บทที่ 1164 พิชิตกองทัพสังหารวิญญาณ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1164 พิชิตกองทัพสังหารวิญญาณ

ตู้ม ตู้ม**!**

รัศมีจั้นยี่ที่ไม่อาจบรรยายได้กวาดออกไป พร้อมกับเกลียวแสงสีเข้มหลายล้าน พลังที่มีอยู่ในแต่ละเส้นแสงทำให้หัวใจมู่เฉินสั่นสะท้าน หากเขาอยู่ที่นั่น เขาจะต้องถูกทำลายล้างจนถึงจุดแตกดับไม่เหลือซากแน่

นี่คือพลังของกองทัพสังหารวิญญาณในจุดสูงสุดเรอะ

ปัง!

มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางความตกตะลึง รัศมีจั้นยี่สีแดงก็กวาดไป ชนเข้ากับ ‘เขา’

ในช่วงเวลาของแรงกระทบ ความเจ็บปวดที่รุนแรงก็พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มู่เฉินร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด การโจมตีที่น่ากลัวทำให้เขารู้สึกว่ากำลังจะถูกทำลายอย่างแท้จริง

ตู้ม! ครืน!

ขอบฟ้าหลายแสนจั้งพังทลายลงพร้อมกับรอยแตกนับไม่ถ้วนกระจายออกไป จากนั้นมู่เฉินก็มองเห็นร่างสูงวัยแตกสลายภายใต้การโจมตีนี้

นี่คือจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่สิ้นชีพภายใต้การทำลายล้างของกองทัพสังหารวิญญาณ!

ความมืดโปรยเบื้องหน้าสายตา คลื่นจิตของมู่เฉินได้รับความเจ็บปวดรุนแรงจนเกือบทำให้เขาบ้าคลั่ง

ทว่าขณะที่มู่เฉินจะล้มลง ความเจ็บปวดก็หายไป จากนั้นเขาก็พบว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง

ทว่าเขายังคงถูกล้อมรอบด้วยนักรบในชุดเกราะหนัก แต่ร่างกายเปลี่ยนเป็นชายวัยกลางคน

ทว่าชายวัยกลางคนก็ยังมีพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพและเห็นได้ชัดว่าเป็นจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนด้วย

เมื่อมองที่ฉากนี้มู่เฉินก็อึ้งไป ภาพลวงตาเหล่านี้อาจเป็นเหล่าจอมยุท์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ถูกล้างบางโดยกองทัพสังหารวิญญาณ… หรือว่าเขาจะต้องประสบกับการล้มลงของจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนทั้งหมด?

มู่เฉินยิ้มขมขื่น ความเจ็บปวดรุนแรงเป็นสิ่งที่ยากจะลืมเลือนสำหรับเขา ถ้าเขาไม่แน่วแน่พอครั้งเดียวก็ทำให้เป็นบ้าไปแล้ว

แต่มู่เฉินสามารถรู้สึกได้ว่าหลังจากผ่านการถูกทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า ร่องรอยของความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคลื่นจิตของนักรบสังหารวิญญาณก็ดียิ่งขึ้น

ดังนั้นนี่น่าจะเป็นการทดสอบของกองทัพสังหารวิญญาณ ตราบเท่าที่เขาสามารถทนได้ก็จะสามารถบัญชาพวกเขาได้ด้วยความช่วยเหลือของป้ายกองทัพ

“งั้นก็…เข้ามาเลย!”

มู่เฉินกัดฟันแน่นคลายร่างที่ตึงเกร็งตัวเอง ขณะนี้การป้องกันใดๆ ไร้ผล เมื่อเป็นเช่นนั้นให้เขาได้สัมผัสกับการทำลายล้างของรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณแบบเต็มๆ เลย!

ตู้ม!

แสงสีแดงเข้มรวมตัวกันเป็นดวงอาทิตย์สีแดงเข้มส่องลงมากระทบร่าง “มู่เฉิน”

ความเจ็บปวดรุนแรงเกาะกินจิตใจของมู่เฉินอีกครั้ง

ตู้ม! ตู้ม!

