บทที่ 1519 ตบหน้าหนึ่งฉาด

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เชียนเอ๋อร์ที่เดินไปเดินมาอยู่ในโถงใหญ่ของร้านก็ชำเลืองมองไปด้านนอก เมื่อเห็นบนผมของสตรีวัยกลางคนข้างนอกติดดอกไม้แดง ในดวงตาก็ฉายแววปลาบปลื้มดีใจ รีบวิ่งออกมาตะโกนใส่ทหารยาม “พวกเจ้าทำอะไร? นี่คืออาหญิง-องฮูหยิน มาส่งฮูหยินแต่งงาน!”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารยามที่เฝ้าด้านนอกก็ไม่สะดวกจะขัดขวางจริงๆ กอปรกับรู้ว่าเชียนเอ๋อร์เป็นสาวใช้ข้างกายอวิ๋นจือชิว ทหารที่เป็นหัวหน้าจึงโบกมือ ให้ทหารผู้หญิงคนหนึ่งค้นตัวสตรีวัยกลางคน จากนั้นแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรในกอไผ่ ถึงได้ผล่อยสตรีวัยเลางคนเข้าไป

เชียนเอ๋อร์เห็นสายตาสอบถามของสตรีวัยกลางคนแล้ว สตรีวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างแนบเนียน เชียนเอ๋อร์โล่งอก รีบคำนับแล้วบอกว่า “ท่านย่าใหญ่ เชิญตามข้ามาค่ะ!”

ทั้งสองมาที่สวนด้านหลัง เดินตรงขึ้นตึก แล้วเข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์

อวิ๋นจือชิวรออยู่ข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ภายในใจร้อนรน เมื่อเห็นดอกไม้สีแดงบนมวยผมอีกฝ่าย ในที่สุดก็โล่งใจแลว

ไม่ให้ร้อนใจคงไม่ได้หรอก ‘วันมงคล’ มารออยู่ตรงหน้าแล้ว ขนาดหออวิ๋นฮว๋ายังโดนปิดล้อมไว้ นางกลัวว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการชิงตัวเจ้าสาวกลางทาง ถ้าชิงตัวเจ้าสาวจริงๆ ไม่ว่าเหมียวอี้จะมีความมั่นใจขนาดไหน นางก็จะไม่ตอบตกลง ไม่ใช่เรื่องอันตรายหรือไม่อันตราย แต่ถ้าโดนคนยกขึ้นเกี้ยวแต่งงานอีกครั้ง? ถ้าข่าวแพร่ออกไปนางจะกลายเป็นอะไรไปล่ะ เรื่องในอดีตของเฟิงเสวียนทำให้ในใจนางอ่อนไหวกับด้านนี้เกินไป ถึงแม้ภายนอกจะดูไม่ออก แต่ความจริงในใจนางไม่ได้สบาย ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนที่เห็นภายนอกเลย นางไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง

สตรีวัยกลางคนที่ทัดดอกไม้แดงบนศีรษะดูแปลกหน้า อวิ๋นจือชิวจึงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคือคนที่หนิวโหย่วเต๋อส่งมาเหรอ?”

ในดวงตาสตรีวัยกลางคนฉายแววหยอกล้อ นางยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบอะไร แต่เดินวนอ้อมอวิ๋นจือชิวอย่างช้าๆ มองประเมินอย่างละเอียดตั้งแต่ศีรษะจดเท้า

อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร แต่ไม่นานก็สัมผัสได้ถึงปราณปีศาจที่ปรากฏรางๆ ขณะเดียวกันก็พบว่าเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางพลันหันไปมอง ทำให้อ้าปากเล็กน้อยเช่นกัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ใบหน้าที่ยิ้มอย่างเป็นกันเองกำลังมองนาง ใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นในกระจกบ่อยๆ กำลังมองนาง นี่เป็นหน้าข้าเองไม่ใช่เหรอ? นอกจากเสื้อผ้าที่แตกต่างจากนั้น รูปร่างและความสูงก็ดูจะเหมือนนางทุกอย่างแล้ว

ขณะมองดูอีกฝ่ายยิ้มให้ตนอย่างสนิทสนมด้วยความอึ้ง อวิ๋นจือชิวก็ค่อยๆ ได้สติกลับมา ในดวงตาฉายแววลังเล นึกถึงเมื่อครู่นี้ที่เพิ่งสัมผัสได้ถึงปราณปีศาจ จู่ๆ นางก็ตาเป็นประกาย โพล่งถามออกมาว่า “เจ้าคือเฝิ่นเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายปี้เยว่ฮูหยินเหรอ?”

