ตอนที่ 2156 มหาสงครามแดนพฤกษา (3)

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

แทบจะในเวลาเดียวกัน บนท้องฟ้ามีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น เฉ่าจี๋และเฟยเสี่ยวซีก็ควบคุมสายรุ้งสายหนึ่งมาหาด้วยความตกใจ

“พี่หาน ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แจ้งเตือน เหมือนว่าจะมีคนเดินทางมาใกล้เทือกเขา ไม่รู้ว่าจะเป็นร่างจำแลงของเผ่ามารหรือไม่?” ทันทีที่ชายหนุ่มชาวแดนพฤกษาปรากฏตัวขึ้น เขาก็รีบพูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน

“แม้ว่าพวกเผ่ามารจะส่งร่างจำแลงมาไม่น้อย แต่ว่าพวกมันก็อยู่ในเขตอาคมทั้งหมด ข้าคิดว่าน่าจะเป็นพวกจอมมารธรรมดามากกว่า” เฟยเสี่ยวซีที่ปรากฏตัวข้างหานลี่พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ไม่ว่าจะใช่ร่างจำแลงหรือไม่ พวกเรายืมพลังของตาค่ายส่องดูไม่นานก็รู้แล้ว” หานลี่ตอบกลับเบาๆ จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ตีไปที่แสงสีเขียวสายหนึ่ง

จากนั้นก็มีเสียงดังระเบิดตู้มขึ้นมา

ต้นไม้ยักษ์สั่นไหวกึกๆ ด้านล่างของเขตอาคมก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา มันปล่อยลำแสงนับสิบเข้ามาพร้อมกันจากทั่วทุกทิศทุกทาง และรวมกันเป็นลูกบอลแสงลอยมาอยู่ตรงหน้าของหานลี่

หานลี่สะบัดนิ้วทั้งสิบของเขาพร้อมกัน เคล็ดวิชาหลากสีนับสิบค่อยๆ ทยอยวิ่งเข้าไปในลูกบอลลูกนั้น ในขณะเดียวกันเขาก็พูดคำว่า “ผสาน”

ทันใดนั้นลูกบอลแสงที่มีขนาดหนึ่งจั้งก็หมุนขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นคริสตัลสีเขียว

ด้านนอกใสเหมือนกระจก ราวกับด้านในประกอบไปด้วยกระจกนับสิบชิ้น ทุกด้านเปล่งประกาย เมื่อมองดีๆ จะเห็นทิวทัศน์โดยรอบของเทือกเขานี้

หานลี่เลิกคิ้ว อ้าปาก เป่าลมที่เต็มไปด้วยปราณบริสุทธิ์ออกมา หลังจากปราณสัมผัสกับคริสตัล

ทันใดนั้นเอง ผิวด้านนอกของคริสตัลก็เกิดร่องรอยพร่ามัวขึ้น ราวกับว่ามันกำลังเลื่อนผ่านทิวทัศน์ต่างๆ ด้วยความเร็ว ในความเร็วระดับนี้นั้นทำให้คนมองปวดตาได้ มันไม่สามารถมองให้ชัดได้

แต่ว่าทั้งสามคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ใช่แค่หานลี่ที่ใช้สายตากวาดมองบรรยากาศต่างๆ จากคริสตัล เฉ่าจี๋และเฟยเสี่ยวซีก็มองไปที่คริสตัลนั้นโดยไม่ละสายตาด้วย

หลังจากผ่านมาในช่วงไม่กี่อึดใจ หานลี่ก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ แขนข้างที่ถือลูกคริสตัลสั่นน้อยๆ

หลังจากถือคริสตัลมาช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นมันก็ค่อยหยุดหมุนช้าๆ พร้อมกับภาพทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงกระจกด้านสุดท้ายที่ใบใหญ่ที่สุด

จากการค้นหาคริสตัลส่องภาพ อยู่ๆ ภาพก็เปลี่ยนเป็นภาพชายแดนเทือกเขาตรงพื้นป่า เห็นเผ่ามารเจ็ดคน ลอยอยู่กลางอากาศ สามตนอยู่ระดับผสานอินทรีย์ อีกสี่ตนอยู่ระดับหลอมสูญ

