ตอนที่ 911 ลานธรรมแจ้งมรรค
ยอดต้นไม้สูงเสียดยอดเมฆ ที่แห่งนี้หมอกม่วงรำไรดุจอยู่บนสวรรค์

ส่วนยอดลำต้นโคมสำริดมรรคโบราณซึ่งกว้างราวสิบกว่าคนโอบ ดอกตูมสำริดกำลังแสดงฉากวิเศษอัศจรรย์

มันขนาดเพียงกำปั้น แต่สาดส่องแสงมรรคไร้สิ้นสุด เปล่งประกายดั่งโคมแห่งตะวัน สาดส่องจักรวาลภูผาธารา

เสียงธรรมเลือนรางสะท้อนก้องจากตรงกลาง ดุจระฆังอรุณกลองสายัณห์ สะเทือนโสตแม้คนหูหนวกยังได้ยิน

เมื่อดูโดยละเอียด ดอกตูมที่พร้อมผลิบานนั้นมีสี่สิบเก้ากลีบพอดี แต่ละกลีบล้วนปรากฏกลิ่นอายแตกต่าง เสมือนร่องรอยมหามรรคประทับอยู่บนนั้น มหัศจรรย์หาใดเปรียบ

“มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า รอดพ้นเพียงหนึ่ง เสื่อมสูญมากล้นเพิ่มเสริมไม่พอ”

“ดอกไม้นี้ซ่อนจำนวนแห่งอุบัติฟ้า อาศัยลักษณ์แห่งโคมเผยร่องรอยมรรคอัศจรรย์ เหมือน ‘หนึ่ง’ รอดพ้นนั้นเริ่มก่อเกิดสรรพสิ่ง กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหามรรค…”

“ศุภโชคที่ซ่อนแฝงในคำพูดนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!”

มีผู้แข็งแกร่งพึมพำ สีหน้าเปี่ยมความไหวสั่นและฮึกเหิม

บริเวณใกล้เคียง บุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ลั่วเจียและผู้แข็งแกร่งอื่นล้วนมาถึง เห็นปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลาเช่นนี้กับตา จิตใจต่างไม่อาจนิ่งสงบ

ไม่จำเป็นต้องสงสัย นี่แหละคือศุภโชคอันดับหนึ่ง!

ในใจหลินสวินพลันตื่นตะลึง ดอกตูมสำริดหนึ่งเดียวนี้ปรากฏลักษณ์สะเทือนใต้หล้า วิเศษอัศจรรย์ผิดธรรมดาเหลือเกิน

เพียงแต่ หากศุภโชคซึ่งซ่อนอยู่ภายในคือสิ่งที่เหล่าอริยะเมื่อครั้งบรรพกาลใช้เลือดหัวใจทั้งชีวิตเหลือทิ้งไว้จริง เช่นนั้นก็คงเป็นเรื่องปกติ

‘หลินสวิน เจ้าระวังตัวด้วย อวี่หลิงคงหมายมั่นสังหารเจ้าแล้ว เจ้าต้องระวังให้ดี!’ ทันใดนั้นข้างหูหลินสวินได้ยินเสียงสื่อจิตใสไพเราะหนึ่ง

หลินสวินสีหน้าคงเดิม แต่ตัดสินได้ในฉับพลันว่าเสียงนี้มาจากไป๋หลิงซี ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่ข้างอวี่หลิงคง

ที่อยู่กับนางยังมีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะอีกสี่ห้าคน

หลินสวินยังจำได้แม่นว่าตอนเข้าร่วมบททดสอบถกมรรค มีผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะราวสิบกว่าคนมาเข้าร่วม

แต่เห็นชัดว่าเกินครึ่งล้วนถูกคัดออกในระหว่างการทดสอบ เหลือแค่พวกไป๋หลิงซีและอวี่หลิงคงมาถึงที่แห่งนี้พร้อมกัน

‘ข้ารู้’ หลินสวินสื่อจิตตอบกลับ ไม่ได้รู้สึกเกินคาดหมาย ต่อให้อวี่หลิงคงไม่มาหาเขา เขาก็จะไปหาอวี่หลิงคงเอง!