ในปีนั้นตอนที่นางอยู่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวน นางก็นับว่าเป็นคนสนิทคุ้นเคยกับปี้เยว่ฮูหยินเช่นกัน นำเครื่องประดับไปส่งให้ปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองบ่อยๆ นางมักจะเห็นปี้เยว่ฮูหยินอุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพูตัวหนึ่งเสมอ กอปรกับได้ยินความลับบางอย่างมาจากปากเหมียวอี้ รู้ถึงพลังอภินิหารของปีศาจจิ้งจอกพันหน้า

“ไม่สนุกเลย ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะจำข้าได้” จู่ๆ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่อยู่ตรงข้ามก็เอามือปิดปากกลั้นขำ ท่าทางน่ารักซุกซน ไม่ได้มีลักษณะเหมือนอวิ๋นจือชิวคนเดิมเลย นางกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เนี้ยร้านโฉมเมฆา ไมได้เจอกันหลายปี นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันอีกทีต้องใช้วิธีนี้!”

ไม่ผิดหรอก นางคือปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่เหมียวอี้ขอยืมมาจากปี้เยว่ฮูหยินจริงๆ

“เป็นเจ้าจริงเหรอ?” อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “แล้วทำไมหนิวโหย่วเต๋อถึงเรียกเจ้ามาที่นี่ล่ะ?”

เฝิ่นเอ๋อร์ส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยากมารึไง! ข้ารำคาญเจ้าบ้านั่นที่สุดแล้ว ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายสักนิด ครั้งนี้ก็ทั้งข่มขู่ทั้งเอาผลประโยชน์มาบังคับให้ข้าทำงานให้เขา เป็นคนยังไงกัน! แต่ข้าก็นึกไม่ถึงเลยนะ เมื่อก่อนแค่ได้ยินข่าวลือของเจ้ากับหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าพวกเจ้าสองคนจะแอบคบกันจริงๆ จุจุ!”

อวิ๋นจือชิวกลอกตามองนาง จากนั้นก็ขมวดคิ้วทันที “หนิวโหย่วเต๋อคงไม่ได้ให้เจ้าแปลงร่างเป็นข้าแล้วแต่งงานแทนหรอกใช่มั้ย?” ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ จะต่างอะไรกับการให้นางแต่งงานเอง ชื่อเสียงของนางก็ถูกทำลายอยู่ดี นางไม่มีทางรับปาก

“เจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว ถ้าคนจับขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวจริงๆ ทหารล้อมไว้แน่นหนาขนาดนั้น ข้าจะหนีพ้นเหรอ?” เฝิ่นเอ๋อร์พ่นเสียงทางจมูก แล้วก็มองซ้ายมองขวา “อย่ามัวอึ้ง เถ้าแก่เนี้ยยังมีเสื้อผ้าที่ใส่ในวันปกติอยู่มั้ย? รีบแต่งตัวให้ข้า ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

“ไปเหรอ?” อวิ๋นจือชิวงุนงง “เจ้าจะออกไปยังไง?”

“เจ้าไม่ต้องกังวล ‘ชายชู้’ ของเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว “เฝิ่นเอ๋อร์กล่าวอย่างปากไม่มีหูรูด แล้โบกมือบอกว่า “เร็วๆ หน่อย ถ้าชักช้าแล้วเสียงาน เจ้าเวรนั่นอาจจะไม่ยอมรับ!”

