ตอนที่ 2066

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 2,066 : ชิวมู่ชิง!

 

“เห็นว่ามันได้ออกประกาศไปทั่ว ว่าหากพบเจอ 3 คนจากภูมิภาคเบื้องล่างนั่นอีกครั้ง มันจะฆ่าทั้งหมดให้ตาย ไม่เหลือแม้แต่ศพไว้กลบฝัง!”

 

เสียงดังกล่าวยังคงดังเข้าหูต้วนหลิงเทียนจนจบ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้

 

ว่าราชันเม็ดยาซุนยิงที่อีกฝ่ายกล่าวถึง สมควรเป็นเฒ่าชราฝีมือร้ายกาจเจ้าของสวนสมุนไพรที่เขา กู่ลี่ และจูลู่ฉี บังเอิญสุ่มโผล่ครั้งมาถึงภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าครั้งแรกแน่นอน…

 

ซุนยิงคิดขังพวกเขาทั้ง 3 เอาไว้เพื่อให้เป็นทาสคอยทำงานในสวนสมุนไพร!

 

ต่อมาด้วยแผนของผู้เฒ่าหั่ว และได้รับความร่วมมือจากกูลี่และจูลู่ฉี เขาก็ได้ขโมยโอสถและสมุนไพรทั้งหมดในสวนสมุนไพรของซุนยิงจนเกลี้ยง หลังจากนั้นก็เล่นละครเล็กน้อย ค่อยหลบหนีออกมาได้สำเร็จ

 

อย่างไรก็ตามตอนนั้นพวกเขาไม่รู้ตัวตนของชายชราเจ้าของสวนสมุนไพรคนนั้น

 

“ซุนยิง ราชันเม็ดยา? ปรมาจารย์เซียนหลอมโอสถระดับเทียมสวรรค์? ผู้ฝึกตนพเนจร รั้งอยู่ในอันดับที่ 275 ของรายนามยอดเซียน?”

 

มาวันนี้พอได้รู้ว่าตัวตนเจ้าของสวนสมุนไพรคืออะไร ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกลัวใจไปพักหนึ่ง!

 

ยอดฝีมือที่ติดอยู่ในอันดับที่ 275 ของรายนามยอดเซียนได้…มั่นใจได้ 100 ส่วนว่ามันคือเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนแน่นอน! และต่อให้จะไม่ใช่ชนชั้นสุดยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน แต่ก็ต้องมีพลังฝีมืออยู่ในระดับแนวหน้า!!

 

‘โชคดีที่ตอนนั้นพวกเราหนีออกมาได้อย่างราบรื่น…ไม่งั้นพวกเรา 3 คนคงได้แต่พรวนดินรดน้ำไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันแน่’

 

เมื่อทราบว่าพลังฝีมือซุนยิงร้ายกาจเพียงใด ต้วนหลิงเทียนก็ลอบขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ

 

ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ต่อให้เขาใช้พลังทั้งหมดด้วยกระบี่นิลสวรรค์ฆ่าปู้หงของลัทธิบูชาไฟได้ก็จริง แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นแค่อันดับที่ 421 ในรายนามยอดเซียนเท่านั้น

 

เกรงว่าตอนนี้ต่อให้เขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของซุนยิง

 

‘ตอนนี้จ้าววังจูสมควรกลับไปถึงภูมิภาคเบื้องล่าง และแจ้งข่าวที่ตำหนักเมฆาครามเรียบร้อยแล้ว…หวังว่าท่านพ่อจะพาคนของตำหนักเมฆาครามลี้ภัยไปซ่อนตัวได้ทัน ก่อนที่หยางชง อาวุโส 5 วังอุดรไพศาลจะหาเจอ’

 

เมื่อนึกถึงซุนยิง ต้วนหลิงเทียนอดนึกถึงจูลู่ฉีขึ้นมาเสียไม่ได้ อย่างไรอีกฝ่ายก็ร่วมชะตากรรมเดียวกันกับเขาในตอนนั้น

 

จูลู่ฉีได้รับความไว้วางใจจากเขาให้ทำหน้าที่สำคัญ ลงไปแจ้งข่าวบิดาเขาที่ภูมิภาคเบื้องล่าง…

 

อย่างไรก็ตามเกรงว่ากระทั่งหลับต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจฝันถึง

 

ว่าจูลู่ฉีได้ตกตายไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว!

 

จูลู่ฉีไม่ได้กลับไปถึงภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าแต่อย่างใด เนื่องจากค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามภูมิภาคเกิดความผิดพลาด ทำให้มันถูกส่งตัวไปยังแดนเนรเทศ สุดท้ายก็ถูกอาวุโส 10 ของเผ่าพันธุ์ปีศาจวัวสังหาร!