ช่วงเวลาต่อมามู่เฉินก็เผชิญกับ ‘ความตาย’ อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายความเจ็บปวดก็ไหลเข้าสู่ส่วนลึกของกระดูกจนรู้สึกด้านชาไปหมด

เขาได้รับประสบการณ์ ‘ตาย’ ถึงแปดครั้ง

นั่นหมายความว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนแปดคนถูกทำลายโดยกองทัพสังหารวิญญาณ

สิ่งนี้ทำให้มู่เฉินตกตะลึงในใจ เนื่องจากเขารู้ว่ายากแค่ไหนที่จะฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุน แม้ว่าการดำรงอยู่แบบนั้นจะสู้กับกองทัพชั้นยอดไม่ได้ แต่พวกเขาก็ควรมีหนทางที่จะหนีรอดได้

แต่ไม่มีผู้ใดในทั้งแปดคนที่สามารถหลบหนีได้ ทั้งหมดจบชีวิตลง

ดังนั้นเห็นได้ว่ากองทัพสังหารวิญญาณน่ากลัวเพียงใด

มู่เฉินถอนหายใจในใจ เขารู้สึกโล่งใจที่พบว่าหลังจากผ่านการทำลายไปแปดครั้งมิติก็เริ่มแตกสลาย

คลื่นจิตของมู่เฉินก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

อ็อก!

ในห้องโถงดวงตาที่ปิดสนิทของมู่เฉินก็เปิดขึ้นทันที จากนั้นก็กระอักเลือดออกมาจากปากพร้อมกับเส้นเลือดกระตุกบนหน้าผาก ทำให้เขาดูดุร้ายขึ้น

เมื่อคลื่นจิตกลับมาแล้ว ความเจ็บปวดรุนแรงก็ตกลงบนร่างเขาเช่นกัน

ฮา ฮา!

มู่เฉินหายใจถี่ขึ้น พักใหญ่กำปั้นที่กำแน่นของก็ค่อยๆ คลายออก เขาเช็ดหน้าผากด้วยมือที่สั่นเทาและยิ้มอย่างขมขื่น

‘การตาย’ ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวแท้จริง แต่สิ่งนี้เองที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ารัศมีจั้นยี่ของกองทัพสังหารวิญญาณว่าน่ากลัวและรุนแรงเพียงใด

พวกเขาสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนได้ถึงแปดคน!

หากพวกเขาอยู่ในทวีปเทียนหลัวตอนนี้ ขั้วอำนาจชั้นยอดใดๆ ก็จะต้องหวั่นเกรง

แต่สิ่งที่ทำให้มู่เฉินดีใจคือความจริงที่ในที่สุดตัวเขาก็อดทนต่อการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ ตอนนี้เขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกองทัพสังหารวิญญาณ

นอกจากนี้มือของมู่เฉินซึ่งกำลังเช็ดหน้าผากก็หยุดชั่วคราว ขณะที่ความไม่เชื่อฉายในดวงตา

นั่นเป็นเพราะในขณะนี้เขาตระหนักว่าคลื่นจิตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

ดวงตาของมู่เฉินแววาวด้วยแสงแปลกประหลาด คลื่นจิตก่อตัวเป็นลวดลายจั้นเหวินจำนวนถึงเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย!

ลวดลายจั้นเหวินเจ็ดแสนห้าหมื่นลาย?!

มู่เฉินอ้าปากค้างเล็กน้อย สิบกว่านาทีสั้นๆ ทำไมถึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับเขาขนาดนี้เชียว?

“เป็นเพราะรัศมีจั้นยี่กองทัพสังหารวิญญาณ?!”

มู่เฉินเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าอะไรเป็นสาเหตุ นี่จะต้องมาจากตอนที่เขาอดทนต่อรัศมีจั้นยี่ แม้จะทำให้เขาเจ็บปวดหนักหนาสาหัส แต่ก็ได้รับประโยชน์ที่ไม่อาจจินตนาการได้ในเวลาเดียวกัน

เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นลาย!

ถ้าเขาฝึกฝนอาจจะต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปีและนั่นเป็นพรสวรรค์เขาดีเยี่ยมด้วย แต่ตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นในเวลาเพียงสิบกว่านาที

หัวใจของมู่เฉินเต้นรัวด้วยความสุขขณะที่คลี่ยิ้ม ด้วยคลื่นจิตและความช่วยเหลือของป้าย กองทัพสังหารวิญญาณนี้จะสามารถเปล่งประกายในมือของเขา

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ด้วยกองทัพนี้แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับตี้จื้อจุน แต่ก็สามารถต่อกรกับระดับตี้จื้อจุนขั้นต้นได้

เผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้น!

