ตอนที่ 969 จวนเจิ้นกั๋วกง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 969 จวนเจิ้นกั๋วกง

องค์หญิงใหญ่หยูชิงหลานย้ายไปประทับ ณ เรือนหนานซานแล้ว

หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวพักอยู่ที่เรือนหนานซานเพียงมิกี่คืน ต่อจากนั้นพวกนางก็ย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงริมฝั่งทะเลสาบซวนอู่แทน

“สุดท้ายแล้วที่นี่ก็คือบ้านของพวกเรา ข้ารู้สึกว่าอยู่ที่นี่ค่อนข้างสบายใจมากยิ่งนัก”

หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครา

นางกำนัลที่ต่งชูหลานนำมาจากวังหลวงมีด้วยกันทั้งสิ้น 50 นาง ทั้งยังมีผู้ดูแลอีก 30 คนที่ขอให้จ่งตูเยี่ยนซือเต้าคัดเลือกมาจากบ้านพักคนชรา

ยามได้นั่งอยู่ในศาลาเถาหรานพร้อมกับรับลมยามราตรีที่พัดมาจากทางทะเลสาบซวนอู่ ความร้อนคลายลงมิน้อย ราวกับว่าช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นด้วยเช่นกัน

ต่งชูหลานจ้องมองไปทางหยูเวิ่นหวิน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว ! ตามความคืบหน้าของโครงการในตอนนี้ คาดว่าเรือนชุดแรกจะสร้างเสร็จราวเดือนสามของปีหน้า บุตรของพวกเรายังศึกษาอยู่ที่โน้น มิทราบเช่นกันว่าเรียนเป็นเยี่ยงไรบ้างแล้ว กลับไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ? หรือ…รับมาที่นี่ดีหรือไม่ ? ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เข้าใจความหมายของต่งชูหลานทันที “เขาออกทะเลไปแล้ว คาดว่าจะกลับมาตอนปลายปี”

หยูเวิ่นหวินฝืนยิ้ม “ข้าทราบว่าจิตใจของเขาก็ทรมานเช่นกัน… แท้จริงแล้วพวกเราล้วนกำลังหลีกหนี ข้าหนีมาไกลถึงเพียงนี้ทั้งยังทำให้เจ้าทั้งสองต้องเหนื่อยอีก ส่วนเขาหนีไปไกลยิ่งกว่า หนีไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่”

“นี่ก็ใกล้ถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกคราแล้ว ทว่าเป็นเพราะข้าที่ทำให้เทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้มิอาจรวมตัวกันได้ ข้าต้องขอโทษพวกเจ้าและพวกซูซูด้วย”

ต่งชูหลานจ้องหยูเวิ่นหวินตาเขม็ง “เอ่ยอันใดของเจ้ากัน ? พวกเราเป็นสหายสนิทกันมิใช่หรือ… ครานี้เจ้าได้รับแรงกดดันหนักที่สุด พวกเราหวังว่าเจ้าจะสามารถเดินออกมาจากแรงกดดันนั้นได้”

จากนั้นก็บังเกิดความเงียบไปชั่วครู่ ต่งชูหลานจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เมื่อปีที่แล้วข้าตามเขาออกประพาส เขาเคยเอ่ยเอาไว้ว่าหากราชวงศ์หยูสามารถเปลี่ยนเป็นราชวงศ์อู๋ได้อย่างราบรื่น เขาก็คงมิสังหารบิดาและพี่ชายของเจ้าหรอก”

“เขาถึงขั้นเอ่ยไว้อีกว่าอยากรับพวกเขาทั้งหมดมายังเมืองกวนหยุน หากพวกเขามิยินยอมและอยากอยู่ที่เมืองจินหลิงต่อก็ได้เช่นกัน ในยามนั้นเขาเอ่ยว่าจะให้เมืองจินหลิงเป็นเมืองหลวงรองที่เขาสามารถพาพวกเรากลับไปได้ทุกเมื่อ เขาเอ่ยไว้ว่า…เขาจะกลับมา ! ”

“ในใจของเขา จินหลิงและซีซานล้วนก็เป็นบ้านของเขาทั้งสิ้น เป็นรากฐานของเขา เพียงแค่คาดมิถึงว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปร้ายแรงถึงเพียงนี้ พวกเราเดินทางไปยังเขตหนานผิงและเดิมทีจะไปยังเมืองอู่หยวนต่อ ทว่าก็เลือกกลับวังหลวงแทน เหตุเพราะพวกซูซูกำลังจะคลอดบุตร ทว่าพอมาคิดในตอนนี้…เกรงว่านั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครานี้”

“ต่อให้ต้องทำสงครามนี้จริง เป้าหมายของเขาก็คือการกวาดล้างกองทัพสวรรค์ฆาต ดังนั้นเขาจึงมิได้ให้ทหารชาวอู๋บุกไปยังภูเขาฉีซาน ทว่ากลับวางสนามรบไว้ ณ ที่ราบฮวาจ้ง นี่คือความอุตสาหะของเขา แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขาแล้ว”

