหมามาโดยตลอด จิตรกรคนอื่นจึงไม่กล้าวาดแข่งกับเขา เค่อชิงผู้เฒ่าไม่ยินดีจะวาดเพิ่ม หากไม่เป็นเพราะทางฝั่งของสำนักพีหมามีกฎ ตามคำบอกของจิตรกรผู้เฒ่าท่านนี้ ทุกครั้งที่ถูกพวกอันธพาลที่มีความคิดชั่วร้ายในโลกมองหนึ่งครั้ง เขาก็จะเกิดอุปสรรคในการตวัดพู่กันหนึ่งขีด ช่างเป็นเงินที่หามาได้ด้วยความลำบากใจยิ่งนัก จากนั้นหญิงชราก็พูดอย่างตรงไปตรงมาบอกว่า ทางร้านไม่ต้องกังวลเรื่องช่องทางการขายอยู่แล้ว จึงไม่ได้เก็บเอาไว้มากนัก ตอนนี้ในร้านเหลือแค่สามสิบชุดเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องขายหมดอยู่ดี กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงชราก็คลี่ยิ้ม ถามเฉินผิงอันว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากลดราคาก็เท่ากับว่าขาดทุน ใต้หล้ามีคนที่ทำการค้าเช่นนี้ด้วยหรือ?

เฉินผิงอันจนใจ แล้วก็เพราะเห็นแก่ที่หญิงชราพูดจาจริงใจ จึงจ่ายเงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญซื้อกล่องมาหนึ่งชุด ภาพเทพหญิงทั้งห้าในกล่องแบ่งออกเป็นชื่อ ‘ฉางฉิง’ ‘เป่าไก้’ ‘หลิงจือ’ ‘ชุนกวน’ และ ‘จ่านคาน’ เทพหญิงทั้งห้าแบ่งออกเป็นถือโคมดอกบัว ประคองฉัตร ในอ้อมอกกอดหลิงจือหยกขาวสมปรารถนา ร้อยบุปผาล้อมวน นกขมิ้นบินรอบ คนสุดท้ายแตกต่างไปจากคนอื่นเพราะสวมเสื้อเกราะถือขวาน มีสายฟ้าเปล่งวูบวาบ องอาจห้าวหาญมากเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันย้อนกลับมาร้านแรกอีกครั้ง สอบถามจำนวนสมุดภาพที่มีอยู่ในร้านและเรื่องของการลดราคา เด็กหนุ่มมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย แต่เด็กสาวคนนั้นกลับคลี่ยิ้มทันใด ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กแล้วส่ายหน้า คงจะรู้สึกว่าลูกค้าต่างถิ่นผู้นี้หน้าเลือดไปหน่อย จึงง่วนทำงานของตัวเองต่อไป ยามเผชิญหน้ากับลูกค้าที่เข้านอกออกในร้าน ไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็ก นางก็ยังคงไม่มีรอยยิ้มมอบให้

สุดท้ายเด็กหนุ่มค่อนข้างพูดง่าย แล้วก็อาจจะเพราะหน้าบางกว่าหน่อย ทนมองเฉินผิงอันที่ยิ้มมองเขาไม่ไหวจึงแอบพาเฉินผิงอันไปที่ห้องด้านหลังร้าน ขายกล่องไม้ให้เฉินผิงอันสิบชุด และเก็บเงินเกล็ดหิมะเฉินผิงอันน้อยกว่าเดิมสิบเหรียญ

หลังจากคิดเงินเรียบร้อย ตอนที่เฉินผิงอันออกไปจากร้านจึงมีห่อสัมภาระสะพายพาดเอียงๆ ไว้ด้านหลังเพิ่มมาหนึ่งใบ

เด็กสาวใช้ไหล่กระแทกเด็กหนุ่มเบาๆ พูดหยอกว่า “มีใครเขาทำการค้าแบบเจ้าบ้าง ลูกค้าตื๊อเจ้าไม่กี่คำ เจ้าก็พยักหน้าตอบตกลงแล้ว”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ก็ข้าเหมือนท่านปู่ทวดนี่นา อีกอย่างข้าก็แค่มาช่วยเจ้าทำงาน ไม่ได้เป็นคนทำการค้าจริงๆ เสียหน่อย”

เด็กสาวเป็นคนแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมอย่างชัดเจน นางเอ่ยกำชับเขาว่า “ข้าไม่สนหรอกนะ ข้าเห็นกับตาว่าทางร้านขาดเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญ วันหน้าเจ้าไปหาทางชดเชยมาจากท่านปู่ทวดเอาเอง ขอร้องให้เขาเพิ่มภาพวาดให้ร้านข้ามากๆ หน่อย”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ท่านปู่ทวดรักข้าที่สุดแล้ว คนอื่นขอร้องเขาไม่เป็นผล แต่หากเป็นข้า ท่านปู่ทวดดีใจแทบไม่ทันด้วยซ้ำ”

เด็กสาวพลันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้บอกกับลูกค้าหรือไม่ว่า เดินทางอยู่นอกบ้านไม่ควรโอ้อวดทรัพย์สินของตัวเอง ในร้านมีคนเยอะหลายสายตา  เขาสะพายสมุดภาพไปมากขนาดนั้น ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ เลย ช่วงนี้นครปี้ฮว่ามีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ชอบรังแกคนต่างถิ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงแบบไหนก็ทำได้ลง เจ้าไม่ได้เตือนเขาเลยหรือ? ดูจากท่าทางที่เขาต่อรองราคากับเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่ตกลง เขาคงอยากจะมาเป็นลูกจ้างร้านเราเต็มที แถมยังพูดสำเนียงต่างถิ่นเช่นนั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่มีเงินทองมากนัก ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งควรต้องระวังถึงจะถูก”

เด็กสาวทำการค้าด้วยนิสัยยินดีรับคนที่พร้อมจะมาติดกับ มีเพียงเวลาอยู่กับเด็กหนุ่มเท่านั้นที่นางไม่ขี้เหนียวคำพูด คิดดูแล้วคงจะเป็นคนที่หน้าตาเย็นชา แต่ในใจอุ่นร้อนกระมัง

เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง แล้วตบหัวตัวเองหนึ่งที พูดอย่างละอายใจว่า “ข้าลืมไปเลย!”

เด็กสาวถลึงตาใส่ กดเสียงต่ำพูดว่า “แล้วยังไม่รีบตามไปอีก! เจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักพีหมา ใกล้จะต้องลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์แล้ว เหตุใดยังทำอะไรไม่รอบคอบเช่นนี้”

เด็กหนุ่มร้องอ้อหนึ่งที “แล้วร้านค้าจะทำอย่างไรล่ะ?”

เด็กสาวหัวเราะอย่างฉุนๆ “ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าเพิ่งจะลงเขามาช่วยแค่ไม่กี่ครั้ง แค่เจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะเปิดร้านไม่ได้เลยหรือไง?”

เด็กหนุ่มจึงวิ่งห้อออกมาจากร้าน จนกระทั่งหาจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่สวมงอบคนนั้นเจอแล้วก็พูดเรื่องที่ควรระวังให้เขาฟังเบาๆ

—–