ตอนที่ 770 พลังที่แท้จริง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เวลานี้ ทั้งโรงเตี๊ยมปกคลุมไปด้วยแรงกดดันทรงพลังยิ่งกว่าเดิม และครานี้มันเป็นแรงกดดันที่รุนแรงจนแม้แต่ฉินอวี้โม่ก็แทบเข่าทรุดลงไปกับพื้น นับประสาอะไรกับจอมยุทธ์ที่อ่อนแอคนอื่น ๆ ที่คุกเข่าล้มลงในสภาพที่น่าเวทนา

“นั่นมันผู้อาวุโสของตระกูลโจว—โจวเฉียน !”

จอมยุทธ์คนหนึ่งที่พอจะทราบข้อมูลของตระกูลโจวอยู่บ้างก็กล่าวเปิดเผยตัวตนของคนผู้นั้นทันที

‘โจวเฉียน’ คือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลโจวซึ่งเป็นรองเพียงผู้นำตระกูลโจวคนเดียวเท่านั้น และเขายังเป็นอาจารย์ของโจวหังรุ่ยอีกด้วย

เขาเป็นคนจิตใจคับแคบและไร้เหตุผลอย่างที่สุด คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาบาดหมางกับโจวหังรุ่ยก่อนหน้านี้ล้วนถูกจัดการโดยฝีมือของโจวเฉียนผู้นี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความแข็งแกร่งที่น่าทึ่งและการหนุนหลังจากตระกูลโจวจึงไม่เคยมีผู้ใดกล้าประจันหน้ากับเขาอย่างซึ่ง ๆ หน้ามาก่อน

“เหอะ น่ารังเกียจจริง ๆ ตัวเองเอาชนะไม่ได้ก็เรียกให้อาจารย์มาช่วย แล้วเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจของเมืองเทียนหยวนอย่างนั้นหรือ ? ช่างตลกสิ้นดี !”

แม้แรงกดดันทรงพลังนี้จะทำให้ฉื่อไท่หลางขยับเขยื้อนไม่ได้ เขาก็ไม่อาจทนอยู่เฉยและเอ่ยวาจาอย่างไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว เป็นถึงจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นกลางแต่เอาชนะอสูรมายาของจอมยุทธ์อวี้โม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะเรียกอาจารย์ออกมาช่วยอีก”

จางเหิงกล่าวอย่างเห็นด้วยและมีทัศนคติเช่นเดียวกับฉื่อไท่หลาง แม้ศัตรูที่กำลังเผชิญหน้าจะทรงพลังมาก พวกเขาก็ยังกล้าหาญและไม่เกรงกลัว

“สามหาวนัก เจ้าพวกเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ! รนหาที่ตายเสียแล้ว !”

น้ำเสียงโกรธเคืองดังขึ้นในหูของทุกคนและฝ่ามือวายุสองข้างฟาดเข้าใส่ฉื่อไท่หลางและจางเหิงทันที

ผลัวะ ! ผลัวะ !

ด้วยเสียงกระแทกที่ดังขึ้นมาสองครั้ง ร่างของบุรุษหนุ่มทั้งสองก็กระเด็นออกไปกระแทกผนังโรงเตี๊ยมและร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างแรงก่อนกระอักเลือดออกมาเพราะอาการบาดเจ็บ

จากนั้นท่ามกลางความว่างเปล่ากลางอากาศ บุรุษชราคนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมด้วยสายตาที่จับจ้องตรงไปที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อย่างเหยียดหยาม

“ฉื่อไท่หลาง จางเหิง พวกเจ้าเป็นอะไรรึไม่ ?”

ร่างของฉินอวี้โม่พุ่งตรงไปหาทั้งสองและช่วยตรวจสอบอาการเบื้องต้นของพวกเขาทันที เวลานี้คนอื่น ๆ ต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจและเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขาเช่นกัน จากนั้นแววตาของพวกเขาก็กลายเป็นความโกรธแค้นเมื่อหันมองตรงไปที่โจวเฉียน

“ไม่เป็นไรลูกพี่ พวกข้าไม่ตายไปง่าย ๆ หรอก”

ฉื่อไท่หลางเช็ดเลือดที่ไหลซึมจากมุมปากของตนด้วยท่าทางสบาย ๆ และยังไม่แสดงความหวาดกลัวใด ๆ เขาเงยหน้ามองโจวเฉียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้ หากมิใช่เพราะเขาอ่อนแอเกินไป เขาก็คงไม่ถูกอีกฝ่ายรังแกได้ง่าย ๆ เช่นนี้ วันหนึ่งที่ข้าแข็งแกร่งมากพอ ข้าจะเอาคืนเจ้าตาเฒ่านี่อย่างสาสม !