‘เจ้าอย่าได้ประมาท ตัวอวี่หลิงคงก้าวสู่มกุฎมรรคา มรรคาที่แข็งแกร่งที่สุดนานแล้ว อีกทั้งในมือเขายังถือครองสมบัติอริยะตำหนักอมตะ นี่เป็นสมบัติพิทักษ์สำนักชิ้นหนึ่งของแดนพิสุทธิ์อมตะ มีพลังพิฆาตน่ากลัวอย่างที่สุด ข้าว่าเจ้า…’

ไป๋หลิงซีเหมือนวิตกกังวลยิ่ง กล่าวเตือนและเกลี้ยกล่อมหลินสวิน

หลินสวินฟังเงียบๆ ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น แม้กล่าวว่าเขามีศัตรูมากมาย แต่ก็มีสหายไม่น้อยเช่นกัน

ไป๋หลิงซีคือหนึ่งในนั้นโดยไม่ต้องสงสัย

‘หลิงซี รับปากข้าเรื่องหนึ่ง’ หลินสวินสื่อจิตกล่าว ‘หากข้าและอวี่หลิงคงเกิดปะทะกัน เจ้าอย่าได้เข้ามาขวาง’

ไป๋หลิงซีชะงักงัน เนตรดาราฉายแววสับสน แอบทอดถอนใจ ตระหนักได้ว่าการประลองนี้ยากเปลี่ยนแปลง

เพราะไม่ว่าอวี่หลิงคงหรือหลินสวิน จากนิสัยของพวกเขาคงไม่ยอมถอยสักก้าว!

สวบ!

ทันใดนั้นมีผู้แข็งแกร่งอดรนทนไม่ไหว ชิงออกเคลื่อนไหวก่อน หมายเข้าไปสืบค้นเสาะหา

แต่ยังไม่รอให้เข้าประชิดก็ถูกแสงมรรคสีม่วงสายหนึ่งกวาดลอยออกไป ร่วงคะมำนอกระยะสิบกว่าจั้งอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรวนแปรไม่หยุด

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้ในใจพลันสั่นสะท้าน ข่มความละโมบและวู่วามลง ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

บางคนหัวเราะเยาะ “ศุภโชคยังไม่เกิดขึ้นจริงก็หมายชิงลงมือก่อน อยากตายจนทนไม่ไหวจริงๆ นะ”

ตามเวลาที่ล่วงเลย ดอกตูมสำริดนั้นเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม ทำผู้คนไม่อาจมองโดยตรง อีกทั้งเสียงธรรมระลอกแล้วระลอกเล่ากึกก้องไร้ขีดจำกัด ประดุจเสียงเทพกรอกหู พาให้คนรู้สึกจิตวิญญาณสั่นสะท้าน

ซ่า…

ทันใดนั้นดอกตูมสำริดดอกนั้นพลันเบ่งบาน แสงมรรคมงคลนับหมื่นพันพวยพุ่งออกมาหลากสาย ทะลวงขึ้นห้วงนภา

ทุกคนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าพลันพร่ามัว ฟ้าดินกลายเป็นอีกทัศนียภาพกะทันหัน

ต้นไม้เก่าแก่สูงเสียดฟ้า กิ่งก้านเขียวชอุ่มพลิ้วไหว ใต้ต้นไม้โบราณกลับเป็นลานธรรมเก่าแก่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง

ฟ้าดินเปิดโล่ง เวิ้งฟ้าเมฆมงคลแผ่วพลิ้ว กลางห้วงอากาศไอขุ่นมัวตลบอบอวล มีกลิ่นอายแห่งกาลเวลาที่พุ่งเข้ามา ราวกับมาถึงยุคบรรพกาล

ตรงกลางลานธรรม เงาร่างสิบกว่าร่างแยกกันนั่งขัดสมาธิบนเบาะรองนั่ง มีทั้งชายและหญิง ทั้งชราและเยาว์วัย รูปร่างลักษณะแม้แตกต่าง แต่ทุกคนล้วนอบอวลไออริยเทพ อานุภาพเทียมฟ้า มีความน่าเกรงขามพาให้สรรพสิ่งในฟ้าดินยำเกรง

