บทที่ 488.1 ในม้วนภาพ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ผู้เฒ่าชาวเรือถ่อเรืออยู่ใต้แม่น้ำต่อไป เรือข้ามฟากประดุจปลาตัวหนึ่งที่ว่ายตรงดิ่งไปยังตอนล่างของลำคลองด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ

น้ำที่ในสายตาของคนธรรมดาขุ่นมัวไม่ใสกระจ่าง สำหรับผู้เฒ่าชาวเรือแล้วกลับแจ่มชัดราวกับจุดไฟในถ้ำมืด อีกทั้งแก่นโชคชะตาน้ำที่เป็นดั่งดวงดาวดารดาษเหล่านั้นก็ยิ่งมองแล้วทำให้คนสบายตาสบายใจ

ระหว่างทางน้ำที่ไปกลับศาลเทพลำคลองสายนี้ บางครั้งก็มีผีวิญญาณเร่ร่อนว่ายผ่านไป พอเห็นผู้เฒ่าชาวเรือต่างก็เป็นฝ่ายคุกเข่าโขกหัวคำนับ

โชคชะตาน้ำของลำคลองเหยาเย่เข้มข้น บวกกับที่เทพลำคลองไม่ได้ดึงเอาไปอย่างเหิมเกริม ทุกสัดส่วนล้วนถูกรับไว้ในศาล เป็นเหตุให้โอกาสที่วิญญาณซึ่งจมน้ำตายที่นี่จะกลายเป็นผีร้ายสูญเสียสติปัญญาเกิดขึ้นน้อยมาก นี่ก็ถือเป็นการสะสมบุญอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าศาลเทพลำคลองเหยาเย่ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการลดระดับความเร็วในการฟูมฟักแก่นควันธูปให้ช้าลง เมื่อสะสมกันนานวันเข้า ปีนี้ขาดไปหนึ่งจิน ปีหน้าขาดไปแปดตำลึง แก่นควันธูปที่เดิมทีควรนำมาใช้สร้างและหล่อหลอมระดับของร่างทองจึงขาดจำนวนสัดส่วนที่มากพอดู หากองค์เทพวารีของสถานที่แห่งอื่นมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าน้ำเข้าสมองเทพลำคลองท่านนี้เสียแล้ว

สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำท่านหนึ่งที่อาศัยกินควันธูปในโลกมนุษย์เป็นอาหาร อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน ประเด็นสำคัญคือศาลเทพลำคลองเหยาเย่เห็นแค่ชายหาดโครงกระดูกเป็นรากฐานของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในทำเนียบแม่น้ำภูเขาของราชวงศ์ใดๆ ด้วยเหตุนี้เหล่าฮ่องเต้ของราชวงศ์ใหญ่และกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายที่เดินทางผ่านตอนบนของชายหาดโครงกระดูกต่างก็มีท่าทีที่คลุมเครือต่อศาลที่สร้างไว้นอกอาณาเขตแห่งนี้ ไม่แต่งตั้งให้ถูกต้องตามกฎ แล้วก็ไม่ออกกฎห้าม ไม่สนับสนุนให้ชาวบ้านเดินทางลงใต้ไปจุดธูป แต่ด่านต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทางก็ไม่มีการขัดขวาง เป็นเหตุให้เทพลำคลองเซวียหยวนเซิ่งยังถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำของศาลต้องห้ามที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามหลักพิธีการของแคว้น แล้วนี่เขายังจะแสวงหาการสร้างบุญกุศลที่เป็นเรื่องมายาล่องลอย ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ จะรั้งเอาไว้ได้อยู่หรือ? ปลูกต้นไม้ไว้ที่นี่ แต่ไปผลิดอกอยู่ที่อื่น มีความหมายตรงไหน?

