ตอนที่ 1239

Alchemy Emperor of the Divine Dao

หากจะถอนตัว จอมยุทธระดับภูผาวารีจำเป็นต้องใช้แต้มสังหารหนึ่งร้อยแต้ม ระดับสุริยันจันทราหนึ่งหมื่นแต้ม ระดับดาราหนึ่งล้านแต้ม ส่วนระดับวารีนิรันดร์นั้นจำเป็นต้องใช้มากขึ้นหนึ่งร้อยล้านแต้ม

ทำไมจำนวนถึงได้ห่างกันมากขนาดนั้น?

เหตุผลก็ง่ายมาก ยิ่งระดับพลังต่างกันความยากที่จะสังหารก็จะต่างกันได้ด้วย

ยกตัวอย่างเช่นในส่วนของระดับภูผาวารีนั้น หากสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่เทียบเท่าระดับภูผาวารีขั้นต้นจะได้รับแต้มสังหารเพียงแต้มเดียว ขั้นกลางได้ห้าแต้ม ขั้นสูงได้สิบแต้ม และขั้นสูงสุดได้ยี่สิบแต้ม หรือจะพูดง่ายๆคือจอมยุทธระดับภูผาวารีสามารถถอนตัวได้หากสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพที่มีระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดห้าตัว

พอเป็นระดับสุริยันจันทรา แต้มสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจะเริ่มที่หนึ่งร้อยแต้ม

นอกจากนั้นสนามรบสองดินแดนยังมีกฎว่าหากหยุดสะสมแต้มสังหารไปเป็นเวลานานคนผู้นั้นจะถูกลงโทษ

เมื่อหลิงฮันรู้เรื่องนี้เขาก็ลองคาดเดาในใจ

ที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มาที่สนามรบสองดินแดนนั้น จุดประสงค์แรกก็เพื่อหลบซ่อนตัวจากตระกูลเชี่ย นางจะต้องเข้าร่วมกองทัพใดกองทัพหนึ่งแน่นอน หากไม่เข้าร่วมกองกำลังแล้วถูกตระกูลเชี่ยพบเจอตัว นางคงหลบหนีไม่พ้นชะตากรรมที่จะถูกพวกเขาใช้อำนาจบังคับส่งตัวนางกลับ

เช่นนั้นแล้วกองทัพใดที่นางจะเข้าร่วม?

กองทัพจันทราม่วง!

เหตุผลนั้นง่ายมาก นอกจากกองทัพจันทราม่วงแล้วกองทัพอื่นเป็นกองทัพที่มีจำนวนบุรุษมากกว่าสตรี

ในโลกแห่งวรยุทธ จำนวนของจอมยุทธสตรีนั้นมีน้อยมาก ยิ่งเป็นในสนามรบสองดินแดนแห่งนี้ด้วยแล้ว จำนวนของสตรียิ่งน้อยกว่าเดิมและคงหนีไม่พ้นความจริงที่ว่าบุรุษนั้นเป็นใหญ่

มีเพียงกองทัพจันทราม่วงเท่านั้นที่มีผู้นำกองทัพเป็นสตรีและมีจอมยุทธในกองทัพเป็นสตรีทุกคน

หลิงฮันสอบถามและได้รู้ว่าบุรุษไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกับกองทัพจันทราม่วง พวกนางรับเพียงจอมยุทธสตรีเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้พวกนางถูกข่มเหง กองทัพจันทราม่วงถึงห้าแม้กระทั่งไม่ยินยอมให้บุรุษเข้าไปในค่ายพักของพวกนาง หากมีบุรุษผู้ใดฝ่าฝืน… มันผู้นั้นจะถูกสังหาร

ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่ผลีผลามเข้าไปยังกองทัพจันทราม่วงและตัดสินใจอาศัยอยู่ด้านนอกของค่ายพักกองทัพจันทราม่วงแทน หากเขาพบเห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เดินผ่านเขาจะเข้าไปพูดคุยกับนาง

แต่ต่อให้เขาพบเจอนาง สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ก็ไม่สามารถออกจากที่นี่ไปได้ทันทีอยู่ดี

ถ้าออกจากสนามรบสองดินแดนโดยที่ยังสะสมแต้มสังหารไม่พอ คนคนนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นทหารหนีทัพ ผู้ที่ถูกตราหน้าเช่นนั้นไม่ว่าไปที่ไหนก็จะไม่มีใครยอมรับ

ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่ไปสักระยะหนึ่งแล้ว หลิงฮันจึงตัดสินใจไปลงชื่อที่เมืองเขี้ยวหมาป่า การจะคำนวณแต้มสังหารนั้นง่ายมาก เมื่อสังหารสิ่งมีชีวิตใต้พิภพได้ เพียงแค่นำศพของพวกมันเก็บเอาไว้ในอุปกรณ์มิติและนำกลับมาเมืองเขี้ยวหมาป่าก็จะมีคนทำหน้าที่ตำนวณแต้มสังหารและลงบันทึกให้

และด้วยเพราะเหตุนี้ บางคนจึงเลือกทางลัดโดยการปล้นศพจากคนอื่น บ้างก็ถึงขนาดสังหารมนุษย์ด้วยกันเพื่อปิดปาก

พวกเดนสังคมมีอยู่ทุกที่

หลิงฮันคิดเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงบริเวณที่ห่างจากค่ายพักกองทัพจันทราม่วงหนึ่งร้อยไมล่ เขาจะรอสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่นี่

แต่ว่าสภาพแวดล้อมของสนามรบสองดินแดน… ย่ำแย่มาก

พลังวิญญาณของที่นี่เบาบางจนแทบจะสัมผัสไม่ได้ แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่ก็เปราะบางมากเช่นกัน หลิงลองพยายามและพบว่าเขาสามารถบินได้เล็กน้อย

อย่างที่รู้กันว่าบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียงจอมยุทธระดับดาราขึ้นไปถึงจะสามารถเหาะเหินได้

ดูเหมือนว่าการที่สองพิภพบรรจบเข้าหากัน แม้แต่สวรรค์และปฐพีก็ยังได้รับผลกระทบ

เช่นนั้นหากเขาลองเข้าใกล้ให้มากกว่านี้ล่ะ?

จุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนใต้พิภพกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ห่างออกไปอีกพันไมล์

เขาลองเปลี่ยนตำแหน่งดูและพบว่าอำนาแห่งกฎเกณฑ์รุนแรงขึ้นกว่าปรกติ

ดูเหมือนว่าผลกระทบของสวรรค์และปฐพีจะไม่เพียงแค่อ่อนลงกว่าปกติแต่มันได้เสียสมดุลไปแล้ว บางที่ผลกระทบจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่บางที่จะเกิดผลกระทบรุนแรงมาก เช่นนั้นแล้วหากลองทำความคุ้นเคยกับมันได้ก็จะมีประโยชน์อย่างมาก

ในสนามรบ การใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญมาก

“เจ้าหนู ที่นี่คือที่ไหน?” โสมเฒ่าออกมาจากหอคอยทมิฬและตกลึงทันทีที่เห็นสภาพแวดกล้อมภายนอก “เจ้าพานายท่านโสมมาที่ไหน?”

สถานที่แห่งนี้ชวนให้รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีและตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ทำไมหลิงฮันต้องมายังที่แบบนี้ด้วย?

“เจ้าหนู เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” โสมเฒ่าชี้ไปยังหลิงฮัน

หลิงฮันไม่สนใจและกล่าวออกมาลอยๆ “ดูเหมือนข้าต้องเรียกฮูหนิวมากินซุปโสมแก่หม้อใหญ่เสียแล้ว”

โสมเฒ่าหน้าเปลี่ยนสีทันที มันหวาดกลัวฮูหนิวมาก แค่ได้ยินชื่อตัวของมันก็เย็กยะเยือกแล้ว โสมเฒ่ารีบยิ้มและกล่าว “เจ้าหนู พวกเราเป็นสหายซี้กัน! ไม่ว่าเจ้าไปไหนข้าย่อมไปด้วยโดยพูดพล่ามทําเพลงอยู่แล้ว!”

หลิงฮันเค้นเสียง ‘ฮึ’ ออกมาและเลิกสนใจโสมเฒ่าและเรียกเรียกจักรพรรดิจอมอสูรออกมา มือที่ขาดไปข้างหนึ่งของมันทำให้รูปแบบอาคมที่สลักเอาไว้หายไปหลายส่วน พลังต่อสู้ของมันลดลงอย่างมาก

แต่นั่นก็ไม่สำคัญ หลิงฮันกลายเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังของอีกฝ่ายแล้ว

สิ่งที่หลิงฮันต้องการจากจักรพรรดิจอมอสูรก็คือความรู้เกี่ยวกับดินแดนใต้พิภพ อีกฝ่ายมีความคุ้นเคยกับสิ่งมีชีวิตได้พิภพ ยิ่งกว่านั้นเพื่อที่เขาจะผ่านเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้ เขาต้องเป็นต้องเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนใต้พิภพและดินแดนศักดิ์สิทธิ์

เมื่อเฒ่าโสมได้ยินเรื่องราวจากหลิงฮันและรู้ว่ามันอยู่ที่ไหนมันก็แทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่พอได้ยินเกี่ยวกับกองทัพจันทราม่วง สีหน้าของมันก็เบ่งบานและกล่าวออกมาทันที “นายท่านโสมจะไปสำรวจสถานการณ์หาข้อมูลเสียหน่อย!”

หลังจากพูดจบมันก็รีบวิ่งจากไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง

ไม่ก็บอกก็รู้ว่าเจ้านั่นต้องไปยังค่ายที่พักซึ่งมีแต่จอมยุทธสตรีแน่นอน โสมเฒ่าแม้จะยังไม่ทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราแต่มันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก

หลิงฮันฟังจักรพรรดิจอมอสูรเล่าเกี่ยวกับดินแดนใต้พิภพ แต่เนื่องจากจักรพรรดิจอมอสูรเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นล่างของดินแดนใต้พิภพความรู้ของมันจึงมีจำกัด โดยเฉพาะข้อมูลของตัวตนระดับจ้าวอสูรซึ่งแทบจะเป็นศูนย์

“เจ้าหนู! ช่วยนายท่านโสมด้วย!” สามวันต่อมา จู่เขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของโสมเฒ่า เสียงของมันดังก้องมาแต่ไกล

“ฮ่าๆๆ มาอยู่ในชามข้าวของท่านกระต่ายเสียดีๆ!”

หลิงฮันลุกขึ้นยืนและมองเห็นโสมเฒ่ากำลังวิ่งหนีอย่างลนลาน ด้านหลังของมันมีกระต่ายที่สูงครึ่งคนวิ่งไล่ตามมา ความเร็วของทั้งสองสูสีไล่เลี่ยกัน หากหลิงฮันไม่ใช้เนตรแห่งสัจธรรมคงไม่อาจมองเห็นร่างของพวกมันได้เลย

เจ้ากระต่าย!

หลิงฮันตกตะลึง เหตุใดเจ้ากระต่ายที่สมควรอยู่ในทวีปฮงเทียนบนดาวเหอหนิงถึงได้มาปรากฏตัวที่นี่?