ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 126 แผลงฤทธิ์

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลังจากวันนั้น บรรยากาศในจวนอ๋องฉีก็เต็มไปด้วยความหดหู่ บ่าวใช้ต่างเดินเขย่งเท้า เพราะกลัวส่งเสียงดังรบกวนเจ้านายจนถูกไล่ออกไป 

 

 

อ๋องฉีก็ไม่มีอารมณ์เล่นหมากรุก เยียลี่ว์อาเป่าจึงศึกษาสมุนไพรกับหวงฝู่สือเมิ่งในเรือน  

 

 

สีหน้าหวงฝู่สือเมิ่งไม่ค่อยดีนัก นางพอจะรู้ว่าพ่อแม่คิดอย่างไรกับเรื่องงานแต่งของเย่ว์เอ๋อร์ นางเองก็รู้สึกกังวลอยู่ตลอด แต่เย่ว์เอ๋อร์มีใจให้ท่าป๋าหั่นหลินเพียงผู้เดียว นางเคยพูดเกลี้ยกล่อมเย่ว์เอ๋อร์อยู่หลายครา แต่เย่ว์เอ๋อร์ไม่ฟัง ตอนนี้งานแต่งเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้นกว่าเดิมเป็นอีกสามเดือนข้างหน้า หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าเย่ว์เอ๋อร์จะรับมือไหวไหม  

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาว แล้ววางสมุนไพรในมือลง และนั่งยองเหม่อลอยอยู่บนพื้น  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ายื่นมือออกมาปัดเส้นผมที่ปรกอยู่หน้าผากนาง แล้วถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นอะไรหรือ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งเงยหน้ามองเขา ครั้นจะปริปากเล่าเรื่องของเย่ว์เอ๋อร์และท่าป๋าหั่นหลินให้เขาฟัง ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มเล่าจากตรงไหน จึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง  

 

 

“หากอยากเล่าให้ข้าฟังก็เล่า หากไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า อย่าถอนหายใจอีกเลย ดูสิ รอยย่นเต็มหน้าผากหมดแล้ว” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหัวเราะขบขัน แล้วมองค้อนเขาทีหนึ่ง “ข้าเพิ่งอายุสิบห้า หน้าผากมีรอยย่นนี่เร็วไปหรือไม่” 

 

 

เมื่อเห็นนางยิ้ม เยียลี่ว์อาเป่าก็ยิ้มตามแล้วยื่นแขนออกไปโอบกอดนางไว้ พูดขึ้นว่า “ยิ้มได้เสียทีนะ หากเจ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ข้าคงปวดใจตายแน่เลย” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา นางดึงมือเขาออก ลุกขึ้นยืน แล้วให้เขาไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้อีกฝั่งหนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ชุบน้ำบิดหมาด หลังจากช่วยเช็ดมือให้เขาจนสะอาดแล้ว ตนจึงไปล้างมือ จากนั้นก็รินน้ำแก้วหนึ่งส่งไปให้เขา แล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเริ่มเล่าเรื่องตั้งแต่หวงฝู่เย่าเย่ว์แอบหนีออกจากเมืองหลวงไปชายแดนให้เขาฟัง  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าฟังอย่างตั้งใจ คอยจิบน้ำเป็นพักๆ เมื่อหวงฝู่สือเมิ่งเล่าจบ เขาก็รีบรินน้ำอีกแก้วหนึ่งยื่นไปให้นาง “ดื่มน้ำให้คอชุ่มชื่นก่อนนะ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งรับไว้ แล้วค่อยๆ ดื่มน้ำลงไปจนหมดแก้ว แล้วจึงถามเยียลี่ว์อาเป่าว่า “เจ้าคิดว่าท่าป๋าหั่นหลินตบแต่งเย่ว์เอ๋อร์มีจุดประสงค์อะไรกันแน่” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าพูดเพียงเบาๆ ว่า “เย่ว์เอ๋อร์ชอบเขาไม่ใช่หรือ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งชะงัก มองเขาอย่าไม่น่าเชื่อ ถามขึ้นว่า “แค่นี้หรือ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้า “แค่นี้แหละ” 

 

 

“เจ้า…” 

 

 

“ตอนนี้งานแต่งงานถูกกำหนดไว้แล้ว เราก็ควรส่งนางออกเรือนด้วยความยินดี ไม่มีประโยชน์อันใดที่พวกเจ้าต้องหน้าอมทุกข์เช่นนี้” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

