ตอนที่ 587 ร่วมเดินทาง โดย Ink Stone_Fantasy
ปีที่แล้วเยี่ยเทียนเดินทางไปฮ่องกงวางค่ายกลพลิกชะตาฟ้านั้น พอค่ายกลเริ่มทำงานตอนนั้นเองฟ้าดินสั่นสะเทือน เปลี่ยนแปลงดวงชะตาแห่งพิภพ
เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว เยี่ยเทียนได้นั่งสมาธิสามวันสามคืนเพื่อการทำนาย เขาพบว่า ภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมทั้งประเทศจีนเองจะประสบเหตุหายนะ
หายนะครั้งนี้เกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ แล้วก็เป็นลิขิตฟ้าด้วย วิธีเสริมสิริมงคลขจัดภัยร้ายที่ดีที่สุดนั้น คือการอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้อย่าได้เดินทางไปไหน ดังนั้นเมื่อทราบว่ามารดาจะเดินทางออกนอกประเทศ เยี่ยเทียนจึงไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด
ซ่งเวยหลันส่ายหัว ตอบว่า “เสี่ยวเทียน ครั้งนี้ให้แม่ไปเถอะ ต่อไปจะไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจอะไรอีกเลย ลูกกับชิงหย่ามีหลานหลายๆคนให้แม่อุ้ม แม่ก็จะอยู่ที่นี่ช่วยเลี้ยงหลานให้!”
“เอ๋? อย่าพูดแบบนั้นนะครับ มันไม่เป็นมงคล แม่ ครั้งนี้แม่ไปไม่ได้นะ!”
ได้ยินคำที่แม่พูดแล้วเยี่ยเทียนยืนขึ้น พูดต่อว่า “พ่อ อาใหญ่ อาเล็ก ทุกคนกินข้าวกันก่อนเถอะ ผมอิ่มแล้ว ขอกลับเข้าห้องก่อน!”
“เด็กคนนี้นี่ พูดจาแบบนี้กับแม่ได้ยังไง?”
ตั้งแต่เยี่ยเทียนยอมรับซ่งเวยหลันเป็นแม่ เขาไม่เคยพูดจารุนแรงกับแม่ขนาดนี้มาก่อน เยี่ยตงผิงที่ตะโกนเสียงดังลั่นอย่างไม่พอใจชั่วขณะกลับถูกซ่งเวยหลันรั้งแขนไว้ “ตงผิง ลูกเขาหวังดีกับฉันนะ!”
“เวยหลาน การทำนายของเยี่ยเทียนเธอก็รู้ดี ในเมื่อเขาไม่ให้เธอไป เธอก็อย่าไปเลย?”
รอบุตรชายเดินออกไปแล้ว เยี่ยตงผิงมองตาภรรยา แล้วพูดต่อว่า “ธุรกิจจะใหญ่โตแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าเราสามคนได้อยู่ด้วยกัน!”
หลายปีมานี้ การผูกกว้าทำนายของเยี่ยเทียนไม่เคยพลาด พอได้ฟังคำเตือนจากบุตรชายแล้ว เยี่ยตงผิงยิ่งกังวลใจ กลัวว่าความสุขที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน จะเปราะบางแตกง่ายเหมือนฟองสบู่
“คือ…”
ซ่งเวยหลันลังเลขึ้นมา แต่เมื่อคิดถึงธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เธอสร้างขึ้นมากับมือจะถูกคนอื่นทำลายไปต่อหน้าเธอก็ทนไม่ได้
นิ่งเงียบไปพักใหญ่แล้วซ่งเวยหลันก็พูดว่า “ตงผิง ฉันพาแอนนาไปด้วย แล้วก็ค่อยจ้างผู้คุ้มกันจากบริษัทคุ้มภัยไปด้วย เรื่องความปลอดภัยก็ไม่น่าจะต้องกังวลแล้ว!”
หลังจากย้ายมาอยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ซ่งเวยหลันให้แอนนาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง พักในหอพักของมหาวิทยาลัย มีเพียงช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นที่จะกลับมาที่เรือนสี่ประสาน
เยี่ยตงผิงส่ายหน้า ตอบว่า “เธออย่ามาพูดกับฉันเลย ถ้าเธอเกลี้ยกล่อมลูกได้แล้ว เธอค่อยไป…”
“ลูกโกรธแล้ว เดี๋ยวฉันค่อยเข้าไปหาเขา พี่ใหญ่ น้องเล็ก น่าอายจริงๆเลย มา ทุกคนกินข้าวเถอะ!”
นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรชายใส่อารมณ์กับตนขนาดนี้ ซ่งเวยหลันรู้สึกใจคอไม่ดี ฝืนยิ้มออกมาเรียกให้ทุกคนกินข้าวต่อ
ความจริงแล้วเยี่ยเทียนไม่ได้โกรธแม่ เขาแค่กังวลกับการเดินทางของแม่ในครั้งนี้ พออกจากห้องอาหารมาแล้ว เยี่ยเทียนกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง เดินไปหยิบเอาเหรียญทองแดงสามอันที่ใช้อยู่บ่อยๆจากชั้นหนังสือ
ปากบ่นพึมพำคาถา เยี่ยเทียนโยนเหรียญทั้งสามลงบนโต๊ะ รอดูกว้าที่ปรากฏบนเหรียญแล้วค่อยหยิบเหรียญขึ้นมาโยนใหม่ ทำอย่างนี้ทั้งหมดหกครั้งเยี่ยเทียนจึงวางมือ วิธีการทำนายแบบนี้เรียกว่า วิธีหกเหยาทำนาย
วิธีนี้แตกต่างจากวิธีการทั่วไป เยี่ยเทียนมีเคล็ดลับเสริม โยนเหรียญหกครั้งแล้วปรากฏกว้าขึ้นหนึ่งอัน กว้านั้นก็จะชัดเจนอยู่ในสมอง
“อืม ฟ้าดินสั่นสะเทือน ควรจะป้องกันภัยทางน้ำ จะมีผู้มีบุญให้ความช่วยเหลือ แปรเปลี่ยนภัยอันตรายเป็นความโชคดี?”
ดูกว้าที่ทำนายออกมาแล้ว สีหน้าเคร่งเครียดของเยี่ยเทียนค่อยผ่อนคลายลง ถึงการเดินทางครั้งนี้ของมารดาจะไม่ค่อยราบรื่น แต่ไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิต
“ผู้มีบุญเป็นใครกัน?”
เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาทำนายอีกครั้ง กลับไม่ได้ผลออกมาแต่อย่างใด ทำให้เขากังขาใจยิ่งนัก ตั้งแต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์มาจนถึงวันนี้ นอกจากตัวเองแล้ว ไม่มีอะไรที่เขาทำนายไม่ได้
ได้โยนเหรียญทำนายติดต่อกันหลายครั้ง ยังไม่ทราบชื่อของผู้มีบุญคนนั้นเลย แม้แต่ทิศทางที่อยู่ก็ทำนายไม่ออก เยี่ยเทียนมีเหงื่อซึมที่หน้าผาก การทำนายดวงชะตาให้คนใกล้ตัวนั้นสูญเสียพลังมากกว่าการทำนายให้คนอื่น
“เป็นไปได้อย่างไร? แม้แต่ดวงชะตาของศิษย์พี่ใหญ่ เรายังทำนายออกมาได้!”
เก็บเหรียญทองแดงขึ้นแล้วเยี่ยเทียนคิดพิจารณาอยู่นาน หรือเป็นเพราะว่าผู้มีบุญคนนั้นจะทำการป้องกันไม่ให้เยี่ยเทียนทำนายได้ ทำให้เขาตามหาร่องรอยไม่พบ?
“ตัวเอง? บ้าจริง ทำไมเราถึงลืมตัวเองไปได้เล่า?!”
เยี่ยเทียนนึกออกทันใด เขกกะโหลกตัวเองแรงๆเข้าทีหนึ่ง บนโลกนี้คนที่ตนไม่สามารถทำนายดวงชะตาได้ ก็คือตัวเยี่ยเทียนเอง!
“หรือว่าผู้มีบุญนั้นจะหมายถึงเราเอง?” เยี่ยเทียนสงสัย หยิบเอาเหรียญทองแดงขึ้นมาโยนทำนายใหม่
โยนเหรียญครั้งแรกเยี่ยเทียนสีหน้าซีดขาว โยนครั้งที่สองสีหน้าเริ่มแดงคล้ำ โยนครั้งที่สาม พลังในร่างกายเกิดความผันผวน มุมปากมีเลือดไหลออกมา
“ให้ตายสิ ยังไงก็ทำนายให้ตัวเองไม่ได้ โยนเหรียญไปแค่สามครั้ง ยังทำให้บาดเจ็บได้!”