พวกเขาคล้ายกำลังถกมรรค ทั่วลานธรรมเต็มไปด้วยเสียงต่างๆ บ้างฉะฉาน บ้างอ่อนโยน บ้างห้าวหาญ บ้างนุ่มนวล เมื่อได้ยินแล้วกลับเป็นเสน่ห์อีกแบบ ประดุจสัทครรลองมหามรรคกำลังสะท้อนก้อง มีพลังที่สัมผัสถึงส่วนลึกในจิตใจ

เพียงชั่วขณะทุกคนต่างนิ่งงันอยู่ตรงนั้น สีหน้ามึนงง

ภายในจิตพวกเขาราวมีเสียงธรรมหลากสายไหลบ่า คล้ายมาจากธรรมชาติอันห่างไกล พาให้สมองทุกคนปราศจากสิ่งใด กระจ่างว่างเปล่า นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นตามจิตใต้สำนึก

หลินสวินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาในเวลานี้ราวเด็กน้อยไม่รู้ประสาที่ได้ฟังมหามรรคเป็นครั้งแรก งงงวยเคลิบเคลิ้ม พิศวงมึนงง ไม่ทราบที่มา ไม่รู้จุดจบ แต่กลับตระหนักถึงพลังแห่งมรรคได้โดยธรรมชาติ คล้องตามสอดคล้องกับหมื่นมายาฟ้าดิน

ทั่วร่างเขาอบอวลไปด้วยเจตจำนงแห่งมรรคหลากสาย เรืองแสงแวววาว ว่างเปล่าไร้มลทิน พลังทั่วร่างขับเคลื่อนตามอารมณ์ ไหลเวียนหมุนวนไม่หยุดหย่อน

ท่ามกลางความเคลิ้มลอย เขาคล้ายเห็นว่ากลางลานธรรมมีมังกรฟ้าขดล้อม หงส์เพลิงสยายปีก บุปผากระจ่างมหามรรคโปรยปราย แสงสุวรรณหลากสายฉายสาดทุกแห่งหน

อริยเทพทั้งหมดกำลังถกมรรค เป็นภาพปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่กลางฟ้าดิน

ทว่าไม่ทันไรลักษณ์ประหลาดทั้งหลายก็เลือนหาย ทุกคนต่างตื่นจากสภาพมึนงงเมื่อครู่กะทันหัน

ต่อมาพวกเขาก็พบว่า ปรากฏการณ์ประหลาดเหล่านั้นแม้จางหาย แต่ลานธรรมยังคงอยู่ เพียงแต่ว่างเปล่าไปทั้งแถบ เงาร่างอริยเทพทั้งหมดที่ถกมรรค รวมถึงต้นไม้ใหญ่เก่าแก่เขียวชอุ่มต่างหายลับจากไป

“นี่…”

ทุกคนนัยน์ตาหดรัด หรือนี่คือศุภโชคอันดับหนึ่ง

พวกเขาดูไม่ออก

อัศจรรย์เกินไปแล้ว แต่ละภาพเมื่อครู่ยังค้างอยู่ในความทรงจำ เห็นชัดว่าไม่ได้ฝันไป

สิ่งนี้สื่อความนัยโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศุภโชคบังเกิดต่อหน้าแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยความเร้นลับ ต้องทำการสืบค้นและเสาะหา!

วู้ม…

คลื่นมหัศจรรย์ซ่อนเร้นแผ่กระจายเป็นระลอกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ทันใดนั้นทุกคนก็เห็นว่าใต้ฝ่าเท้าตนปรากฏเบาะรองนั่งหนึ่ง

พลันมีคนใจหวั่นไหวคล้อยตาม เริ่มนั่งสมาธิก่อน เพียงชั่วขณะก็เห็นทั่วร่างเขาส่องประกาย กลางฟ้าดินก้องเสียงธรรมหลากสายปกคลุมทั้งตัวเขา

หรือกำลังรับมรดก?

