“พูดจาเหลวไหล ข้ารักหลานสาวทั้งสองคนเท่ากัน ลำเอียงได้อย่างไร” ได้ยินคำพูดของท่าป๋าหั่นหลิน ทำให้ท่านอ๋องฉีทนไม่ไหวจึงด่าออกมา
“ท่าป๋ารู้ แต่คนข้างนอกไม่รู้ พวกเขาเห็นว่าท่านไม่ยอมให้เย่ว์เอ๋อร์แต่งงานกับข้าเสียที ต้องมีคนคิดเยี่ยงนี้แน่นอนขอรับ” ท่าป๋าหั่นหลินเล่นลิ้นต่อไป
ท่านอ๋องฉีไม่กล่าวตกลงออกมา แต่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เริ่มอ่อนลงว่า “เจ้าลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรลุกขึ้นมาพูดคุยกัน เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้รัฐหนึ่ง คุกเข่าให้ข้า เจ้าอยากให้ข้ารับความผิดนี่หรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินคุกเข่าไม่ขยับแล้วกล่าวว่า “หากวันนี้ท่านไม่ตกลงให้ข้าแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์โดยเร็ว ข้าก็จะไม่ลุกขึ้นมาขอรับ”
ฟังคำพูดที่ขมขู่ของเขาแล้ว ท่านอ๋องฉีโมโหขึ้นมาทันที สะบัดแขนเสื้อ ปล่อยให้เขาอยู่ในห้องโถงรับแขกคนเดียว แล้วเดินก้าวขายาวออกไปทันที “หากไม่ยอมลุกขึ้น เจ้าก็คุกเข่าอยู่ที่นี่จนตายเถิด”
ท่าป๋าหั่นหลินมิได้หันหลัง ได้ยินเสียงม่านสะบัดไปมาและเสียงเท้าของท่านอ๋องฉีที่เดินออกไปไกล มุมปากก็แสดงรอยยิ้มได้ใจออกมาทันที
เดินกลับไปที่ห้องของพระชายาฉีอย่างโมโห แล้วนั่งลงบนเก้าอี้แรงๆ ยื่นมือออกมาเทน้ำชาที่เย็นด้วยตัวเอง เงยหน้าขึ้นแล้วดื่มลงไปจนหมดแก้ว หลังจากนั้นก็วางลงบนโต๊ะอย่างแรงๆ ท่านอ๋องฉีด่าออกมาด้วยความโมโห “เจ้าคนไร้ยางอาย กล้าข่มขู่ข้า คุกเข่าจนตายไปเถิด”
มองสีหน้าของเขา ฟังคำพูดของเขา พระชายาฉีมึนงง กล่าวถามออกมาว่า “ท่านอ๋องฉี ผู้ใดทำให้ท่านโมโหหรือ”
ท่านอ๋องฉีมองนางเล็กน้อย อ้าปากอยากจะเอ่ยออกมา แต่คำพูดที่มาถึงปากก็ถูกกลืนลงไปอีกครั้ง ส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ชุดแต่งงานของเย่ว์เอ๋อร์เป็นเยี่ยงไร”
“ยังไม่เสร็จ อย่างไรก็ไม่รีบ ข้าจึงให้นางค่อยๆ ทำ ทั้งชีวิตผู้หญิงก็มีโอกาสทำชุดแต่งงานเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะประมาทมิได้”
“อืม เจ้าไปช่วยนางเถิด ข้าจะให้คนไปเรียกเยียลี่ว์อาเป่ามาเล่นหมากรุกที่ศาลาด้านนอก” พูดจบ ท่านอ๋องฉีก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอีกครั้ง
พระชายาฉีมึนงงเล็กน้อย หยุดคิดไปสักพัก จึงให้หลิงหลงไปสืบว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่านอ๋องฉีมาถึงที่ศาลาก่อน ให้คนจัดกระดานหมากรุก รอเยียลี่ว์อาเป่า
เยียลี่ว์อาเป่ารีบเดินมาทันที เห็นท่านอ๋องฉีเหม่อลอยตรงหน้ากระดานหมากรุก กะพริบตาแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่”
ท่านอ๋องฉีรู้สึกตัวขึ้นมา ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วกล่าวว่า “อืม มาแล้วหรือ นั่งเถิด”
เยียลี่ว์อาเป่านั่่งลง
ท่านอ๋องฉีหยิบตัวหมากวางลงบนกระดานหนึ่งตัว เยียลี่ว์อาเป่าก็หยิบขึ้นมาหนึ่งตัว วางลงบนกระดาน
ทั้งสองสลับกันวางตัวหมาก จนเริ่มเข้าสู่ช่วงฆ่าฟันกัน
วันนี้เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องฉีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็พ่ายแพ้ลงทันที แต่ยังไม่ยอม จัดกระดานขึ้นมาใหม่แล้วกล่าวว่า “อีกครั้ง”
“วันนี้ท่านปู่มีเรื่องในใจ จะกี่ครั้งก็แพ้แน่นอนขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวกับเขา
ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไปชั่วครู่ วางตัวหมากในมือลงบนโต๊ะหินอย่างแรงด้วยความโมโห แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าแต่ล่ะคน ล้วนไม่ได้เรื่อง”
โดนด่าอย่างไม่มีสาเหตุ เยียลี่ว์อาเป่าชะงักไปเล็กน้อย แล้วกล่าวถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่ ผู้ใดทำให้ท่านโมโหหรือ ”
“จะมีผู้ใดอีก นอกจากพวกเจ้า เจ้าสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์อย่างไม่มียางอาย ตอนนี้ท่าป๋าคนนั้นก็เลียนแบบเจ้า ตอนนี้ยังคุกเข่าอยู่ที่ห้องโถงรับแขก บอกให้ข้าตกลงให้เขาแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์โดยเร็ว”
เยียลี่ว์อาเป่าเข้าใจในทันที ที่แท้เพราะท่าป๋าหั่นหลินมา ไม่แปลกเลยที่ท่านปู่จะโมโหเยี่ยงนี้ กล่าวโน้มน้าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านปู่ โมโหมากไปไม่ดีต่อร่างกาย เหตุใดท่านต้องไปโมโหกับเขาขอรับ”
“จะมิให้ข้าโมโหได้อย่างไร ตอนนี้เขายังคุกเข่าอยู่ที่ห้องโถงรับแขก กล่าวว่าหากข้าไม่ตกลงให้เขาแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์โดยเร็ว เขาก็จะไม่ลุกขึ้นมา คิดว่าจวนอ๋องฉีเป็นที่ใด หากข้าทนไม่ไหว ข้าจะสั่งให้คนโยนเขาออกไป”
ฟังคำพูดที่รุนแรงของท่านอ๋องฉี เยียลี่ว์อาเป่าหัวเราะออกมาทันที แล้วกล่าวโน้มน้าวต่อว่า “ท่านปู่ ท่านไม่จำเป็นต้องโมโหเยี่ยงนี้ เย่ว์เอ๋อร์และเมิ่่งเอ๋อร์เป็นฝาแฝดกัน ก็ถึงวัยที่พูดคุยเรื่องแต่งงานแล้ว อีกอย่างฮ่องเต้รัฐอิงก็อายุไม่น้อยแล้ว ที่เขาร้อนใจอยากแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์ ก็สามารถเข้าใจได้”
“แต่ก่อนหน้านี้พวกข้าได้ตกลงกันแล้ว ว่าอีกสามปีจึงจะให้พวกเขาแต่งงานกัน เขาเป็นถึงฮ่องเต้ จะพูดกลับคำได้อย่างไร”
เรื่องนี้เยียลี่ว์อาเป่าไม่รู้จริงๆ จึงไม่รู้จะกล่าวตอบอย่างไร
ในศาลาเงียบลงทันที
ผ่านไปสักพัก เยียลี่ว์อาเป่าจึงจะกล่าวออกมาว่า “ท่านปู่ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้รัฐอิงคนนี้เห็นว่าเมิ่งเอ๋อร์แต่งงานแล้ว ทนไม่ไหว จึงคิดวิธีนี้ขึ้น มาขอแต่งงานที่จวนอย่างไม่มียางอาย ถ้าเยี่ยงนั้น อาเป่าคิดว่าควรถามความคิดของเย่ว์เอ๋อร์ หากนางยินยอม ก็ให้พวกเขาแต่งงานโดยเร็วเถิด หากไม่ยินยอม ก็รอต่อไปอีกสามปี ”
ความคิดเห็นนี้ของเขาดี แต่ท่านอ๋องฉีกลับยิ่งโมโหมากกว่าเดิมแล้วกล่าวว่า “เจ้าออกความคิดเห็นอะไรของเจ้า ใจของเย่ว์เอ๋อร์นั้นอยากจะแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว จะไม่ยินยอมได้อย่างไร”
เยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไป ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
ในศาลาเงียบลงอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก ท่านอ๋องฉีตรัสสั่งว่า “ไป เรียกซื่อจื่อกลับมา บอกว่าข้ามีเรื่องปรึกษาหารือกับเขา”
ข้างนอกศาลามีคนรับคำสั่ง แล้วมีคนวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“หากท่านปู่มีเรื่องจะพูดคุยกับท่านพ่อ เยียลี่ว์กลับก่อนขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวแล้วทำท่าจะลุกขึ้น
“ตอนนี้เจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งในจวน ก็ควรช่วยกันออกความคิดเห็น”
เยียลี่ว์อาเป่าที่กำลังจะลุกขึ้นหยุดชะงักไป เงยหน้าขึ้น มองไปทางท่านอ๋องฉีอย่างไม่เชื่อสายตา
“ทำไม เจ้าไม่ยินยอมหรือ” ท่านอ๋องฉีขมวดคิ้วแล้วกล่าวถาม
ความสุขเต็มล้นในใจเยียลี่ว์อาเป่า ทำให้เขาตื่นเต้นจนสีหน้าแดงขึ้นมาทันทีแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ ข้า ข้า ข้า…”