“ซินเหยียนเอ่ยว่า…เป็นหยูเวิ่นเต้าที่เรียกนักบวชแคว้นฝานมาและเสด็จแม่ก็สิ้นพระชนม์ด้วยเงื้อมมือของนักบวชเหล่านั้น”

“เจ้าต้องเข้าใจว่าเขามิเคยพบหน้ามารดามาก่อน นั่นคือการพบกันคราแรกระหว่างพวกเขา ทว่าก็เป็นคราสุดท้ายด้วยเช่นกัน แม้เจ้าจะโศกเศร้า แต่เจ้าช่วยเข้าใจความเศร้าของเขาด้วยได้หรือไม่ ? ”

“เจ้ากำลังหนี ดังนั้นเจ้าเข้าใจความเจ็บปวดของเขาบ้างหรือไม่ ? ”

“ในตอนนี้เจ้าคือจักรพรรดินีของประเทศต้าเซี่ย นี่ก็ผ่านมานานแล้ว หากเจ้ามิอยากให้อภัยเขา ด้วยนิสัยของเขาก็คงจะมิกล่าวโทษอันใดเจ้าเช่นกัน”

“ข้ามิอยากเห็นเจ้าเสียใจ และข้าก็มิอยากเห็นสามีของตนเสียใจยิ่งกว่า ! ”

“คำเอ่ยของข้าอาจจะรุนแรงไปบ้าง ทั้งยังเห็นแก่ตัวอีกด้วย ทว่าเจ้าลองใคร่ครวญดูให้ดี หากคิดจนเข้าใจแล้ว พวกเราก็ควรเก็บของกลับได้แล้ว บ้าน… อันใดคือบ้าน ? ข้าเคยบอกเขาไปแล้วว่าเขาอยู่ที่ใดที่นั่นก็คือบ้านของข้า”

“เขามิอยู่ที่นี่ ข้าจึงรู้สึกว่าที่นี่มิใช่บ้านของข้า”

จากนั้นต่งชูหลานก็ปลีกตัวออกมา

นางเดินทางไปยังจวนต่ง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาเช่นกัน นางเดินทางไปยังจวนเยี่ยน

หยูเวิ่นหวินยังคงนั่งอยู่ในศาลาเถาหรานเพียงลำพัง นั่งอยู่ตลอดทั้งคืนนั้นและสามวันต่อมาขบวนเดินทางก็ได้เดินทางออกจากเมืองจินหลิง จวนเจิ้นกั๋วกงที่ใหญ่โตแห่งนี้จึงกลับมาเงียบสงบอีกครา

…..

…..

ผ่านไปอีกสามวัน

ปรากฏผู้มาเยืยนจวนเจิ้นกั๋วกงอันว่างเปล่าด้วยกันสามคน

พวกเขาคือชายอ้วนฟู่ต้ากวน จี้หยุนกุยและหูฉิน

ภายในศาลาเถาหรานหลังนี้เช่นเดียวกันและเป็นริมฝั่งทะเลสาบซวนอู่เช่นกัน

“นี่คือสิ่งที่บุตรชายของข้าซื้อมาด้วยเงินที่ได้จากการประพันธ์ความฝันในหอแดง ทว่าเงินที่ใช้ในการบูรณะก็ยังเป็นของข้าอยู่ดี”

ชายอ้วนนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้พลางมองผิวระลอกคลื่นที่แตกฟองของทะเลสาบซวนอู่ “อู๋ฉางเฟิงตายในสภาพที่เหมาะสมแล้ว มิว่าเยี่ยงไรก็ตามเขาได้ผลักดันให้เสี่ยวกวนทำการรวบรวมผืนปฐพีให้เป็นหนึ่งได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว สวี่หยุนชิงเองก็สิ้นใจในสภาพเหมาะสมแล้ว เพราะสุดท้ายนางก็ได้เห็นบุตรชายด้วยสายตาของตนเอง ทั้งยังได้สิ้นใจในอ้อมกอดของบุตรชายอีกด้วย”

“ข้าสังหารนักบวชเหล่านั้นไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุอันใด ? ”

จี้หยุนกุยส่ายหน้า ชายอ้วนจึงแสยะยิ้ม “ข้าให้เหล่านักบวชที่เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่งท่องพระคัมภีร์ให้แก่พวกเขาเป็นเวลาหนึ่งพันวัน”

ชายอ้วนดึงสายตากลับมา จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าของจี้หยุนกุย “ที่มีผู้รอดชีวิตมากมายจากสงครามการสถาปนาราชวงศ์ใหม่ครานี้ก็ถือเป็นความดีของเจ้าด้วยเช่นกัน”

“ข้าน้อยมิบังอาจ ! ”

“มิมีอันใดที่จี้หยุนกุยเยี่ยงเจ้ามิกล้า บัดนี้โจวถงถงตกตายไปแล้ว หอเทียนจีจึงไร้ผู้ปกครอง ข้าอยากแนะนำเจ้าให้เสี่ยวกวนและขอให้เจ้าเป็นผู้นำของหอเทียนจีต่อไป เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

จี้หยุนกุยชะงักงันพลางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ

“เสี่ยวกวนออกทะเลไปแล้ว คาดว่าจะกลับมาถึงตอนสิ้นปีพอดี บัดนี้เป้าหมายของเขาอยู่บนท้องทะเล ส่วนหอเทียนจีแห่งนี้… นอกจากเฝ้าติดตามเต้าถายของแต่ละมณฑลในประเทศต้าเซี่ยแล้ว ข้าก็หวังว่าเจ้าจะสามารถส่งฝูงมดไปยังอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทรได้เช่นกัน”

“มิใช่ผู้คนกำลังสร้างเรือออกทะเลขึ้นมาหรอกหรือ ? จงอาศัยช่วงเวลานี้ส่งมดงานเหล่านั้นไปในนามบริษัทขนส่งทางเรือสักหน่อยเถิด”

“ข้าเองก็มิทราบเช่นกันว่าการเดินทางออกทะเลต้องใช้เวลานานเท่าใด และมิทราบเช่นกันว่าจะไปเยี่ยงไร ทว่านั่นมิได้สลักสำคัญอันใดหรอก เพราะในเมื่อมันคือการวางหมากก็จำต้องใช้เวลานานหน่อย”

“หมากพิชิตใต้หล้าของอู๋ฉางเฟิง ข้าจะวางหมากกระดานนี้เอาไว้ที่อีกฟากของมหาสมุทรด้วยเช่นกัน เมื่อไปถึงอีกฟากของมหาสมุทรแล้วก็ให้พวกเขาหลบซ่อนตัวไปก่อน ใช่ ! ข้ามีคนผู้หนึ่งอยากแนะนำให้แก่เจ้า เขามีนามว่าซุยเยว่หมิง แม้จะชราไปเล็กน้อย ทว่าก็เป็นชายชราที่เชื่อถือได้”

จี้หยุนกุยยกมือขึ้นคำนับ “ข้าน้อยจะมิทำให้ท่านต้องเสียหน้าเป็นอันขาดขอรับ”

ชายอ้วนโบกมือ “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ! ข้าจะไปเมืองกวนหยุนเพื่อดูหลาน ๆ ของข้าแล้ว เครื่องหมายยืนยันของหอเทียนจีอยู่กับเสี่ยวกวน เมื่อเสี่ยวกวนกลับมา เขาจะนำไปมอบให้เจ้าเอง บัดนี้เจ้ามีแผนการจะทำอันใดต่อไป ? ”

“ข้าน้อยจะไปที่เขตเหยาสักรอบเพื่อไปเยี่ยมเยียนตระกูลหลู่ขอรับ”

“ตามสบาย ลาก่อน ! ”

“ประเดี๋ยวขอรับ ข้อน้อยยังมีเรื่องอยากถาม…แท้จริงแล้วฝ่าบาททรงเป็นบุตรชายแท้ ๆ ของท่านใช่หรือไม่ ? ”

“…ไสหัวไป ! ”

ชายอ้วนจากไปแล้ว ทว่ามิได้เดินทางไปยังเมืองกวนหยุนแต่อย่างใด

เขาออกจากเมืองจินหลิงแล้วตรงไปยังสุสานจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หยู

เขามิได้เดินเข้าไปในสุสานจักรพรรดิแต่อย่างใด เนื่องจากมีรถม้าจอดอยู่ด้านหน้าสุสานหนึ่งคัน

เขายืนขมวดคิ้วเล็กน้อยอยู่ด้านนอกสุสาน จ้องมองอยู่เนิ่นนาน คล้ายกำลังรอให้คนในรถม้าที่เข้าไปยังสุสานจักรพรรดิเดินออกมา

บนใบหน้าอวบอิ่มมีร่องรอยแห่งความอ้างว้างปรากฎขึ้นมา จนกระทั่งความมืดมิดของราตรีกาลเริ่มฉายชัด แต่ก็ยังมิมีผู้ใดเดินออกมาเลยสักคน เขาจึงหันหลังกลับและพึมพำขึ้นมาว่า “รั่วซุ่ย…เป็นข้าที่ทำร้ายเจ้า ! ”

ครานี้เขาได้ออกไปแล้วจริง ๆ และเพียงมินานประตูสุสานจักรพรรดิก็ถูกเปิดออก

องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงเดินออกมาจากด้านใน นางจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายอ้วนที่เพิ่งหายไปพอดิบพอดี ในดวงตามีไฟแห่งโทสะกำลังลุกโชน

ไฟโทสะนี้ได้หายไปตามแรงลมยามราตรี ทันใดนั้นนางก็ฉีกยิ้มกว้างออกมาแล้วเอ่ยกับหยูเวิ่นเทียนที่อยู่ข้างกายว่า “ในเมื่อเจ้าได้ลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนตะวันออกแล้ว…เยี่ยงนั้นก็มาช่วยป้าสร้างหงซิ่วจาวขึ้นมาใหม่เถิด ! ”