“ตาเฒ่าเอ๋ย แก่จนใกล้จะลงโรงอยู่แล้วยังคิดรังแกเด็กรุ่นหลังอีก ช่างหน้าไม่อายเลยจริง ๆ !”

ซิวปรากฏตัวตรงหน้ากลุ่มของฉินอวี้โม่อีกครั้งและเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันทรงพลังของผู้อาวุโสใหญ่โจวเฉียน

ความแข็งแกร่งของโจวเฉียนผู้นี้อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงเป็นอย่างต่ำ แม้ซิวและฉินอวี้โม่จะมีความสามารถในการต่อสู้ที่ทรงพลังและต่อกรกับจอมยุทธ์ที่มีระดับพลังเหนือกว่าตนเองได้ ทว่าหากต้องประจันหน้ากับจอมยุทธ์ขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงผู้นี้ เกรงว่าพลังของอีกฝ่ายจะอยู่เหนือกว่าพวกตนเกินไป

“เหอะ เจ้าเป็นอสูรมายาที่ดีทีเดียว บังเอิญว่าศิษย์ของข้ากำลังขาดแคลนอสูรพันธสัญญาที่ทรงพลังพอดี เจ้ายอมจำนนต่อข้าเสียจะดีกว่า แล้วอนาคตของเจ้าจะดีกว่าการติดตามเจ้านายผู้นี้มาก”

โจวเฉียนแสยะยิ้มออกมาและยังไม่รีบร้อนที่จะโจมตี เขามองซิวด้วยแววตาดูถูกราวกับมันตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาแล้ว

“เหอะ เจ้าที่มีใบหน้าใหญ่และยังมีหน้าตาน่าเกลียดเช่นนี้รึ ตาเฒ่าเอ๋ย เจ้าก็ใกล้จะตายเต็มที เหตุใดจึงกล่าววาจาเหล่านี้ได้อย่างไม่รู้จักอายเสียเลย ?”

แน่นอนว่าซิวไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายและสาดวาจาดูถูกตอบโต้ ด้วยอายุที่แก่จนถึงปูนนี้ทว่ากลับมีพลังเพียงแค่ระดับนี้เท่านั้น ช่างไม่มีความละอายใจจริง ๆ ที่กล้ากล่าววาจาเหยียดหยามผู้อื่นเช่นนี้

ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่ หากว่านางมีอายุเท่ากับเขา เกรงว่าพลังของนางในตอนนั้นคงจะบรรลุระดับที่ผู้คนในดินแดนนี้ไม่มีทางจินตนาการได้อย่างแน่นอน และการบดขยี้โจวเฉียนจนตายก็จะง่ายดายไม่ต่างจากการบีบมดตัวเล็ก ๆ

“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?!”

โจวเฉียนคิดไม่ถึงเลยว่าซิวจะกล้ากล่าววาจาดูถูกถากถางเขาเช่นนี้และนั่นทำให้เขาเดือดดาลอย่างที่สุด

“การที่หูไม่ดีเช่นนี้ เจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกัน ?”

ซิวยังคงกล่าววาจาถากถางต่อไป ถึงอย่างไรการต่อสู้ในวันนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และมันก็ไม่มีทางยอมก้มหัวให้อีกฝ่ายรังแกอย่างเด็ดขาด

“ตายซะเถอะ !”

สีหน้าของโจวเฉียนในตอนนี้โกรธแค้นอย่างที่สุดและเขาออกแรงเหวี่ยงฝ่ามือวายุโจมตีอย่างไร้ความปรานี

ซิวเองก็เหวี่ยงฝ่ามือตอบโต้เช่นกันทว่าการโจมตีของมันก็ไม่อาจต้านทานฝ่ามือวายุของอีกฝ่ายได้แม้แต่น้อยและสลายหายไปในชั่วพริบตา

จากนั้นซิวก็พุ่งตัวหลบจากฝ่ามือวายุของโจวเฉียนอย่างรวดเร็วส่งผลให้ฝ่ามือวายุนั้นกระแทกเข้ากับพื้นบนชั้นที่สามของโรงเตี๊ยมและเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ขึ้นทันที

ต้องกล่าวเลยว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษทั้งหมดและการที่โจวเฉียนทำให้มันเป็นรูโหว่เสียหายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

“ซิว อสูรเสริมร่าง !”

เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในโสตประสาทของซิว ในเวลานี้ต่อให้จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลัง สีหน้าของนางก็ยังไม่แสดงถึงความหวาดกลัวแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธ์ที่ทรงพลังอย่างโจวเฉียนก็สามารถพิสูจน์ให้นางเห็นได้ว่าตัวนางห่างไกลจากยอดฝีมือในระดับสูง ๆ อีกมากเพียงใด

“เข้าใจแล้ว !”

หลังจากสิ้นเสียงตอบรับ ร่างของซิวก็หายวับไปทันที

ร่างกายของฉินอวี้โม่เปลี่ยนแปลงไปทันที ความแข็งแกร่งเดิมในขอบเขตราชาเซียนครึ่งก้าวกลับกลายเป็นพลังในขอบเขตราชาเซียนเต็มตัวภายในชั่วขณะโดยมีเกราะที่ก่อตัวจากเพลิงร้อนระอุปกคลุมทั่วร่างกาย ในมือของนางมีกระบี่เล่มยาวที่ไหลเวียนไปด้วยเปลวเพลิงทรงพลังซึ่งนำพาแสงสว่างมาทั่วทั้งโรงเตี๊ยมแห่งนี้และทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความทรงพลังอันไร้ที่สิ้นสุดของมัน

จากนั้นนางก็ไม่รอช้าและพุ่งตรงเข้าโจมตีโจวเฉียนอย่างไม่ลังเล

“ฉื่อไท่หลาง เจ้าหาทางออกไปก่อน”

ในขณะเดียวกัน นางก็สื่อสารผ่านทางกระแสจิตเพื่อบอกให้ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ หลบหนีออกไปก่อน

ฉินอวี้โม่ทราบถึงความแตกต่างระหว่างตนและจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงดี การที่นางขัดขวางโจวเฉียนไว้สักระยะก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดของนางแล้วและไม่มีทางที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ตราบใดที่ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ หลบหนีออกไปก่อน หลังจากนั้นนางก็จะหาทางหลบหนีออกไปด้วยตนเองได้

“คิดจะหนีงั้นรึ ฝันไปเถอะ !”

โจวหังรุ่ยผู้ที่ยังคงมีใบหน้าบวมปูดและมีรอยฟกช้ำเรียกคืนความเย่อหยิ่งกลับคืนมาในขณะที่ตรงเข้าไปโจมตีฉื่อไท่หลางและพวกเพื่อขัดขวางพวกเขาไว้

“ลูกพี่อวี้โม่ ไม่ต้องห่วงพวกเรา หากมีโอกาส ท่านหลบหนีออกไปก่อนเถอะ”

ฉื่อไท่หลางและคณะศิษย์ตระกูลฉื่อร่วมมือกันเพื่อรับมือกับโจวหังรุ่ยพร้อมทั้งกล่าวบอกกับฉินอวี้โม่ ต่อให้มีความบาดหมางอยู่เต็มหัวใจ พวกเขาก็ยังเชื่อว่าตระกูลโจวคงไม่กล้าสังหารพวกเขาโดยตรง อย่างมากที่สุดก็คงทำให้พวกเขาบาดเจ็บจนปางตายเท่านั้น

“ใช้ประโยชน์จากวิชาที่ข้าสอนก่อนหน้านี้และแสดงให้เขาเห็นว่าพวกเจ้ามิใช่เป้าหมายที่จะรังแกได้ง่าย ๆ !”