 

‘พี่กู่…’

 

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็นึกถึงกู่ลี่ ‘ไม่รู้ป่านนี้พี่กู่เป็นไงบ้าง…’

 

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหม่อคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้นเอง เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเห็นร่าง 2 ร่างที่กำลังเดินมายังโต๊ะที่เขานั่ง

 

ร่างสองร่างที่กำลังเดินมานั้นเป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง

 

ชายหนุ่มผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาจัดว่าดูดี

 

แต่แน่นอนว่ายังเทียบกับโฉมปลอมของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ไม่ได้

 

และไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียนก่อนหรือหลังแปลงโฉมมันก็เทียบไม่ได้เช่นกัน เอาแค่ใบหน้าปลอมที่จงใจลดทอนความหล่อลงแล้ว ก็ยังดูดีกว่ามันมาก…

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ยามที่ชายหนุ่มเดินมาถึงข้างโต๊ะต้วนหลิงเทียนและแลเห็นหน้าตาเขา สีหน้ามันจึงเผยความไม่สบอารมณ์ขึ้นมาตั้งแต่แรกเห็น

 

เป็นความรู้สึกด้อยกว่าที่ทำให้เสียอารมณ์และขัดใจถึงขีดสุด ในใจเริ่มบังเกิดความไม่พอใจขึ้นมา

 

สำหรับหญิงสาวที่เดินมาข้างๆมัน นับว่ามีใบหน้างดงามน่าดูเหลือเกิน เสน่ห์ของนางนับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว มากพอจะสะกดสายตาชายหนุ่มน้อยใหญ่ให้เหลียวมองอย่างลืมตัว ยังชวนมองเสียจนทำให้บรรยากาศโดยรอบคล้ายจืดลงถนัดตา

 

ต้องกล่าวเลยว่านางนับเป็นโฉมงามพิลาศคนหนึ่ง

 

ถึงแม้จะไม่อาจเทียบภรรยาของต้วนหลิงเทียนอย่างเค่อเอ๋อและลี่เฟยได้ ทว่านางก็ด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นับได้ว่าเป็นโฉมงามที่หาได้ยากในภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าคนหนึ่ง

 

ที่สำคัญแม้นางจะมีรูปโฉมงดงาม หากแต่บรรยากาศรอบกายกลับเป็นเอง แลดูเข้าถึงได้ง่าย

 

ด้วยชุดสีขาวบริสุทธิ์ กับท่าทางสบายๆ ทำให้นางคล้ายนางเซียนน้อยที่ลงมาเที่ยวเล่นคนหนึ่ง

 

“คุณชายท่านนี้สบาย ตอนนี้ในเหลาอาหารมิมีโต๊ะเหลือให้นั่งอีกแล้ว…หากไม่เป็นการรบกวนคุณชายเกินไป มิทราบให้พวกเรานั่งร่วมโต๊ะด้วยได้หรือไม่?”

 

สตรีชุดขาวมองต้วนหลิงเทียนที่กำลังเหม่อคิดอยู่ ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มชวนให้ผู้ฟังรู้สึกสบายหูดั่งมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน…

 

เมื่อได้ยินเสียงใสกล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนก็หายเหม่อ ดึงสติลับมาอยู่กับตัวทันที

 

แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเพราะทั้ง 2 คนที่เข้ามาไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายอะไรกับเขา เขาจึงยังนั่งเหม่ออยู่ได้ หากทั้งคู่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของจิตมุ่งร้าย เขาย่อมรู้ตัวแต่แรก

 

“หือ? เจ้าว่าอะไรนะ?”

 

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายวาบหนึ่งเมื่อแลเห็นสตรีชุดขาวด้านหน้า ตั้งแต่มาที่ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า ต้วนหลิงเทียนยังไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดงดงามเท่านางมาก่อน

 

เป็นธรรมดาว่าไม่นับก่านหรูเยี่ยน เพราะนางหน้าตาเหมือนเค่อเอ๋อ

 

“ตอนนี้ในเหลามิมีโต๊ะเหลืออยู่เลย…หากไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ไม่ทราบพวกเราขอนั่งร่วมโต๊ะกับคุณชายได้หรือไม่?”