“ในเมื่อให้เจ้าเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องฉีแล้ว ก็มิได้ถือว่าเจ้าเป็นคนนอก คนในจวนที่ควรปกป้องก็ปกป้อง น้องๆ ที่ควรสั่งสอนก็สั่งสอน อย่าทำให้พวกเขาผิดหวัง”
เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้าอย่างสุดแรงแล้วกล่าวว่า “ท่านปู่ ข้าจำไว้แล้ว ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนกลับจวนมาอย่างรวดเร็ว แล้วมาที่ศาลา
ท่านอ๋องฉีบอกเรื่องของท่าป๋าหั่นหลินให้เขาฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่เอ่ยอะไร พุ่งตรงมาที่ห้องโถงรับแขก สั่งโจวอันให้โยนเขาออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่โมโห ลุกขึ้นมา ปัดดินบนร่างกาย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อตา พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก หากท่านไม่ตกลงให้ข้าแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์โดยเร็ว ข้าก็จะมาอีก”
พูดจบ หันหลัง แล้วเดินจากไปอย่างช้าๆ
หวงฝู่อี้เซวียนนวดหน้าผากที่เริ่มปวดเล็กน้อย แล้วสั่งนายประตูว่า “หากพรุ่งนี้เจ้าให้เขาเข้าใกล้ประตูจวนภายในสิบก้าว ก็จะตีเจ้าด้วยไม้ห้าสิบครั้ง”
นายประตูตกใจจนมือไม้อ่อนแรง จนเกือบล้มนั่งบนพื้น
แน่นอนว่าพระชายาฉีและเมิ่งเชี่ยนโยวต้องได้รับรายงาน พระชายาฉีคิดในใจว่าดีมาก แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับขมวดคิ้ว ท่าป๋าหั่นหลินใช้วิธีที่ไร้ยางอายเยี่ยงนี้ ไม่ถึงสองวัน เกรงว่าผู้คนในเมืองหลวงต้องรู้กันหมดแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นจวนอ๋องฉีก็จะเป็นเรื่องที่ผู้คนพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กันหลังเวลาดื่มชาและหลังมื้ออาหาร เขาอยากจะใช้การวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนมาทำให้ตัวเองสามารถแต่งงานกับเย่ว์เอ๋อร์โดยเร็ว
ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร วันที่สอง ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังคงก้าวเดินอาดๆ มาเพียงผู้เดียว แต่ครั้งนี้ยังไม่ทันมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี ก็ถูกนายประตูขัดขวางไว้แล้วกล่าวว่า “ถือว่าทำบุญเถิดขอรับ อย่าก้าวไปข้างหน้าอีกเลย หากท่านก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว ชีวิตของข้าก็จะไม่รอดแน่นอนขอรับ”
ท่าป๋าหั่นหลินยักคิ้วเล็กน้อย เรื่องนี้ทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่มีต่อหวงฝู่อี้เซวียนใหม่อีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนใช้แค่นายประตูคนหนึ่งมารับมือกับตัวเอง เห็นได้ชัดว่าไม่ให้ความสำคัญกับเขาเลย ดูถูกเขามากเกินไปแล้ว เขาทำเหมือนไม่ได้ยิน เดินผ่านนายประตูแล้วเดินไปทางประตูจวนอ๋องฉีทันที
นายประตูเห็นว่าขัดขวางไม่ได้แล้ว จึงร้อนใจมาก ไม่สนใจอะไรอีก คุกเข่าลงบนพื้นแล้วกอดขาข้างหนึ่งของท่าป๋าหั่นหลินไว้ ไม่ว่าก็อย่างไรไม่ยอมให้เขาขยับเป็นอันขาด ร้องไห้คร่ำครวญว่า “ข้ามีครอบครัวต้องดูแล ท่านสงสารข้าเถิด อย่าก้าวเข้าไปอีกเลยขอรับ ไม่เยี่ยงนั้นชีวิตของข้าต้องไม่รอดแน่ๆ ขอรับ สงสารครอบครัวข้าที่ต่อไปจะไม่มีอันจะกิน”
ไม่มีอันจะกินท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่สนใจ แต่มองเขาที่มีน้ำตาไหลลงมาพร้อมกับน้ำมูกแล้ว ก็ขยะแขยงเป็นอย่างมาก จนเขาเริ่มจะทนไม่ไหว ดึงขากลับมา แล้วตะคอกกับเขาว่า “เจ้าปล่อยก่อน ข้าไม่เข้าไปแล้ว”