ผู้แข็งแกร่งคนอื่นเห็นดังนี้ ต่างขัดสมาธิบนเบาะรองนั่งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นกลางฟ้าดินมีเสียงธรรมดั่งคลื่นซัดสาดไหลบ่าลง อาบไล้ผู้แข็งแกร่งแต่ละคนไว้ภายใน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เห็นได้ว่ายุติธรรมยิ่ง

เสียงธรรมที่ได้ยินข้างหูพาให้คนร่างสั่นเทิ้ม จิตวิญญาณขานรับไปกับมัน ในใจหลินสวินพลันปรากฏการหยั่งรู้นานัปการ

นี่คือแก่นอัศจรรย์แห่งมหามรรคที่เหล่าอริยะเผยแพร่ ไม่ใช่มรดกสืบทอดโดยจำเพาะ แต่เป็นประสบการณ์และใจความที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร

แต่ไม่ต้องสงสัย ใจความและการหยั่งรู้เช่นนี้ล้ำค่าเสียยิ่งกว่า!

หลินสวินตั้งจิตหยั่งรู้ วิญญาณแห่งพลังจิตกลับระวังโดยรอบ ด้วยห่วงว่าจะถูกผู้แข็งแกร่งคนอื่นลอบโจมตีเวลานี้

เขารับฟังโดยละเอียด โคจรวิชาลับดวงใจฉิวหนิวมาหยั่งรู้ ศึกษาแก่นอัศจรรย์อันล้ำลึกยอดเยี่ยมแห่งมหามรรคที่ถูกบรรยายออกมาเหล่านี้โดยละเอียด กายจิตถูกกระเทือนอย่างรุนแรง

ท่ามกลางความเลื่อนลอย คล้ายหวนกลับไปสู่อดีตสมัยบรรพกาล ได้เป็นประจักษ์พยานให้อริยะคนแล้วคนเล่าตั้งแต่เริ่มก้าวสู่มหามรรค จนถึงผงาดง้ำกลางฟ้าดิน กรำศึกทั่วจตุรทิศ พุ่งไปบนหนทางบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่งใหญ่

แต่ละเส้นทางล้วนต่างกันไป

บ้างชาติกำเนิดต้อยต่ำ แต่อาศัยร่างอันต่ำต้อยเข้าถึงมรรค พลิกฟ้าเปลี่ยนชะตาชีวิต ก้าวสู่อิสระอันยิ่งใหญ่ หนทางอริยะแห่งอิสระไร้ผูกมัด

บ้างพรสวรรค์เป็นเลิศ ผ่านประสบการณ์อันตราย มรรคาลุ่มดอนไร้เสถียร เก้ามรณาหนึ่งรอดพ้น อาศัยเจตจำนงแน่วแน่เข้าถึงมรรคกลายเป็นอริยะ

และยังมีบางคนไม่ดำเนินตามขนบ หนทางบำเพ็ญเพียรมาพร้อมด่านเคราะห์ชั้นเล่าชั้นเล่า ย่ำกระดูกขาวกองพะเนิน ฟันฝ่ามรรคาแห่งตนออกมาจากภูเขาศพทะเลเลือดอย่างแข็งกร้าว!

มรรคาที่แตกต่าง การบำเพ็ญเพียรที่แตกต่าง กลายเป็นประสบการณ์และการหยั่งรู้นานัปการที่แตกต่างไป ต่างกำลังเปิดออกภายในใจหลินสวินราวกับม้วนภาพหลากหลาย

เขาดื่มด่ำอยู่ภายใน ลิ้มรสโดยละเอียด ใช้มรรคาของคนในอดีตมาเป็นกระจก ส่องสะท้อนและคลี่คลายหนทางแห่งตน ได้รับการเบิกทางขนานใหญ่ ปริศนาบางส่วนที่ก่อนหน้านี้ยังไม่กระจ่างยามบำเพ็ญเพียรทยอยถูกเปิดออก มีความรู้สึกประหนึ่งพบทางสว่างฉับพลัน ได้รับประโยชน์ใหญ่หลวง

พรูด!

ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปทั่วร่างไหวสั่นรุนแรง กระอักเลือดออกจากปากคำหนึ่ง

เกือบจะเวลาเดียวกัน เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งสะท้อนก้องกลางฟ้าดิน “จิตไม่แน่วแน่ ลุ่มหลงแก่นอัศจรรย์มหามรรค บิดเบือนจิตมรรคแห่งตน ไม่อาจรับมรรคาแห่งข้า ไร้วาสนาต่อศุภโชค ถอยไปเสีย!”

ตามหลังเสียงนั้น ผู้แข็งแกร่งที่กระอักเลือดคนนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกคลื่นอากาศพัดหายไปจากจุดเดิม

ทันใดนั้นทุกคนที่กำลังหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์มหามรรคต่างสั่นสะท้านในใจ ถูกทำให้ตระหนก

“หรือนี่คือการทดสอบคัดศิษย์และเผยแพร่มรรคอย่างหนึ่ง ใครสามารถหยั่งรู้มหามรรคเหล่านี้ได้ดีกว่าก็มีสิทธิ์ช่วงชิงศุภโชค?” มีคนกล่าวเสียงเบา มองเบาะแสออกเสี้ยวหนึ่ง

ผู้แข็งแกร่งที่สามารถยืนหยัดถึงตอนนี้ แต่ละคนต่างมีสติปัญญาไม่ธรรมดา แน่นอนว่าล้วนมองความอัศจรรย์นี้ออก ฉับพลันต่างครัดเคร่ง ไม่กล้าละเลยแม้เพียงเสี้ยว

หลินสวินเองก็เป็นเช่นนั้น เขาไม่ชักช้า หยั่งรู้อย่างต่อเนื่อง

เพราะเขาค้นพบว่า มรรคามากมายที่ประทับในการหยั่งรู้เหล่านี้ หากสามารถเรียนรู้และพิสูจน์ได้ ต้องมีประโยชน์ต่อมรรคาที่เขาแสวงหาอย่างไม่อาจประเมิน!

เพียงแต่ไม่ทันไร วิญญาณแห่งพลังจิตของเขาก็จับสังเกตไอสังหารสายหนึ่งได้อย่างแม่นยำ ถูกทำให้ตกตื่นทันที จากนั้นก็เห็นเงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานมาทางตน

จั๋วขวงหลัน!

เขาในตอนนี้ประดุจกระบี่ไร้เทียมทาน พลังขับเคลื่อนทั่วร่างรวมเป็นหนึ่ง เรียกกระบี่วิญญาณออกมา อาศัยความเร็วอันเหลือเชื่อพุ่งเข้าโจมตี

แต่ยามเขาเคลื่อนไหวได้ครึ่งทาง กระบี่วิญญาณนั้นกลับถูกขจัดอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง จู่ๆ ก็เลือนหายไป แม้กลิ่นอายเพียงเสี้ยวล้วนไม่เหลือ

ทั้งตัวเขากลับประหนึ่งถูกฟ้าผ่า ถูกผนึกค้างอยู่ในท่าพุ่งโจมตีกลางอากาศ สีหน้าหวาดผวาและตกตื่น

“เกิดไอสังหารท่ามกลางการหยั่งรู้ ไม่ต่างจากลุ่มหลง ถอยไปเสีย!” กลางฟ้าดิน เสียงเฉยชานั้นดังก้องขึ้นอีกครั้ง

“ไม่…!” จั๋วขวงหลันตระหนกขุ่นเคือง เต็มไปด้วยความไม่ยินยอมถึงขีดสุด คล้ายคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ หากรู้ก่อนแต่แรก เขาคงไม่มีทางผลีผลามลงมือแน่

แต่เสียใจภายหลังก็สายไปแล้ว ไม่ว่าเขาดิ้นรนอย่างไรก็ยังถูกเคลื่อนย้ายออกจากลานธรรม หายลับไปในชั่วพริบตา

ชั่วขณะเดียวเหล่าผู้กล้าพลันตกตะลึงอีกครั้ง โดยเฉพาะพวกอวี่หลิงคง มู่เจี้ยนถิง แต่ละคนแววตาวูบไหว สีหน้าเจือความประหลาดใจสงสัยอย่างยากคลี่คลาย