แม้ว่าจะมีอาการพลังลมปราณชีวิตแท้สะท้อนกลับ แต่เยี่ยเทียนก็มีแววดีใจ เพราะการทำนายเมื่อครู่ทำให้ทราบว่าการเดินทางครั้งนี้เขาจะพบกับเรื่องประหลาดใจ แต่ไม่มีอันตราย ซึ่งช่วยยืนยันกับความเชื่อว่าตัวเองคือผู้มีบุญคนนั้น
“เยี่ยเทียน ให้แม่เข้าไปได้ไหม?” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจัดการกับอาการบาดเจ็บ เสียงของซ่งเวยหลันดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“แม่ เข้ามาเถอะครับ!” เยี่ยเทียนรีบดึงกระดาษมาเช็ดเลือดออกจากมุมปาก ถ้าแม่มาเห็นเข้าจะตกอกตกใจเสียเปล่า
“เยี่ยเทียน อย่าโกรธแม่เลยนะลูก…” พอเข้ามาในห้องเห็นสีหน้าบุตรชายไม่ค่อยดีซ่งเวยหลันคิดว่าบุตรชายยังโกรธอยู่
เยี่ยเทียนส่ายหัว “แม่ ผมไม่ได้โกรธ เพียงแต่เรามีเรื่องต้องคุยกัน ช่วงหลายปีนี้ สถานการณ์โลกไม่ค่อยสงบสุข อย่าเดินทางเสียจะดีกว่า อีกอย่าง ทำไมแม่ต้องไปด้วยล่ะครับ โทรศัพท์ไปอย่างเดียวไม่ได้เหรอ?”
ด้วยผลของการทำนาย เยี่ยเทียนไม่ได้กลัวการเดินทางของมารดาเท่าเมื่อครู่แล้ว เพียงแต่อยากถามเหตุผล แม่ของเขาไม่ใช่คนเห็นแก่เงิน ธุรกิจเสียหายบ้างเธอก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่
“กองทุนการเงินที่แม่ดูแลอยู่มีปัญหา การลงทุนครั้งนี้เสียหายเกือบหมื่นล้าน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเครือตำหนิกันมามาก แม่ต้องกลับไปสืบให้รู้เรื่อง เพื่อตอบคำถามของพวกเขา”
กลุ่มการเงินที่ซ่งเวยหลันดูแลอยู่นั้น มีมูลค่ามากกว่าแสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ แค่หุ้นส่วนของเธอคนเดียวคิดเป็นแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด
ผู้ถือหุ้นรายอื่นของกลุ่มต่างเป็นผู้นำธุรกิจยักษ์ใหญ่ในสากลทั้งนั้น จะดูถูกกันไม่ได้ ดังนั้นเมื่อการลงทุนเกิดความเสียหาย เธอจึงต้องรับผิดชอบและหาคำตอบมาอธิบายให้คนอื่นรับรู้
อีกทั้งธุรกิจการค้านี้สร้างมาด้วยมือของซ่งเวยหลัน เธอลงทุนลงแรงกับมันมายี่สิบกว่าปี ซ่งเวยหลันไม่อาจทนเห็นตลาดการค้านี้พังครืนลงต่อหน้าต่อตาในชั่วระยะเวลาแค่คืนเดียว
“กองทุนที่ดูแลอยู่มีปัญหา เป็นฝีมือคนทำรึเปล่า?”
แม้เยี่ยเทียนจะไม่เข้าใจธุรกิจ แต่เขารู้จิตใจมนุษย์ดี แม่ของเขาดูแลทรัพย์สินมหาศาล ทำให้หลายๆคนย่อมคิดไม่ซื่ออยากเสี่ยงเพื่อให้ได้มาครอบครอง
ซ่งเวยหลันส่ายหน้า ตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่รู้ชัด เงินทุนนี้มีคุณลุงท่านหนึ่งแนะนำให้กับแม่ เขาปฏิบัติต่อแม่เหมือนเป็นหลานสาวคนหนึ่ง หลายปีมานี้ก็คอยช่วยเหลือดูแล ตอนนั้น…ตอนนั้นแม่เลยไม่ได้คิดมาก”
แม้ปากจะบอกว่าไม่แน่นอน แต่สีหน้าของซ่งเวยหลันบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเป็นชายชราผู้นั้นที่เป็นปัญหา ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยกฎหมายอันเข้มงวดของต่างประเทศ กองทุนกลุ่มนี้จะเกิดความเสียหายมากมายถึงหลายหมื่นล้านนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
“เยี่ยเทียน อย่าว่าแม่เลยนะ รอให้แม่จัดการเรื่องนี้จบแล้ว แม่จะไม่ไปไหนอีกเลย ได้ไหม?”