พอได้ยินว่ามีการเตรียมตัวแล้ว อวิ๋นจือชิวก็วางใจ โบกมือเรียกให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พานางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

ผ่านไปไม่นาน ‘อวิ๋นจือชิว’ ตัวเป็นๆ อีกคนก็เดินออกมาจากห้อง มายืนเทียบกับอวิ๋นจือชิวตัวจริง ทั้งสองราวกับฝาแฝด ขนาดอวิ๋นจือชิวก็ยังส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง “ขนาดปราณปีศาจบนตัวก็ยังเก็บได้ดีมาก พรสวรรค์ของเจ้านี่เจ๋งจริงๆ”

“รู้สึกว่าจะไม่เหมือนนิดหน่อยนะคะ” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าว

เชียนเอ๋อร์พยักหน้าเช่นกัน “หน้าตาเหมือนกัน แต่สง่าราศียังห่างกันเยอะ นางไม่ได้มีสง่าราศีเท่าฮูหยิน”

เฝิ่นเอ๋อร์วางมือจากเรื่องนี้ทันที หันตัววิ่งเข้าไปในห้องแล้วบอกว่า “ก็ได้! งั้นข้าไม่ทำแล้ว ฮูหยินของพวกเจ้ามีสง่าราศีดี งั้นก็ให้ฮูหยินของเจ้าไปขึ้นเกี้ยวเข้าห้องหอเถอะ ข้าก็ขี้เกียจจะหวาดระแวงไปเสี่ยงอันตรายเหมือนกัน”

“พวกนางพูดไม่คิด เจ้าอย่าไปถือสาพวกนางเลย ข้าขอโทษแทนแล้วกัน” อวิ๋นจือชิวรีบเข้ามาดึงแขนนางไว้ ต้องพูดเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวถึงจะยอมสงบได้

เฝิ่นเอ๋อร์ที่ได้กอบกู้หน้าตาเต็มที่แล้วตำหนิเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีกยกหนึ่ง เมื่อทั้งสองก้มหน้ารับผิดแล้ว นางถึงได้ใช้สองมือยกหน้าอกตัวเองอย่างพอใจมาก แล้วก็มองไปที่หน้าอกของอวิ๋นจือชิวอีก “ใหญ่ไปหน่อยนะ ปกติแบกไว้เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเหรอ?”

นี่มันเวลาไหนแล้ว! อวิ๋นจือชิวแทบจะเรียกนางว่าท่านย่า “ต่อไปทำยังไง?”

เฝิ่นเอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อสองข้าง “ต่อไปก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าแล้ว แอบอยู่ในนี้อย่าออกไปไหนล่ะ รอผู้ชายของเจ้าส่งข่าวมาแล้วค่อยโผล่หน้าไปอีกรอบ” แล้วก็ชี้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์อีก “พวกเจ้าตามข้าออกไปสักรอบ”

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์มองไปที่อวิ๋นจือชิว นางรู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับทั้งสอง จึงพยักหน้าอนุญาต ทั้งสองถึงได้เดินตามออกไป

“พวกเจ้าทำสายตาอะไรของพวกเจ้า นี่มันท่าทีอะไรกัน ไปยืนตรงไหนแล้ว? ยังมาบอกว่าข้าไม่เหมือนอีก ถ้าพวกเจ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ข้าเหมือนแต่ก็จะแสดงไม่เนียนแล้ว มองข้าให้เป็นนางสิ ให้ข้าเป็นเถ้าแก่เนี้ย เข้าใจมั้ย…” เสียงตำหนิของเฝิ่นเอ๋อร์ดังมาตลอดทาง อวิ๋นจือชิวอดไม่ได้ที่จะเอามือลูบหน้าผากที่ขาวเกลี้ยงเกลาของตัวเอง นางปวดหัวนิดหน่อย ทำไมรู้สึกว่าปีศาจจิ้งจอกเชื่อไม่ค่อยได้ เหมียวอี้อย่าเอาจิ้งจอกตัวนี้มาทำเรื่องแบบนี้ได้มั้ย?