เรื่องของการสร้างบุญกุศล ก็คือเจตนารมณ์สวรรค์ที่ยากจะคาดเดามากที่สุด หากเข้าไปอยู่ในทำเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เท่ากับว่ามีหลักฐานให้ตรวจสอบ ขอแค่โชคชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำของพื้นที่หนึ่งมั่นคงดีแล้ว กรมพิธีการของราชสำนักก็จะทำตามขั้นตอน หลังจากตรวจสอบแล้วก็จะแต่งตั้งให้รางวัลตามลำดับ ภัยร้ายมากมายที่แฝงไว้เบื้องหลังก็จะมีราชวงศ์ของหนึ่งแคว้นช่วยต้านทานและลดทอนอุปสรรคทั้งหลายไปให้อย่างที่มองไม่เห็น นี่ก็คือข้อดีของการมีการรับรองผลเก็บเกี่ยว แต่หากไม่มีสถานะที่สำคัญนั้นก็บอกได้ยากแล้ว หากชาวบ้านคนใดคนหนึ่งขอพรได้สำเร็จ ใครจะกล้ารับประกันว่าหลังจากนั้นจะไม่มีผลกรรมที่ยุ่งเหยิงเหมือนเชือกขมวดเป็นปมพัวพันติดตัว?

เทพหญิงที่เดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้นอารมณ์ไม่ดี สีหน้ามืดทะมึน

เกี่ยวพันกับมหามรรคาของแต่ละคน เพื่อนบ้านเก่าแก่อย่างผู้เฒ่าชาวเรือท่านนี้ไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก คำพูดปลอบใจในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นการสาดเกลือลงบนแผลสด

ภาพขุนนางเทพหญิงแปดภาพบนฝาผนังของนครปี้ฮว่าดำรงอยู่บนโลกนี้มานานมากแล้ว ถึงขั้นยาวนานยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ของสำนักพีหมา ตอนนั้นเหล่าบรรพบุรุษของสำนักพีหมาข้ามทวีปมาถึงอุตรกุรุทวีปด้วยความยากลำบาก เลือกสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของทวีป เป็นการกระทำที่จำใจ ด้วยตอนนั้นไปมีเรื่องกับเซียนกระบี่ของทางเหนือที่นิสัยกำเริบเสิบสานหลายคน ไม่มีที่ให้หยัดยืน อีกทั้งยังพิจารณาถึงข้อที่ว่าต้องการอยู่ห่างจากสถานที่ที่เป็นปัญหา จึงขุดเจอภาพวาดฝาผนังโบราณที่ไม่อาจบอกเล่าประวัติความเป็นมาได้ชัดเจนแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้การที่มองชายหาดโครงกระดูกเป็นสถานที่วิเศษ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน เพียงแต่ว่าความยากลำบากที่ต้องเผชิญระหว่างนี้ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น ผู้เฒ่าชาวเรือมองดูสำนักพีหมาที่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นทีละนิดมากับตาของตัวเอง ลำพังเพียงแค่จัดการกับขุนพลหยินทหารหยินแห่งสนามรบโบราณที่ยึดครองพื้นที่แถบนี้ตั้งตัวเป็นราชา เซียนดินของสำนักพีหมาที่ต้องตายไปเพราะสาเหตุนี้ก็มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ยังสู้รบจนตัวตายไปสองท่าน สามารถพูดได้ว่า หากไม่เคยถูกผลักไสและบุกเบิกขุนเขาอยู่ที่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีปได้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าป่านนี้สำนักพีหมาจะเลื่อนขั้นสู่สำนักใหญ่ห้าอันดับแรก และนี่ยังเป็นเพราะอยู่ใต้สถานการณ์ที่ว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีเซียนกระบี่ และไม่เคยเชื้อเชิญเซียนกระบี่ให้มารับผิดชอบเป็นผู้ถวายงานของสำนักอีกด้วย