กว่าจะให้เยี่ยเทียนยอมรับและให้อภัยเธอได้นั้นไม่ง่ายเลย ซ่งเวยหลันไม่อยากให้เพราะเรื่องแบบนี้มาสร้างปัญหาให้เธอกับบุตรชายผิดใจกันอีก
เยี่ยเทียนหยุดคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เอาอย่างนี้ แม่ ช่วงนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่งั้น ผมไปเป็นเพื่อนแม่ดีไหม?”
ฟังเยี่ยเทียนพูดจบ ซ่งเวยหลันดีใจมาก แต่แล้วก็ส่ายหน้า “คือ…ลูกกับชิงหย่าเพิ่งแต่งงานกัน แล้วลูกไปกับแม่อย่างนี้จะดีหรือ?”
เยี่ยเทียนยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ แม่ไปอย่างมากไม่เกินเดือนสองเดือนหรอก? ชิงหย่าเขาเข้าใจ รอคืนนี้ให้เขาเลิกงานกลับมาก่อน ผมจะคุยกับเขาเอง”
เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจใช้เครื่องรางป้องกันภัยมาทดแทนได้ เมื่อสนามแม่เหล็กด้านตรงข้ามผลักดันกันอย่างรุนแรง ก็ไม่มีเครื่องรางชิ้นไหนช่วยได้
เช่นเดียวกับเครื่องรางที่นำติดตัวเข้าไปในสนามรบ เครื่องรางสามารถป้องกันให้ฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าเกิดมีระเบิดถูกจุดขึ้นข้างตัว ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้นไม่ต้องพูดถึง
เมื่อปีที่มีการต่อต้านสงครามนั้น จำนวนคนในสำนักวิชาที่สละชีพในสนามรบไม่น้อยไปกว่าเหล่าทหารหาญเลย และด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงไม่ได้ให้เพียงแต่เหรียญสัมฤทธิ์ต้าฉีทงเป่ากับมารดาไปเพียงอย่างเดียว
แต่ซ่งเวยหลันยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุผล พูดอย่างลังเลว่า “ชิงหย่าเขาจะไม่พอใจเอา?”
“เขากล้าเหรอ?”
เยี่ยเทียนถลึงตา แล้วหัวเราะออกมา “แม่ ไม่เป็นไรหรอก ผมเดินทางไกลบ่อย ชิงหย่าเขาชินแล้วล่ะ”
“งั้นก็เอาเถอะ ลูกห้ามรังแกชิงหย่าล่ะ”
ซ่งเวยหลันพยักหน้า เธอรู้ว่าบุตรชายเป็นคนมีสง่าราศี การมีเขาร่วมเดินทางไปด้วยน่าจะทำให้เรื่องราบรื่นขึ้น
ตอนค่ำอวี๋ชิงหย่ากลับมาถึงบ้าน เยี่ยเทียนบอกกล่าวเรื่องที่จะเดินทางไปต่างประเทศให้ภรรยารับรู้ อวี๋ชิงหย่าถึงจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็ตกลง ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนงานแต่งเธอลางานไปนาน เธอคงจะไปกับเยี่ยเทียนด้วย
เมื่อตกลงกันได้แล้ว ซ่งเวยหลันก็เริ่มเดินเรื่องเอกสารให้กับเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันตัวเองก็ติดต่อเรียกเครื่องบินส่วนตัวจอดอยู่ที่อเมริกาเดินทางมาที่ประเทศจีน
“อืม รู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่าง?”
ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน เยี่ยเทียนรู้สึกจิตใจกระสับกระส่าย จู่ๆก็นึกถึงเรื่องที่จู้เหวยฟิงเคยบอกกับตนไว้ในวันแต่งงาน
เยี่ยเทียนกำลังจะเดินทางไปอเมริกากับมารดาเพื่อเจรจาธุรกิจ ถ้าเยี่ยเทียนจำไม่ผิด จู้เหวยเฟิงเคยบอกว่างานประชุมมวยใต้ดินระดับโลกนั้นก็จัดขึ้นในอเมริกาเช่นกัน
………………………………………………….