เห็นได้ชัดว่ามารทั้งเจ็ดตนนี้เข้าใกล้เขตต้องห้ามแล้ว พวกมันโดนประจุสายฟ้านับพันโจมตีไม่หยุด

หนึ่งในนั้นมีมารหน้าสีฟ้าเขี้ยวยาวรูปร่างสูงใหญ่ ในมือของมันถือกระจกทองสำริดขนาดหนึ่งชุนอยู่ จากนั้นก็มีลำแสงสีดำดั่งหมึกพุ่งออกมา ลมพัดแรง ประจุสายฟ้าก็หายไปในทันที พวกเราสามารถรับการโจมตีครั้งแรกได้อย่างง่ายดาย

ประจุสายฟ้าที่เหลือจึงไม่มีความรุนแรงขนาดนั้นแล้ว มารตนอื่นแค่ใช้อาวุธมารไม่กี่ชิ้นก็สามารถจัดการได้แล้ว

“จอมมารสามตน สองตนอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง อีกตนอยู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย แม้ว่าอีกสี่ตนจะอยู่ในระดับหลอมสูญ แต่ปราณของพวกมันก็ดูแปลกมาก เหมือนจะไม่ใช่มารธรรมดาทั่วไป” จู่ๆ เฟยเสี่ยวซีก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ลักษณะภายนอกของมารระดับหลอมสูญสี่ตนเหมือนจะมีฝีมือไม่เป็นรองใคร น่าจะอยู่เผ่าเดียวกัน และใช้วิชาผสานกัน จอมมารสามตนน่าจะมีของวิเศษชิ้นอื่นอีก ไม่เช่นนั้นเมื่ออยู่ในเขตอาคมคงบินไม่ได้แบบนี้” ชายหนุ่มเผ่าพฤกษากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เช่นนั้นสหายทั้งสองคิดว่าจะจัดการกับเผ่ามารกลุ่มนี้อย่างไรดี เขตอาคมกักขังธรรมดาเอาพวกเขาไม่อยู่แน่” หานลี่ยิ้มออกมา พร้อมเอ่ยถามอย่างจริงใจ

“เดิมทีหากตำแหน่งที่พวกเราอยู่ไม่ใช่ศูนย์กลางของเขตอาคม แต่เป็นตำแหน่งทั่วไปล่ะก็ เพียงกระตุ้นการโจมตีที่ร้ายแรงที่สุดของเขตอาคมก็น่าจะเอาจอมมารระดับผสานอินทรีย์ได้ แต่ตอนนี้เขตอาคมกำลังรวบรวมพลังอยู่ ดังนั้นภายในเขตอาคมจึงมีข้อจำกัด เกรงว่าพวกเราน่าจะต้องลงมือเอง” หลังจากที่ครุ่นคิดมาแล้ว ชายหนุ่มชาวเผ่าพฤกษาก็พูดขึ้น

“หากพวกเราสามคนลงมือโจมตีพร้อมกันล่ะก็ น่าจะขัดขวางจอมมารทั้งสามได้ ส่วนมารระดับหลอมสูญต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้ว ข้าเองก็มีลูกน้องที่อยู่ระดับหลอมสูญอยู่สิบกว่าคน” เฟยเสี่ยวซีกล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์

“มารระดับหลอมสูญทั้งสี่อยู่ในขั้นปลายทั้งหมด และไม่รู้ว่าหากพวกเขาผสานพลังแล้วจะเป็นอย่างไร ลูกน้องของพวกเราอยู่แค่ระดับหลอมสูญธรรมดาเท่านั้น เกรงว่าจะไม่สามารถต้านทานมารทั้งสี่ได้” เฉ่าจี๋ส่ายหน้า

“ขวางไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่ามีเขตอาคมไว้คอยช่วยไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะไม่สามารถกระตุ้นพลังที่แรงที่สุดออกมาได้ แต่ระดับการป้องกันก็ยังมีอยู่ เพียงแค่ให้พวกเขารั้งศัตรูไว้ก็ทำไม่ได้หรือ” เฟยเสี่ยวซีพูดอย่างมั่นใจ

“หากมีเขตอาคมคอยช่วยนั่นก็เป็นอีกเรื่องนึง พี่หานพี่คิดว่าอย่างไร” ชายหนุ่มคิดแล้วรู้สึกว่าไม่มีปัญหา จึงเห็นด้วย