อันที่จริงผู้เฒ่าชาวเรือก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างจริงของเทพหญิงเป็นครั้งแรก ในอดีตบรรดาเทพขุนนางหญิงทั้งแปดท่าน เทพหญิงหนึ่งในนั้นที่มีนามว่า ‘ชุนกวาน’ สามารถเดินทางไกลในความฝัน คล้ายคลึงกับการนำจิตหยินออกจากร่างของผู้ฝึกตนใหญ่ อีกทั้งยังสามารถมองข้ามพันธนาการมากมายหลากหลายได้โดยตรง และอาศัยสิ่งนี้มาสื่อสารกับผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในอดีตเทพหญิงท่านนี้เคยมาเยือนศาลเทพลำคลองเหยาเย่ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นไม่นานเทพหญิงชุนกวานก็เป็นเหมือนเทพหญิงฉางฉิง เทพหญิงจ่านคานที่เลือกไปปรนนิบัติคนที่ตนหมายตา แล้วไปจากชายหาดโครงกระดูก ตอนนั้นสองฝ่ายตกลงกันอย่างลับๆ ว่า ผู้เฒ่าชาวเรือจะช่วยพวกนางวางแผนทำการทดสอบอย่างพอเป็นพิธีครั้งสองครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทน พวกนางยินดีจะลงมือช่วยเหลือหากศาลเทพลำคลองเหยาเย่ตกอยู่ในอันตรายสามครั้ง หลังจากนั้นมาเป่าไก้ หลิงจือก็ทยอยกันไปจากนครปี้ฮว่า เวลาอีกห้าร้อยกว่าปีเต็มต่อมา ภาพวาดบนฝาผนังทั้งสามก็อยู่ในความเงียบงัน ตอนนี้ลำคลองเหยาเย่ผ่านด่านยากมาได้เพราะใช้โอกาสไปสองครั้งแล้ว ผู้เฒ่าชาวเรือถึงได้จริงจังขนาดนี้ เขาหวังว่าจะมีโอกาสอย่างใหม่ตกลงบนหัวของคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนสักคน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าชาวเรือยินดีจะได้เห็น

ตลอดพันปีที่ผ่านมา ลมและเมฆผันเปลี่ยน เทพหญิงในภาพวาดทั้งห้ามีคนหนึ่งที่รบตายไปเพื่อเจ้านาย สองคนเลือกจะตายดับไปพร้อมกับเจ้านายของตนเอง ตอนนี้จึงเหลือเพียงเทพหญิงจ่านคานที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า ‘เซียนไม้เท้า’ รวมไปถึงเทพหญิงชุนกวานที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหายเข้ากลีบเมฆไปผู้นั้น ในสองคนนี้ บัณฑิตยากจนที่ฝ่ายแรกเลือก ตอนนี้ได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินซึ่งอยู่บนยอดเขาของหนึ่งทวีปแล้ว แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาจำนวนไม่มากซึ่งอยู่ในขบวนเดียวกับกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวก่อนหน้านี้

เทพหญิงที่โดยสารเรืออยู่ตอนนี้ ข้างกายไม่มีกวางเจ็ดสีบนภาพวาดตัวนั้นเคียงข้างอยู่ด้วย

แล้วก็คงเพราะสาเหตุนี้ ภาพวาดบนฝาผนังถึงยังไม่ซีดจาง ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่าชาวเรือก็คงต้องกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเป็นเพื่อนเทพหญิงไปด้วย

ท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเลือกคนที่จะติดตามปรนนิบัติไปตลอดชีวิตได้ ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายตาไม่มีแววแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่ผ่านการทดสอบที่เล็กเท่าเมล็ดงานั่น ยังเผ่นหนีไปราวกับเท้าทาด้วยน้ำมันอีกด้วย

หากภาพวาดบนฝาผนังเปลี่ยนมาเป็นภาพเส้นเค้าโครงอีกครั้ง จะไม่ทำร้ายให้ขุนนางสวรรค์เทพหญิงอย่างนางไร้บ้านให้กลับอย่างนั้นหรือ? นี่จะต่างจากพวกผีที่จมน้ำตายจึงต้องว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำของลำคลองเหยาเย่ และพวกวิญญาณหยินที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถบหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกตรงไหน?