“ไม่มีแต่ว่า เย่ว์เอ๋อร์เป็นท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี หน้ามีฮ่องเต้รัฐอู่คอยปกป้อง หลังยังมีพวกเรา แม้ฮ่องเต้รัฐอิงจะมีความโกรธแค้น ก็ไม่กล้าทำอะไรเกินไปหรอก มากสุดก็แค่เย็นชาใส่นางพักหนึ่ง เมื่อผ่านไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” 

 

 

“แค่นี้จริงๆ หรือ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าพยักหน้า “หากฮ่องเต้รัฐอิงคิดเป็นจริงๆ จะต้องเข้าใจหลักสัจธรรมนี้” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้ไปจวนอ๋องฉีอีกเลยตลอดสามวัน เขารอฟังข่าวอยู่ที่โรงเตี๊ยม  

 

 

หลังจากผ่านไปสามวัน กลับไม่มีข่าวคราวใดๆ ส่งมา ท่าป๋าหั่นหลินเริ่มกระวนกระวาย เมื่อเก็บสัมภาระของตนเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมจะไปจวนอ๋องฉีอีกครั้ง แต่ลูกน้องก็รายงานว่ามีคนจากจวนอ๋องฉีมาขอเข้าพบ  

 

 

หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ ก็สั่งเขาให้นำคนเข้ามา  

 

 

ผู้ดูแลจวนอ๋องฉีเดินตามขึ้นมาชั้นบน เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม พูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องสั่งให้ข้ามาบอกว่ายินยอมให้ท่านและเย่ว์เอ๋อร์แต่งงานในเร็ววัน อย่างเร็วที่สุดคือสามเดือนให้หลัง ส่วนวันที่แน่ชัดนั้น ได้โปรดท่านหาฤกษ์อันเหมาะสมแล้วแจ้งเราด้วยขอรับ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเผยสีหน้าดีใจ  

 

 

ผู้ดูแลจวนพูดต่อว่า “ท่านอ๋องบอกว่า ในเมื่อท่านได้ตามสิ่งที่หวังแล้ว ก็รีบกลับไปเตรียมตัวเถอะขอรับ ไม่ต้องไปกล่าวลาที่จวนอ๋องแล้วขอรับ” 

 

 

สีหน้าดีใจบนใบหน้าท่าป๋าหั่นหลินพลันหายไป ความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่ 

 

 

ผู้ดูแลจวนยืนต่อหน้าเขาอย่างนอบน้อม รอคอยเขาตอบ  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินฝืนเก็บอารมณ์โกรธของตนไว้ พยายามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปบอกท่านอ๋อง ข้าจะกลับรัฐอิงเดี๋ยวนี้” 

 

 

“ขอรับ ข้าน้อยจะกลับไปรายงานขอรับ” 

 

 

หลังจากผู้ดูแลจวนพูดจบและคารวะแล้ว ก็หันหลังเดินออกจากห้องไป  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินโกรธจนถีบเก้าอี้ตรงหน้าล้ม ความเดือดพล่านในใจยังคงไม่ผ่อนเบาลง เขาหยิบแก้วน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาเขวี้ยงลงบนพื้น  

 

 

ผู้ดูแลจวนได้ยินเสียง ฝีเท้าก็ชะงักเล็กน้อย แต่ก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมกลับจวนอ๋องฉีไปด้วยสีหน้าดังเดิม  

 

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง ท่าป๋าหั่นหลินก็นำลูกน้องออกจากโรงเตี๊ยม แล้วกลับรัฐอิงไป  

 

 

เมื่ออ๋องฉีได้รับรายงาน ดวงตาเขาก็หม่นหมอง สีหน้าทุกข์ทรมานผิดปกติ  

 

 

หลังจากหนึ่งเดือน รถม้าที่บรรทุกสินสอดกว่าร้อยคันก็มาถึงหน้าประตูเมืองอย่างโอ่อ่า โดยมีผู้นำขบวนคือท่าป๋าเลี่ยผู้เป็นท่านแม่ทัพแห่งรัฐอิง  

 

 

พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเมืองทันที ท่าป๋าเลี่ยสั่งคนให้ยกสินสอดทั้งหมดลงตรงหน้าประตูเมือง เปลี่ยนเป็นให้คนหาบสองคน แล้วเดินไปที่จวนอ๋องฉีด้วยเสียงดนตรีอึกทึกครึกโครม  

 

 

นายประตูเห็นคนกลุ่มหนึ่งแบกของมาแต่ไกล และยังมีเสียงกลองดังไปทั่ว เขาก็คิดไม่ตก เพราะช่วงนี้เขาไม่ได้ข่าวว่าคุณหนูคนไหนในจวนจะแต่งงานเลยนี่ คนเหล่านี้กำลังไปสู่ขอบ้านหลังไหนกันแน่  