ทว่าจนป่านนี้แล้ว ไม่ได้ก็ต้องได้ ทำได้เพียงเชื่อมั่นในการเตรียมพร้อมของเหมียวอี้ แต่ก็ยังปวดหัวที่เหมียวอี้มักจะทำเรื่องอันตรายน่าหวาดเสียวแบบนี้อยู่บ่อบๆ ทำเหมือนเล่นแบบนี้จนชินแล้ว ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องบางหรือไง?

เมื่อเห็น ‘อวิ๋นจือชิว’ โผล่หน้ามา ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้ ช่างหินและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังก็มองมาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดวนเวียนกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าอวิ๋นจือชิวจะไปทำอะไรที่โถงด้านหน้า อดไม่ได้ที่จะเดินตามหลังไปเงียบๆ

พอมาถึงโถงใหญ่ในร้านค้าแล้ว ‘อวิ๋นจือชิว’ ก็นำเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ออกไปที่ประตูใหญ่โดยตรง

ทหารที่เฝ้าประตูหันกลับมามองแวบหนึ่ง หัวหน้าทหารที่แซ่คังกุมหมัดคารวะพร้อมขวางไว้ “ผู้จัดการร้านจะไปที่ไหนขอรับ?”

อวิ๋นจือชิว’ ในวันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี เป็นเพราะเฝิ่นเอ๋อร์ก็รู้เช่นกันว่าตัวเองกับอวิ๋นจือชิวมีสง่าราศีเหมือนกัน จึงทำหน้าตึงไม่แสดงความรู้สึกอะไร “จะออกไปนอกเมืองสักรอบ”

คังชะงักทันที แล้วเงยหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ผู้จัดการร้าน เรื่องมงคลกำลังจะมาถึงแล้ว ท่านหัวหน้าภาคเคยกำชับไว้แล้ว ว่าห้ามให้เกิดเรื่องกับผู้จัดการร้านเด็ดขาด พวกเราไม่กล้าขัดคำสั่งหรอก ผู้จัดการร้านมีธุระอะไรก็สั่งให้พวกเราไปจัดการแทนได้เลย” เขาพูดจาสุภาพเกรงใจ ไม่กล้าล่วงเกินตรงๆ

อวิ๋นจือชิว’ บอกว่า “ตระกูลสามีคนเก่าของข้าส่งส่งคนมาถึงนอกเมืองแล้ว นำสัญญาของกิจการมาให้ข้าเพื่อนำติดตัวไปด้วยยามแต่งงาน ข้าจะไปรับไว้ไม่ได้เหรอ?”

คังกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “แบบนั้นก็ยิ่งจัดการง่ายแล้ว อยู่ที่ไหน ข้าจะส่งคงไปเอาให้”

เพี้ยะ! ‘อวิ๋นจือชิว’ ลงมืออย่างกะทันหัน ตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงจนเกิดเสียงดังฟังชัด ทำให้คังโดนตบจนเหม่อไปเลย

คังเบิกตากว้าง กดฝักกระบี่ที่เอวโดยจิตใต้สำนึก ลูกน้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและขวากดอาวุธเอาไว้เช่นกัน ทำสีหน้าเหมือนลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้! แต่ไม่นานก็นึกขึ้นได้ถึงฐานะของผู้หญิงคนนี้ แต่ละคนจึงกล้าโกรธแต่ต้องข่มอารมณ์เอาไว้

ผู้เฒ่าฟ่าน ช่างไม้และคนอื่นๆ พูดไม่ออก พบว่าวันนี้ฮูหยินมีลักษณะไม่เหมือนเดิม

เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ค่อนข้างตกใจเช่นกัน ในใจแอบปาดเหงื่อ จิ้งจอกตัวนี้เล่นบ้าอะไรกัน?

คังทำหน้านิ่ง เรื่องที่เขาประสบในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องให้เพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะแน่นอน จึงถามเสียงต่ำว่า “ผู้จัดการร้าน ท่านทำเกินไปหรือเปล่า?”