ส่วนรากฐานที่แท้จริงของเทพหญิงทั้งแปดท่านนี้ ต่อให้ผู้เฒ่าชาวเรือจะเป็นเทพลำคลองของที่แห่งนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว

หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเองก็รู้น้อยมาก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าบรรพบุรุษสูงอายุที่ยังมีชีวิตอยู่อีกแค่สามท่านนั้นก็ยังรู้แค่ผิวเผินเหมือนกัน

จุดที่ประหลาดมากที่สุดนั้นอยู่ที่เมื่อเทพหญิงชุนกวานผู้นั้นพูดคุยเปิดใจกับผู้เฒ่าชาวเรือเป็นการส่วนตัวครั้งนั้น นางก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกนางเองก็ไม่มีความทรงจำเหมือนกัน ไม่รู้ว่าหลับมานานเท่าไหร่ จนกระทั่งผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาบุกเบิกถ้ำสถิตจึงไปกระเทือนโดนค่ายกล พวกนางถึงได้ฟื้นตื่นขึ้นมา ภาพวาดบนผนังทั้งแปดภาพ มองดูเหมือนว่าต่างคนต่างยึดพื้นที่หนึ่งของนครปี้ฮว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเชื่อมติดเป็นหนึ่งเดียวกัน ตามคำบอกของผู้ฝึกตนในเวลานั้นก็คือเป็นพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง พวกนางเองก็เคยอาศัยสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ภายในนั้นอย่างพวกสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ดอกไม้ และตำรา ฯลฯ มาอนุมาน พยายามจะไล่ตามเบาะแสเพื่อสืบหาชาติกำเนิดของตัวเองให้รู้แน่ชัด น่าเสียดายที่ยังคงมีปราการธรรมชาติกั้นขวาง ไอหมอกแห่งปริศนาล้อมวนจนมิอาจฝ่าออกไปได้

ขยับเข้าใกล้ศาลเทพลำคลองเหยาเย่ ในที่สุดผู้เฒ่าชาวเรือก็อดไม่ไหวถอนหายใจหนึ่งที

เทพหญิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรือก็ถอนหายใจเงียบๆ เช่นกัน เสียงถอนหายใจของนางซาบซ่านตรึงใจ ราวกับเสียงสวรรค์ที่ไม่เคยปรากฎในโลกมนุษย์มาก่อน

ผู้เฒ่าชาวเรืออดตำหนิเด็กรุ่นหลังคนนั้นไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ จากที่แอบสังเกตการณ์อย่างลับๆ ก่อนหน้านี้ก็เห็นว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แล้วก็ให้ความเคารพกฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนคนขี้เหนียวแม้แต่น้อย เหตุใดพอโชควาสนามาเยือนถึงได้สมองเลอะเลือนเสียได้? หรือจะเป็นเพราะในชะตาไม่ควรมี มาถึงมือแล้วก็คว้าไว้ไม่อยู่จริงๆ? แต่ก็ไม่น่าจะใช่ สามารถทำให้เทพหญิงถูกใจ ยอมพาร่างที่ล้ำค่าดุจทองหมื่นชั่งออกมาจากภาพวาด เดิมทีก็อธิบายอะไรได้หลายๆ อย่างอยู่แล้ว

เทพหญิงท่านนี้หันหน้ามามองแวบหนึ่ง “ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ยืนอยู่ริมลำคลองก่อนหน้านี้ไม่ใช่หนึ่งในสามบรรพบุรุษของสำนักพีหมากระมัง?”