 

 

เขาคิดพลางมองพลาง พลันรู้สึกตงิดขึ้นมา เพราะคนกลุ่มนี้เดินตรงมาที่จวนอ๋อง เขาจึงรีบเดินไปหา และยืนดักทุกคนไว้ แล้วถามเสียงดังว่า “พวกเจ้าคือ…” 

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นใบหน้าของท่าป๋าเลี่ยที่นั่งอยู่บนม้า เขารีบตั้งสติ และหันหลังวิ่งเข้าไปในจวนอ๋องทันที “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” 

 

 

คนในจวนไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย ทุกคนต่างทำงานของตนเช่นทุกวัน นายประตูวิ่งพลางร้องตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเสียงกลองที่ดังอึกทึก ทำเอาทุกคนตื่นตกใจ อ๋องฉีที่กำลังดูการฝึกซ้อมต่อสู้ระหว่างหวงฝู่เฮ่าและหวงฝู่รุ่ยกับเยียลี่ว์อาเป่าก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที เขาขมวดคิ้ว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินแล้วเช่นกัน นางจึงสั่งชิงหลวน “ไปดูหน่อยซิว่าเกิดอะไรขึ้น” ชิงหลวนรีบเดินออกจากเรือนไป ดักนายประตูไว้ ขมวดคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” 

 

 

“คนรัฐอิงแบกของกำนัลมามากมาย น่าจะเป็นสินสอดขอรับ” นายประตูตอบอย่างรีบร้อน  

 

 

ชิงหลวนหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนทันที แล้วรายงานเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เดินหน้าคร่ำเครียดออกมา  

 

 

นอกจวน เสียงกลองยังคงดังสนั่น จนทำให้รู้สึกรำคาญ  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป นางหรี่ตามองดูท่าป๋าเลี่ยที่ยังคงนั่งอยู่บนม้าอย่างสุภาพ  

 

 

เมื่อท่าป๋าเลี่ยเห็นคนที่เดินออกมาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เม้มปากอย่างไม่สบอารมณ์ เขาโบกมือ สั่งให้หยุดตีกลอง นั่งพูดเสียงดังกังวานอยู่บนม้าว่า “ข้าได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาส่งมอบสินสอดให้จวนอ๋องฉี โปรดให้ซื่อจื่อจวนอ๋องฉีออกมาเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาพูดอย่างเย่อหยิ่งและไม่มีมารยาท ก็แสดงท่าทีเย็นชา สั่งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ชิงหลวน จูหลี!” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” 

 

 

“สั่งสอนมารยาทเขาหน่อย” 

 

 

“เจ้าค่ะ!” 

 

 

พูดจบ ทั้งสองก็กระโดดจู่โจมเข้าหาท่าป๋าเลี่ยทันที  

 

 

ท่าป๋าเลี่ยไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะสั่งคนลงมือทันทีที่พบเขา เขารีบตอบโต้อย่างร้อนรน ผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า ก็ถูกโจมตีจนเขาล้มลงจากม้า ตกลงบนพื้นอย่างทุลักทุเล  

 

 

ชิงหลวนและจูหลีกระโดดกลับไปข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

คนรัฐอิงที่มาด้วยกันนั้นต่างตกใจ ครั้นกำลังจะถามด้วยความโมโห เสียงเย็นชาของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “ให้ท่าป๋ามาด้วยตนเองภายในสิบวัน” 

 

 

พูดจบ ก็หันหลังเดินเข้าไปในจวน  

 

 

เสียงเย็นชาดังเข้าหูพวกเขาอีกครั้ง “องครักษ์ประจำจวนคอยคุ้มกัน และเฝ้ามองพวกเขาไว้ด้วย หากมีสิ่งผิดปกติใดๆ ให้ฆ่าทิ้งเสีย” 

 

 

องครักษ์ประจำจวนนับไม่ถ้วนกระโดดออกมายืนคุ้มกันหน้าประตูจวน  

 

 

ท่าป๋าเลี่ยอึ้ง เขามองประตูจวนอ๋องที่เปิดอ้ากว้างอย่างมึนงง และมองดูแผ่นหลังของเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินจากไปไกลอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี  

 

 

คนรัฐอิงทุกคนก็อึ้ง พวกเขาเดินทางมาส่งสินสอดจากแดนไกล แต่เพิ่งเจอกันเพียงครู่หนึ่งก็ถูกแผลงฤทธิ์ใส่ ไม่เพียงแต่ท่านแม่ทัพที่ถูกโจมตี ชีวิตของตนก็ถูกคุกคามเช่นกัน  

 

 