“เกรงว่าต่อให้มีเขตอาคมคอยช่วย ลูกน้องนับสิบของพวกเราเหล่านั้นก็ไม่น่าจะเป็นคู่มือของมารทั้งสี่ได้ ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ มารทั้งสี่นี้เดิมทีคือมารตัวเดียว และเป็นร่างแยกออกมา หากรวมระดับพลังของทั้งสี่เป็นคนคนเดียว ปราณของเขาไม่น่าจะธรรมดา ให้แม่นางเฟยจัดการด้วยตนเองน่าจะดีที่สุด ส่วนบริเวณศูนย์กลางนี้จำเป็นต้องมีคนเฝ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารลอบเข้ามา สหายเฉ่าจี๋ท่านเฝ้าศูนย์ตาค่ายเอาไว้ ส่วนจอมมารทั้งสามตนนั้น ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง” หลังจากที่หานลี่เงียบอยู่นาน เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“อะไรนะ พี่หานคงไม่ได้พูดเล่นใช่หรือไม่ แม้ว่าระดับพลังของมารทั้งสามตนจะสู้พี่หานไม่ได้ แต่หากพวกมันผสานพลังกันไม่แน่ว่าเจ้าจะสามารถต้านทานได้” ชายหนุ่มร่างใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจ

เฟยเสี่ยวซีหันไปมองหานลี่ ด้วยสีหน้าแสดงความแปลกใจเช่นกัน

“วางใจเถอะ ในเมื่อข้าพูดออกไปเช่นนี้ก็แปลว่าข้ามีความมั่นใจมาก พี่เซี่ย ท่านออกมาเถอะ” หานลี่หัวเราะอยู่ครู่นึง จากนั้นก็เรียกชื่อคนจากความว่างเปล่า

สิ้นเสียงนั้น ข้างกายของหานลี่ก็เกิดระลอกคลื่น เงาคนสีขาวก็ปรากฏกายขึ้น  และปราณที่แผ่ออกจากร่างกายเขาเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าหานลี่ด้วย

เป็นท่านนักพรตเซี่ย

“ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย”

“ไม่ทราบว่าท่านคือ…”

หลังจากเฉ่าจี๋กับเฟยเสี่ยวซีสัมผัสถึงปราณของเขาได้และได้ตรวจสอบอย่างแน่ชัดแล้ว จึงรู้สึกตกใจจนอ้าปากค้าง

“หากเป็นข้ากับท่านนักพรตเซี่ยแล้วล่ะก็ สหายทั้งสองคนคิดว่าอย่างไร” หานลี่หัวเราะ และพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา ที่แท้ที่ท่านวางแผนไว้เช่นนี้ เพราะมีพี่เซี่ยคอยช่วยอีกแรง ด้านพวกท่านต้องไม่เป็นไรแน่นอน” ชายชาวแดนพฤกษากล่าวอย่างมั่นใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“หากพี่หานร่วมมือกับพี่เซี่ยแล้วล่ะก็ น้องสาวก็ไม่ขัดแย้ง” จากนั้นเฟยเสี่ยวซีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สีหน้าของนางยังคงมีความแปลกใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่ได้มาจากเผ่าเดียวกัน นักพรตเซี่ยน่าจะเป็นคนของกองทัพพันธมิตรที่จัดเอาไว้อย่างลับๆ

หลังจากที่นักพรตเซี่ยปรากฏตัวขึ้นมา เขาก็ยืนอยู่ข้างกายหานลี่อย่างเงียบๆ ไม่เปิดปากพูดอะไรเลยสักคำ

หานลี่เองก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้อีกฝ่ายฟัง สายตาของจ้องมองไปที่รูปภาพบนคริสตัล เขาเห็นว่ามารหน้าฟ้าเขี้ยวยาวเป็นหัวหน้า และกำลังมุ่งหน้ามาทางใจกลางของเทือกเขา

“สหายเฉ่า เจ้ารีบไปเปิดใช้งานแผนย้อนกลับห้าขุนเขาต้องห้าม เพื่อแยกเผ่ามารให้ออกจากกัน จากนั้นก็ทำตามแผนเดิม” หานลี่สั่งการออกไปอย่างไม่ลังเล