ฉินอวี้โม่ไม่ตอบกลับโดยตรงทว่าเลือกที่จะกล่าวเช่นนี้ก่อนหันกลับไปประจันหน้ากับโจวเฉียนอย่างดุเดือด

ราวกับมีความเข้าใจตรงกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด ทั้งสองฝ่ายเหาะออกไปข้างนอกทันทีและหยุดลงเหนือโรงเตี๊ยม

ด้วยแรงเหวี่ยงกระบี่ยาวของฉินอวี้โม่ นางก็เพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นอย่างสุดขีดขณะโจมตีตรงเข้าใส่โจวเฉียน

เนื่องจากได้เห็นแล้วว่าคู่ต่อสู้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ โจวเฉียนจึงไม่กล้าประมาทขณะพลังมายาของเขาก่อตัวกลายเป็นกระบี่เล่มยาวเช่นกันและพุ่งออกไปปะทะกับนาง

ภายในโรงเตี๊ยม หลังจากได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ฉื่อไท่หลางและคณะก็สบตากันเล็กน้อยก่อนกระหน่ำโจมตีเข้าใส่โจวหังรุ่ย

ความโกรธแค้นหมักหมมอยู่เต็มในหัวใจและพวกเขาไม่คิดยั้งมืออย่างแน่นอน ในอำเภอซ่างหยวนก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่สอนทักษะการต่อสู้ระยะประชิดและการประสานงานร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อปรับใช้อย่างเหมาะสม และวันนี้พวกเขาก็ได้มีโอกาสใช้วิชาเหล่านั้นเพื่อร่วมกันโจมตีโจวหังรุ่ยตรงหน้าแล้ว

เวลานี้ โจวเฉียนซึ่งอยู่กลางอากาศก็รู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ พลังของฉินอวี้โม่เหนือกว่าความคาดหมายของเขาในทุกด้าน คิดไม่ถึงเลยว่าจอมยุทธ์อายุน้อยที่ใช้อสูรเสริมร่างจนมีพลังบรรลุในขอบเขตราชาเซียนเต็มตัวกลับกลายเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้ กระบี่เล่มยาวที่ก่อตัวจากเปลวเพลิงทรงพลังกอปรกับความเร็วอันน่าทึ่งทำให้เกิดกระบวนท่าที่ลึกลับและคาดเดาไม่ได้จนแม้แต่เขาก็รู้สึกกดดันอย่างมาก จอมยุทธ์ผู้นี้ หากปล่อยให้มีโอกาสเติบโตและพัฒนาต่อไปละก็ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือของดินแดนนี้อย่างแน่นอน

ตอนนี้เรียกได้ว่าเขาและนางก็มีความบาดหมางกันแล้ว หากไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้สำเร็จ มันจะนำไปสู่ปัญหาที่ไร้จุดสิ้นสุดในอนาคตอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้ จิตสังหารก็เริ่มปรากฏในแววตาของโจวเฉียนทันที

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสถึงจิตสังหารของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกทว่ายังคงไม่มีความหวาดหวั่นใด ๆ

การสังหารนางมิใช่เรื่องง่ายไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรงพลังเพียงใดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังมีไพ่ตายสำคัญอย่างคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ ต่อให้จะเอาชนะไม่ได้ นางก็จะหลบหนีออกไปได้อย่างไม่มีปัญหา

นางปล่อยการโจมตีที่รุนแรงตรงเข้าหาโจวเฉียนพร้อมทั้งประยุกต์ใช้ทักษะร่างกายอย่างเต็มพิกัด

กระบี่เพลิงในมือของนางก็จ้วงแทงเข้าที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้โดยที่พยายามทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส

น่าเสียดายที่การป้องกันของจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูงผู้นี้เหนือชั้นเกินไป แม้แต่การป้องกันของโจวหังรุ่ยก่อนหน้านี้ก็เทียบไม่ติดฝุ่น คมกระบี่ยาวแทบที่จะไร้ความหมายเมื่อเผชิญหน้ากับม่านป้องกันของโจวเฉียนและทำอะไรเขาได้ไม่มากนัก

ในตอนนี้ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะพบจุดอ่อนของโจวเฉียนได้หลายครั้งหลายครา ทว่านางก็ทำให้เขาบาดเจ็บไม่ได้

อย่างไรก็ตาม โจวเฉียนก็ต้องรับมือกับเรื่องน่าปวดหัวเช่นกัน เกราะเพลิงของฉินอวี้โม่ทำให้เขาหวั่นใจอยู่ลึกๆ ทุกคราที่การโจมตีของเขาปะทะเข้ากับเกราะดังกล่าว พลังของพวกมันจะถูกดูดซับไปทันที ยิ่งไปกว่านั้น คลื่นร้อนระอุจากเกราะทำให้เขาไม่กล้าสัมผัสมันโดยตรง แม้เป็นถึงจอมยุทธ์ราชาเซียนขั้นสูง ทว่าเพลิงอันทรงพลังนี้ก็เป็นอันตรายต่อเขามาก