 

สตรีชุดขาวค่อยๆกล่าวถามออกมาอีกครั้ง แก้มของนางยังแดงเรื่อขึ้นมาคล้ายเขินอายอยู่บ้าง

 

นั่นเพราะนางพบว่ายามบุรุษเบื้องหน้ามองมาที่นาง แววตาของอีกฝ่ายกลับกระจ่างใสไร้ความคิดอกุศลอะไรเหมือนสายตาที่บุรุษผู้อื่นใช้มองนาง ยังใสบริสุทธิ์จนน่ามอง

 

นางประทับใจแววตาของอีกฝ่ายมาก กระทั่งยังรู้สึกชื่นชมเจ้าของสายตาเช่นนี้ขึ้นมาจากใจ

 

ตั้งแต่ที่นางเติบโตมา นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกประทับใจในตัวบุรุษอื่นนอกจากคนในครอบครัวของนาง

 

เช่นนั้นแก้มนางจึงอดไม่ได้ที่จะแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

 

“ได้สิ”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

นอกจากสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายใดๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังประทับใจท่าทีใสซื่อเหนียมอายของสาวน้อยเบื้องหน้าเล็กน้อย

 

ตั้งแต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่แม้แต่จะเหลือบแลชายหนุ่มที่มากับนาง

 

และเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเห็นว่าสตรีข้างกายสนทนากับต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นกันเอง อีกทั้งนางยังเผยทีท่าเขินอายออกมา ลูกตามันก็ฉายโทสะออกชัด

 

ในใจของมันเห็นสตรีนางนี้เป็นสตรีของมันมานานแล้ว

 

อย่างไรก็ตามกับมัน…สตรีนางนี้ไม่แม้แต่จะเผยทีท่าขวยเขินอะไรแบบนี้ให้เห็นเลย!

 

ดังนั้นมันถึงได้มีโมโหเป็นฟืนไฟ!

 

“ขอบคุณท่าน”

 

สตรีในชุดขาวกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียน หลังจากนั้นก็เลือกที่จะนั่งลงข้างต้วนหลิงเทียน

 

โต๊ะอาหารกับเก้าอี้ในเหลาอาหารแห่งนี้ เป็นโต๊ะรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสามารถนั่งได้อย่างไม่แออัด 4 คน โดยมีเก้าอี้ยาวสามารถนั่งได้ 2 คนตั้งอยู่ตรงข้ามกันในด้านยาวของโต๊ะ ส่วนหัวโต๊ะอันเป็นด้านกว้างทั้งสอง ด้านหนึ่งติดหน้าต่าง อีกด้านติดทางเดิน เพื่อไม่ให้เกะกะจึงมิอาจตั้งเก้าอี้ไว้นั่งได้

 

ด้วยความที่นางไม่อยากนั่งกับชายหนุ่มที่มาด้วยกัน เช่นนั้นนางก็ได้แต่เลือกนั่งลงข้างๆต้วนหลิงเทียน

 

เพราะสำหรับนางแล้วชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ อย่างน้อยๆก็มองนางด้วยสายตาบริสุทธิ์ไร้ความคิดอกุศลแม้แต่น้อย ทำให้นางรู้สึกวางใจและปลอดภัย

 

อยู่ๆสตรีชุดขาวก็มานั่งลงข้างๆแบบนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจทั้งคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำหอมที่โชยมาเตะจมูกก็ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายใจจนไม่รังเกียจอะไร

 

ส่วนด้านชายหนุ่มที่มากับสตรีชุดขาว พอเห็นแบบนี้ก็แทบจะแปลงร่างเป็นยักษ์กินคน!

 

ต้องมาเห็นตำตาว่าสตรีข้างกาย…กลับเลือกที่จะไปนั่งข้างบุรุษที่ใดก็ไม่รู้แต่ไม่ยอมนั่งลงข้างมัน! เพลิงโทสะทั้งความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นในใจทันที!!

 

“ชิงเอ๋อ…เจ้าไปนั่งกับบุรุษแปลกหน้าเช่นนั้นได้อย่างไรกัน มานั่งข้างข้าเถอะ”

 

หลังชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งลงตรงข้ามแล้ว มันก็เอ่ยกล่าวกับสตรีชุดขาวออกมาในเวลาที่เหมาะสม ในวาจาคล้ายจะเน้นย้ำคำคนแปลกหน้าให้นางฟัง

 

เพราะมันคิดว่าพอนางคิดถึงเรื่องนี้ ต้องย้ายมานั่งข้างมันแน่นอน

 

“ตงฟางฉู่ ข้าจักบอกท่านอีกครั้ง…ชิงเอ๋อมิใช่นามที่ท่านจะเรียกหาได้ เพราะระหว่างเรามิได้สนิทสนมกันถึงเพียงนั้น! ท่านเรียกข้าว่าชิวมู่ชิงตรงๆเถอะ!”

 

หลังได้ยินคำเรียกหาจากชายหนุ่มนาม ตงฟางฉู่ แต่ต้นจนจบอากัปรกิริยาทั้งวาจาของสตรีชุดขาวนั้นอ่อนโยนดั่งสายน้ำไหล ทว่าใบหน้าที่แลดูน่ารักเป็นกันเองของนางยามนี้เผยความเยียบเย็นไม่น้อย เสียงกล่าวยังห้วนเย็นราวมีโทสะขึ้นมาบ้างแล้ว

 

ชิวมู่ชิง?