ผู้คนที่มามุงดูกลับคึกคัก จากภาพการส่งมอบสินสอดกลับกลายเป็นภาพการชักดาบสู้กัน ซื่อจื่อเฟยยังขอให้ฮ่องเต้รัฐอิงมาด้วยตนเองอีก ดูท่าความสนุกเพิ่งจะเริ่มขึ้น  

 

 

คนในจวนต่างเดินลอยเชิดหน้าชูตาเข้ามา 

 

 

ท่าป๋าเลี่ยดึงสติกลับมา เขากัดฟันกรอดสั่งว่า “หาที่พักในโรงเตี๊ยมก่อน แล้วรีบกลับไปส่งข่าวให้ฝ่าบาท” 

 

 

คืนวันที่สี่ ท่าป่าหั่นหลินที่กำลังจะบรรทมก็ทราบข่าว เขาโกรธกริ้วจนเขวี้ยงของทุกอย่างในห้องบรรทม  

 

 

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ม้าสิบกว่าตัวก็ทะยานออกจากวัง มุ่งหน้าไปที่ชายแดนรัฐอู่  

 

 

หลังจากผ่านไปเก้าวัน ท่าป๋าหั่นหลินที่เหนื่อยแทบตายก็มาถึงประตูเมือง  

 

 

ทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเมืองเดินขึ้นหน้าและแจ้งตำแหน่งของโรงเตี๊ยม  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมาถึงโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ท่าป๋าเลี่ยเดินขึ้นหน้า ครั้นกำลังจะคารวะ ก็ถูกเขาถีบจนกระเด็นล้มลงบนพื้น “เจ้าคนไร้ประโยชน์ เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้”  

 

 

ท่าป๋าเลี่ยถูกถีบจนล้มขมำ เขารีบลุกขึ้นมาคุกข่า “โปรดอภัยด้วยขอรับ ข้าน้อย…” 

 

 

“กลับไปค่อยลงโทษเจ้า สั่งคนเตรียมน้ำอุ่นไว้ หลังจากข้าอาบน้ำแล้วจะรีบไปส่งสินสอดที่จวนอ๋องฉีทันที” 

 

 

ท่าป๋าเลี่ยขานรับ รีบสั่งลูกน้องไปเตรียมน้ำอุ่น  

 

 

หลังจากท่าป๋าหั่นหลินอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ตั้งสติ แล้วสั่งคนไปส่งจดหมายที่จวนอ๋องฉีก่อน จากนั้นจึงสั่งคนยกสินสอดมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉีอีกครั้ง  

 

 

ผู้ดูแลจวนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว เมื่อเห็นท่าป๋าหั่นหลิน ก็เชิญเขาเข้าไปอย่างสุภาพ “ซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยอยู่ที่เรือนรับรองขอรับ ท่านตามข้ามาเถอะขอรับ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินก้าวเท้าเดินเข้าไปในจวน ครั้นลูกน้องกำลังจะก้าวตามเข้าไปด้วย ก็ถูกโจวอันยื่นมือมากั้นไว้ “ซื่อจื่อสั่งไว้แล้ว คนไม่เกี่ยวข้องให้รออยู่ข้างนอก” 

 

 

หลังจากเดินเข้าไปในเรือนรับรอง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ประธานอย่างสุภาพ แววตาท่าป่าหั่นหลินลอกแลก ครั้นกำลังจะโค้งตัวคำนับ เสียงประชดประชันของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “มิต้องหรอก เรามิบังอาจให้ฮ่องเต้แห่งรัฐอิงทำความเคารพ ข้าจะส่งลูกสาวออกเรือนยังต้องขอร้องให้ท่านมาส่งมอบสินสอด เราสองสามีภรรยาอับอายขายหน้าไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว” 

 

 

ขาของท่าป๋าหั่นหลินอ่อนระทวย จนเกือบจะคุกเข่าลงไป เขารีบอธิบายว่า “แม่ยาย ข้า…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด นางพูดต่อว่า “การงานของฮ่องเต้รัฐอิงนั้นยุ่งวุ่นวาย เรื่องนี้เราสองคนเข้าใจดี แต่ว่าแม้ท่านจะส่งคนมาส่งสินสอดแทนท่าน ก็ควรหาคนที่เคารพและให้เกียรติเรามิใช่หรือ แต่นี่อะไร คนที่รู้ก็รู้ว่ามาส่งสินสอด แต่คนที่ไม่รู้คงคิดว่ามาฉุดเจ้าสาวแต่งงาน ข้ามีชีวิตอยู่จนอายุป่านนี้ เพิ่งเคยพบเคยเห็นจริงๆ”