การต่อสู้ของทั้งสองดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายและตอนนี้ก็มีคนมารวมตัวกันรอบโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่คนตระกูลโจวเท่านั้น ทว่าคนจากอีกหลายตระกูลและผู้ที่สัญจรผ่านไปมาต่างก็แวะหยุดและรวมตัวกันเพื่อชมการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่าย

เมื่อเห็นผู้คนที่มารวมตัวกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของโจวเฉียนก็กลายเป็นบิดเบี้ยว

“เจ้าเด็กสามหาวเอ๋ย ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของขอบเขตราชาเซียนขั้นสูง !”

โจวเฉียนแค่นเสียงเย็นชาขณะเพิ่มพลังจนถึงระดับสูงสุดทันที แรงกดดันของเขากดข่มฉินอวี้โม่อย่างรุนแรงมากขึ้นและพลังรอบตัวราวกับถูกยับยั้งไว้ส่งผลให้จอมยุทธ์ระดับต่ำทุกคนทั่วบริเวณเริ่มหายใจลำบากไปชั่วขณะ

“ฮึม…”

ซิวส่งเสียงอู้อี้ออกมาและเกราะเพลิงค่อย ๆ สลายตัวไป พลังมหาศาลของโจวเฉียนขัดขวางมันจากการหลอมเพลิงเป็นเกราะให้ฉินอวี้โม่ เรียกได้ว่าพลังในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงเหนือกว่าราชาเซียนขั้นกลางมากนักและทรงพลังจนเกินไป

“เจ้าเด็กโอหัง ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็นว่าพลังที่แท้จริงเป็นอย่างไร !”

โจวเฉียนกล่าววาจาเย็นชาอีกครั้งและจู่ ๆ ก้อนพลังขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าเขาซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังมายาอันน่าสะพรึงกลัวอย่างผิดปกติ ราวกับต้องการจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

“รับไปซะ !”

เขาเพียงสะบัดมือเบา ๆ และก้อนพลังดังกล่าวก็พุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่ทันที

สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปทันทีและยกมือขึ้นเพื่อก่อตัวผนึกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น โล่เพลิงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นขวางหน้าฉินอวี้โม่ไว้

ซิวเองก็พยายามรวบรวมพลังอีกครั้งและเกราะของมันก็ปกคลุมทั้งร่างของฉินอวี้โม่อย่างสมบูรณ์

ตูมมม !

เสียงปะทะดังสนั่นขณะก้อนพลังของโจวเฉียนกลืนกินโล่ป้องกันของฉินอวี้โม่และตรงเข้าครอบงำร่างของนาง

“ลงนรกไปซะเถอะ!”

สีหน้าของโจวเฉียนในตอนนี้แสดงถึงความพึงพอใจอย่างที่สุด เมื่อบุรุษหนุ่มมากพรสวรรค์ผู้นี้ตายไป เขาก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป

“ลูกพี่อวี้โม่ !”

ฉื่อไท่หลางและคนอื่น ๆ จากในโรงเตี๊ยมเห็นเหตุการณ์ที่ฉินอวี้โม่ถูกกลืนกินโดยก้อนพลังมายาและสีหน้าของพวกเขาก็ถอดสีกันทันที

ผู้ชมเหตุการณ์คนอื่น ๆ เองก็แสดงสีหน้าอย่างอธิบายไม่ถูกและรู้สึกเสียดายยิ่งนัก น่าเสียดายจริง ๆ ที่บุรุษหนุ่มมากพรสวรรค์จะต้องตายไปอย่างน่าสลดเช่นนี้…

“ฮ่า ๆ ๆ เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก !”

เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางเพลิงที่ส่องประกายและร่างของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวต่อสายตาของทุกคนอีกครั้ง

ในเวลานี้ เส้นผมยาวถึงเอวของนางปล่อยสยายและเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงที่ปกปิดไว้ อีกทั้งยังมีรอยยิ้มประหลาดประดับบนใบหน้าที่ดูงดงามดุจเทพเซียน กอปรกับกลิ่นอายความสูงส่งและแววตาชั่วร้ายทำให้ทุกคนไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย

ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะและสีหน้าแสดงความประหลาดใจในทันที