“ได้เลย พี่หานออกเดินทางไปก่อนเลย ข้าจะทำตามแผนเดี๋ยวนี้” หลังจากชายหนุ่มตอบรับเสร็จเขาก็หายไปในมิติ จากนั้นเขาปรากฏตัวอยู่ใจกลางต้นไม้ยักษ์ หลับตา สองมือร่ายคาถา ปากก็ท่องคาถาพึมพำ

รอบข้างก็มีผู้คุ้มกันชาวแดนพฤกษากว่าร้อยชีวิตนั่งสมาธิ และช่วยร่ายคาถาไปพร้อมกันด้วย

“ไปกันเถอะ!”

หานลี่บอก ทั้งสามคนก็แยกย้ายกันไป

ในขณะเดียวกัน ก็มีลำแสงนับสิบบินติดตามออกไป

คนพวกนั้นคือผู้คุ้มกันนับสิบที่หานลี่ถ่ายทอดคำสั่งเสียงไป

…มารทั้งเจ็ดควบคุมเมฆฝนสีดำอยู่เหนือเทือกเขาด้านหน้า

จอมมารหน้าสีฟ้าเขี้ยวยาวตนนั้นไม่ได้ถือกระจกทองสำนิดไว้ในมืออีกแล้ว แต่มันเสียบเอาไว้ตรงหน้าอกและบินอยู่แถวหน้า และในบางครั้งมันก็ถือแล้วเหวี่ยงไปมารอบทิศ

กระจกลึกลับนี้น่าจะเอาไว้มองผ่านเขตอาคมต้องห้าม

“แย่แล้ว สหายทุกคนระวัง”

ทันใดนั้นเมื่อกระจกสำริดส่องไปที่ความว่างเปล่าด้านหน้าก็พบแสงสีเงิน จึงทำให้มารหน้าฟ้าตนนั้นตกใจอย่างมาก

มารตนอื่นๆ ที่บินตามมาด้านหลังก็พลอยเปลี่ยนสีหน้าไปด้วย อาวุธเวทย์หลุดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว

แต่ไม่ทันรอให้เผ่ามารได้เตรียมตัว แสงสีเขียวขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาจากป่าสีเขียวด้านล่าง จากนั้นรัศมีลำแสงทั้งห้าสีก็สว่างวาบขึ้นมา

“แย่แล้ว”

“หลบเร็ว”

สิ้นเสียงของมารที่ร้องด้วยความตกใจ รัศมีลำแสงพวกนั้นก็พุ่งมาหาอีกระลอก จากนั้นก็ห่อหุ้มมารทั้งเจ็ดเอาไว้

“ทำลายมันซะ”

“สี่พลังประสาน” มารหน้าฟ้าเขี้ยวยาวก็รีบยกกระจกทองสำริดขึ้นไว้เหนือศรีษะ จากนั้นก็มีแสงสีดำพุ่งออกมาจากมัน

และหลังจากมารระดับหลอมสูญสี่ตนที่หน้าตาเหมือนกันตะโกนออกมา ร่างกายของมันก็เต็มไปด้วยเลือด

“ตู้ม” เสียงดังสนั่น

ลำแสงสีดำส่องประกายเจิดจ้า จากนั้นก็มีเงาคนร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมา

แต่มารที่โดนรัศมีลำแสงเหล่านั้นก็หายไปในพริบตา

ในตอนนั้นก็เหลือเพียงมารหน้าฟ้าอยู่ตรงนี้เพียงผู้เดียว

“ค่ายกลเคลื่อนย้าย” มาถึงตอนนี้เขาเพียงกวาดตามองก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเจอคือค่ายกลชนิดใด เขาจึงโมโหและร้องคำรามออกมาด้วยความโกรธ

“ถูกต้อง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเชี่ยวชาญด้านการสร้างค่ายกลเช่นกัน ดูเหมือนว่าที่เจ้ามาที่นี่ได้โดยไม่ได้พึ่งแค่ของวิเศษอย่างเดียวนี่นา”

เขาได้ยินเสียงชายหนุ่มมาจากที่ไกลๆ หลังจากที่ท้องฟ้าเปิดขึ้น ทันใดนั้นก็มีสายรุ้งสีเขียวฟาดผ่านมาตรงหน้า