นายประตูหยุดร้องไห้ แต่ก็ยังคงกอดขาเขาไว้ เงยหน้ามองเขายังไม่เชื่อแล้วกล่าวถามว่า “ท่านพูดคำไหนคำนั้น จะไม่ก้าวเข้าไปอีกจริงๆ นะ”
“ข้าพูดคำไหนคำนั้น เจ้ารีบปล่อย”
นายประตูรีบปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว รีบลุกขึ้นมา ขวางหน้าเขาไว้
ท่าป๋าหั่นหลินรีบก้าวถอยหลังไปสองก้าว มองเขาด้วยความรังเกียจ สะบัดแขนเสื้อ แลัวหันหลังเดินกลับทันที
นายประตูไม่ใส่ใจ มองเขาเดินออกไปไกล จึงยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวกๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป
เดินได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่าข้างกายมีลมพัดผ่านไป รู้ตัวอีกที ท่าป๋าหั่นหลินยืนอยู่ตรงหน้าประตูจวนแล้ว
นายประตูตกใจจนร่างกายและจิตใจสลายไปในทันที ปิดตาลง ร้องคร่ำครวญว่าจบแล้ว แล้วล้มลงบนพื้นทันที
ท่าป๋าหั่นหลินไม่เข้าประตู แต่ร้องตะโกนอยู่หน้าประตูว่า “ท่าป๋าขอเข้าพบท่านอ๋องฉี”
ในเสียงมีกำลังภายใน สามารถส่งเสียงดังออกไปได้ไกล ไม่เพียงแต่ดังเข้าไปในจวนอ๋องฉี ยังดังเข้าไปในหูของผู้คนที่เดินผ่านไปมา
มีเรื่องวุ่นวายให้ดูแล้ว ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหวังให้หูของตัวเองยาวเพิ่มไปอีกสามคืบ จะได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่าป๋าหั่นหลินตะโกนเสร็จแล้ว ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ
ผู้คนที่ผ่านไปมาก็ไม่ไปไหนอีก หยุดเดินเพื่อดูความวุ่นวาย จากหนึ่งคน สองคน สามคน จนคนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นาน ก็มีผู้คนสิบกว่าคน ชี้มาทางจวนอ๋องฉีแล้ววิพากษ์วิจารณ์
คนในจวนก็ได้ยินแล้ว ท่านอ๋องฉีที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่ ปึง โยนหมากลงในกล่องใส่ลูกหมากทันที แล้วด่าออกมาอีกครั้งว่า “เจ้าสุนัข มาอีกแล้วหรือ”
“ท่านปู่ พ่อตาไม่อยู่ในจวน ไม่เยี่ยงนั้นให้ข้าออกไปดู”
“ไม่ต้อง ฐานะของเจ้าไม่เหมาะสม หากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง กลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ ข้าไปจัดการก็พอ”
ทันทีที่เขาพูดจบ พ่อบ้านก็วิ่งมาอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องฉี ซื่อจื่อเฟยกล่าวว่าเรื่องนี้นางจะจัดการเอง ให้ท่านเล่นหมากรุกของท่านอย่างสบายใจเถิด”
วิธีของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ด้อยไปกว่าหวงฝู่อี้เซวียน ท่านอ๋องฉีจึงวางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวนำชิงหลวนและจูหลีมาหน้าประตูจวน ไม่รอให้ท่าป๋าหั่นหลินทำความเคารพนาง ย่อตัวทำความเคารพเขาแล้วกล่าวว่า “เมิ่งเชี่ยนโยวทำความเคารพฮ่องเต้รัฐอิงเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินตกใจจนขนลุกขึ้นมาทันที รีบก้าวถอยหลังสองก้าวแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่… ท่านแม่ยาย ท่านจะทำอะไรขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยนในทันที แล้วกล่าวว่า “เจรจาด้วยเหตุผลก่อนเมื่อล้มเหลวจึงต้องใช้กำลัง”
ทันทีที่พูดจบ ชิงหลวนและจูหลีก็พุ่งโจมตีท่าป๋าหั่นหลินพร้อมกันอย่างไม่เกรงใจ
ท่าป๋าหั่นหลินไม่ทันตั้งตัว รีบรับมือแต่ก็ถูกโจมตีจนร่นถอยไปเรื่อยๆ
ชิงหลวนและจูหลีโจมตีเขาจนเขาถอยห่างออกจากจวนไปสิบจั้ง ทั้งสองจึงหยุด แล้วกลับมาอยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวอีกครั้ง