มู่เฉินเม้มริมฝีปาก แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านในใจ ในอดีตจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนเป็นบุคคลที่สูงส่งในสายตาของเขา

เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

แต่ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองพลังของขอบเขตนี้แล้ว!

แม้ว่าเขาจะยังต้องยืมพลังกองทัพสังหารวิญญาณ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าจั้นเจิ้นซือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพและความแข็งแกร่งก็สามารถปลดปล่อยออกมาได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายรวมกันแบบไม่ขาดไม่เกินในสมการ

มู่เฉินลุกขึ้นยืนมองไปที่นักรบหุ้มเกราะหนัก เขายกป้ายขึ้น แสงกะพริบวูบไหวตั้งใจที่จะนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปพร้อมกับตนเอง

มีมิติเล็กๆ ในป้ายนี้มีที่สามารถใช้เก็บกองทัพสังหารวิญญาณได้ ทว่าข้อกำหนดก็คือต้องให้พวกเขาตายและไม่มีชีวิต

ป้ายเริ่มดูดกองทัพสังหารวิญญาณ ทว่าขณะกำลังเรียกเข้ามามู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงต่อต้านเล็กน้อย

“หืม?”

มู่เฉินอึ้งไป การต่อต้านน่าจะถูกทิ้งไว้ตามเจตจำนงของพวกเขา กองทัพสังหารวิญญาณดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะจากไป เพราะต้องการที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้แม้จะตายไปแล้ว

มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจก่อนที่จะขมวดคิ้ว หากเขาไม่สามารถนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไปได้ เขาก็จะกลับไปมือเปล่าในการเดินทางครั้งนี้

ชัดว่าเขาไม่ยอมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้

“เจตจำนงรึ”

มู่เฉินพึมพำพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปหาจอมพลสอง เขาเข้ามาหาจอมพลสองและโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด

“ท่านผู้อาวุโส ความเกรียงไกรของกองทัพสังหารวิญญาณไม่ควรถูกฝังไว้ที่นี่ ข้ายินดีที่จะนำพาพวกเขาออกไปห้ำหั่นกับจักรวรรดิปีศาจในอนาคต ดังนั้น…ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะสามารถเติมเต็มความปรารถนาของข้าได้!”

เสียงของมู่เฉินดังก้องในโถง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่จอมพลสอง วินาทีนั้นเขาเหมือนสังเกตเห็นร่างสง่างามพยักหน้าเบาๆ

คล้ายจะเป็นภาพลวงตา แต่ก็คล้ายไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อพูดในจุดหนึ่งนี่น่าจะเป็นปณิธานที่เหลือที่จอมพลสองทิ้งไว้

ตู้ม!

นักรบสังหารวิญญาณทั้งหมดคุกเข่าลงตามที่สัญชาตญาณ แต่คราวนี้พวกเขาคุกเข่าต่อหน้าจอมพลสองไม่ใช่ป้ายกองทัพที่ใช้บัญชาการ

มู่เฉินรู้สึกได้ว่าในขณะนี้เจตจำนงที่ห่อหุ้มกองทัพสังหารวิญญาณกำลังจางหายไป ซึ่งทำให้เขารู้สึกโล่งใจ อันที่จริงถ้าเขาต้องการนำกองทัพสังหารวิญญาณออกไป ไม่เพียงแต่เขาต้องมีป้ายใช้บัญชาการ เขายังต้องได้รับการยอมรับจากจอมพลสองด้วย

มู่เฉินโค้งคำนับอีกครั้ง แสงพร่างพราวก็เอิบอาบออกมาจากป้ายในมือ ทันใดนั้นนักรบสังหารวิญญาณทั้งสองพันนายก็กลายเป็นริ้วแสงทะยานเข้าไปสถิตภายในป้าย

เมื่อแสงริ้วสุดท้ายเข้าสู่ป้ายเรียบร้อย มู่เฉินก็เก็บไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ไม่ลังเลหันหลังกลับออกไป

ในเมื่อได้กองทัพสังหารวิญญาณมาแล้ว ก็ถึงเวลาต้องไปนำร่างหลักของมั่นถัวหลัวออกมาแล้ว