 

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนที่นั่งอยู่ก็พลอยได้ยินชื่อของนางด้วยเช่นกัน ยังอดไม่ได้ที่จะยกย่อง ‘นามอันประเสริฐ’ อยู่ในใจ

 

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนยังพบว่าสตรีนามชิวมู่ชิงนี้ แม้จะมาพร้อมกันกับบุรุษนามตงฟางฉู่แท้ๆ แต่ท่าทางจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไหร่

 

ไม่เพียงแต่ไม่สนิทสนม ยังคล้ายนางจะรังเกียจอีกฝ่ายด้วย

 

และนี่ทำให้เขาสับสนไม่น้อย ‘ในเมื่อนางไม่ชอบหน้าตงฟางฉู่…แล้วไฉนต้องมาหาอะไรกินที่เหลาอาหารพร้อมมันด้วยเล่า?’

 

จิตใจสตรี ลึกดั่งเข็มในมหาสมุทร…

 

นับว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ!

 

แต่อย่างไรก็ตามลึกลงไปในใจเขายังรู้สึกประทับใจกับท่าทีของชิวมู่ชิงคนนี้อยู่บ้าง

 

ได้ยินคำของชิวมู่ชิง สองตาตงฟางฉู่เผยประกายเยียบเย็น หากแต่ใบหน้ายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม “ให้ข้าเรียกเจ้าด้วยชื่อเต็มย่อมห่างเหินเกินไป…ในเมื่อเจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกหาเจ้าเช่นนั้น ข้าเรียกเจ้าว่าคุณหนูมู่ชิงเป็นไร?”

 

“ท่านเรียกข้าว่า แม่นางชิวเถอะ”

 

ชิวมู่ชิงกล่าวตอบด้วยเสียงไม่แยแส

 

“เอาล่ะๆ…ทุกอย่างข้าล้วนตามใจเจ้า เมื่อเจ้าอยากให้ข้าเรียกแม่นางชิว เช่นนั้นข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแม่นางชิว…”

 

ตงฟางฉู่กล่าวออกด้วยรอยยิ้มเอาอกเอาใจ ทว่าในใจนั้นลอบสาปแช่งคาดโทษไม่น้อย

 

‘นังแพศยานี่ถือตัวนักนะ! รอให้เจ้าแต่งกับข้าก่อนเถอะ ข้าจักถล่มเจ้าอย่างไร้เมตตา! คอยดูไปเถอะว่ายามเจ้ายับเยินอยู่ใต้ร่างข้าเจ้าจักถือดีอันใดได้อีก!’

 

“แม่นางชิว เรื่องที่ข้าพึ่งกล่าวไปเมื่อครู่…”

 

ขณะเดียวกันตงฟางฉู่ก็กล่าวกระตุ้นเตือนชิวมู่ชิงออกมาอีกครั้ง มันย่อมไม่อยากให้ชิวมู่ชิงนั่งข้างต้วนหลิงเทียนแต่ลุกมานั่งข้างๆมันแทน

 

มันไม่อยากพลาดโอกาสใกล้ชิดหญิงงาม

 

ยิ่งไปกว่านั้นบุรุษที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ก็หน้าตาหล่อเหลากว่ามันมากนัก อีกทั้งท่วงท่าก็แลดูสง่างามน่าเกรงขามกว่ามัน  ทำให้มันรู้ซึ้งถึงรสชาติของความพ่ายแพ้ตั้งแต่ไม่ทันได้สู้

 

“มิเป็นไร ข้านั่งตรงนี้ดีแล้ว”

 

อย่างไรก็ตามชิวมู่ชิงกล่าวตัดบทตงฟางฉู่อีกครั้ง เลือกยืนกรานจะนั่งข้างๆต้วนหลิงเทียน

 

จังหวะนี้สีน้าตงฟางฉู่มืดลงทันที

 

ในเมื่อไร้ประโยชน์ที่จะเปลี่ยนใจชิวมู่ชิง ตงฟางฉู่จึงได้แต่หันไปหาทางข่มต้วนหลิงเทียนแทน

 

“คุณชายท่านนี้มิทราบเรียกว่าอะไร ส่วนข้าคือตงฟางฉู่…คุณชายรองของตระกูลตงฟาง 1 ใน 3 ตระกูลใหญ่แห่งเมืองคงหมิง! บิดาของข้าคือผู้นำตระกูลตงฟางคนปัจจุบัน!”

 

ตงฟางฉู่มองถามต้วนหลิงเทียนพร้อมแนะนำตัวเองด้วยใบหน้าถือดี น้ำเสียงฟังดูภาคภูมิใจไม่น้อย