ผู้เฒ่าชาวเรือส่ายหน้า “บรรพบุรุษทั้งสามท่านบนภูเขาข้าล้วนรู้จัก ต่อให้ลงจากเขามาปรากฎตัวก็ไม่ชอบร่ายเวทอำพรางตาให้ตัวเองดูเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะดุดตา”

เทพหญิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ดูจากลักษณะท่าทางของเขาทำให้นึกถึงคนคนหนึ่งที่ในอดีตเหล่าพี่สาวน้องสาวเคยมองผ่าน คือผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นอายุน้อยคนหนึ่ง เขาเกือบจะทำให้นางหวั่นไหวได้ เพียงแต่ว่าไร้ความรู้สึกเกินไป อยู่ข้างกายของเขา ไม่ลำบากไม่ต้องรับความอยุติธรรมก็จะเกิดความเบื่อหน่าย”

ผู้เฒ่าชาวเรืออึ้งตะลึง ถามถึงช่วงเวลาคร่าวๆ

หลังจากได้รับคำตอบ ผู้เฒ่าชาวเรือก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาพึมพำกับตัวเองว่า “คงไม่ใช่เจ้าคนบ้าตัณหาแซ่เจียงผู้นั้นกระมัง นั่นน่ะคือคนเลวที่เลวยันน้ำหนองจริงๆ”

คิดไม่ถึงว่าเทพหญิงจะพยักหน้ารับ “ดูเหมือนจะแซ่เจียงจริงๆ ตอนนั้นคนหนุ่มพูดจาค่อนข้างวางโต บอกว่าสักวันหนึ่ง ต่อให้เหล่าพี่สาวเทพเซียนจะดูแคลนเขา แล้วก็ไม่สนว่าจะอยู่ที่บ้านหรือไม่ เขาก็จะต้องดึงเอาภาพวาดทั้งแปดออกมาตั้งบูชาให้จงได้ เขาจะกินอาหารร่ำสุราต่อหน้าม้วนภาพทุกวัน แต่ถึงแม้คำพูดคำจาของคนผู้นี้จะเรียบง่ายเบาสบาย แต่สภาพจิตใจของเขากลับไม่ธรรมดาเลย”

ผู้เฒ่าชาวเรือถามอย่างสงสัย “ปีนั้นเจ้าหมอนี่ทำตัวเจ้าชู้เสเพลไปทั่ว เหตุใดถึงบอกว่าไร้ความรู้สึกน่าเบื่อล่ะ?”

เทพสาวส่ายหน้า “วิธีการมองคนของพวกเราตรงดิ่งไปที่จิตใจคน ไม่เพียงแต่ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตน แม้แต่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาอย่างพวกเจ้าก็ไม่ค่อยเหมือนเช่นกัน นี่เป็นวิชาอภินิหารที่เกิดมาพร้อมกับพวกเรา อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีไปซะหมด เพราะเมื่อทอดสายตามองไปจะเห็นทะเลสาบหัวใจที่ขุ่นมัว เห็นความคิดที่สกปรก บ้างก็เป็นหลุมเป็นโพรงที่งูและแมงป่องเลื้อยเข้าออกยั้วเยี้ย บ้างก็เป็นสิ่งเย้ายวนใจที่พัวพันอยู่ทั่วร่างปีศาจที่มีหัวเป็นคน ภาพอัปลักษณ์มากมายเหล่านี้อุจาดจนแทบไม่อาจทนมอง ดังนั้นพวกเราจึงมักจะจงใจปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจก็ไม่ต้องหงุดหงิด พอเป็นเช่นนี้ หากวันใดจู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าโชควาสนามาถึง จึงจะลืมตามองไป”

ผู้เฒ่าชาวเรือจุ๊ปากชื่นชม “จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์”

เทพหญิงฉีลู่ (ขี่กวาง) ผู้นี้พลันหันขวับไปมองทางนครปี้ฮว่า นางหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง พูดด้วยสีหน้าเยียบเย็น “เจ้าคนผู้นี้กล้าบังอาจบุกไปที่จวนเชียวรึ!”

ผู้เฒ่าชาวเรือสีหน้าไร้อารมณ์

ในใจคิดว่าไม่ต้องเดาแล้ว ต้องเป็นเจ้าเจียงซ่างเซินที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่คาวคลุ้งไปทั่วผู้นั้นแน่นอน

—–