อวิ๋นจือชิว’ กล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ถึงคราวที่เจ้าจะมาตัดสินใจแทนแล้วเหรอ? ครอบครัวสามีเก่าข้าไม่อยกาเข้าเมือง ที่สำคัญเป็นเพราะไม่อยากเข้ามารับความอัปยศในนี้ สัญญาทางธุรกิจไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อย ใครจะรู้ว่าพวกเจ้ามือเท้าสะอาดรึเปล่า ทางนั้นไม่อยากให้เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้อยู่ในมือคนนอก มีแต่ต้องให้ข้าไปรับด้วยตัวเองเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าไม่วางใจ…” นางหันกลับมามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พร้อมบอกว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าไปคนเดียว!” นางหันกลับมาบอกอีกครั้งว่า “อยู่ที่ประตูเมืองนี่เอง ไปประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับ พวกเจ้ายกโขยงคุมตัวข้าไปเยอะขนาดนี้ ยังมีอะไรไม่วางใจอีก? ถ้ายังไม่วางใจ ก็ไปถามฉู่จื่อซานตอนนี้เลย ถามว่าเขาจะตอบตกลงหรือไม่ตกลง ถ้าเขาไม่ตกลง สินเดิมเจ้าสาวพวกนี้ข้าไม่เอาแล้วก็ได้!”

คังเม้มริมฝีปากแน่น หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉู่จื่อซานแล้ว

ฉู่จื่อซานที่กำลังอยู่ระหว่างทางได้ข่าวแล้วก็รีบถามรายละเอียดทันที เมื่อได้รู้ว่าอยู่แค่ตรงประตู ทั้งยังมีคนมากมายคุมตัวอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียว ทั้งยังมีตัวประกันอยู่ที่หออวิ๋นฮว๋าด้วย ตรงประตูตลาดจะมีคนกล้าก่อความวุ่นวายเชียวเหรอ สินเดิมเจ้าสาวจำนวนมาก? เป็นเรื่องดีนนะนั่น! ถ้าไม่เอาก็เสียของสิ แต่ก็ยังเตือนให้ระวังตัว อย่าให้คนอื่นชิงตัวอวิ๋นจือชิวไป!

พอคังเก็บระฆังดาราแล้วก็หลีกทางให้ ยื่นมือเชิญด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เชิญ!”

อวิ๋นจือชิว’ พลิกมือนำหมวกมุ้งมาสวมปิดบังใบหน้า แล้วเดินไปข้างนอก

“เถ้าแก่เนี้ย!” พวกช่างไม้ค่อนข้างร้อนใจ ก้าวไปข้างหน้าเตรียมจะตามไป แล้วก็ถูกเสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือขวางไว้

“ถอยไปให้หมด!” เชียนเอ๋อร์เกลี้ยกล่อม หันตัวมาบอกว่า “รอฮูหยินกลับมาก็พอ”

พวกช่างไม้หันกลับมามอง เห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์สีหน้าใจเย็น ดูไม่กังวลเลยสักนิด แต่ก็รู้ว่าการที่ทั้งสองทำแบบนี้จะต้องมีเหตุผลแน่นอน ถึงได้ข่มความสงสัยในใจเอาไว้

พอออกจากประตูเมืองทางทิศใต้ ‘อวิ๋นจือชิว’ ที่ถูกทหารหลายร้อยควบคุมตัวก็ยืนอยู่นอกเมืองและหันมองไปรอบๆ พอเหลือบไปทางซ้ายก็เห็นว่าตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ไกลๆ ประมาณร้อยจั้งมีคนคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำและปิดบังใบหน้ายืนอยู่ ยืนเงียบอยู่ตรงนั้นคนเดียว

อวิ๋นจือชิว’ เดินไปทางนั้นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว คังที่ตามติดอยู่ข้างกายส่งสัญญาณมือ ทำให้มีคนสิบกว่าคนเหาะเข้าไปถืออาวุธล้อมคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ทันที ถึงขั้นหยิบธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายคันขึ้นมาเตรียมพร้อมป้องกันแล้วด้วย

…………………………