ตอนที่ 744 สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 744 สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในบรรดาทั้งสามคนนี้ ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านมีการฝึกฝนระดับผลึกขึ้นต้น อีกสองคนที่เหลือต่างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น เดิมทีคิดจะหลบซ่อน แต่ในเมื่อวิหคตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ ก็ถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในทันที

ขณะนั้นเอง มีแสงสีทองเปล่งประกายภายในหุบเขา รุ้งกระบี่สีทองที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ พุ่งยิงออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สามอึดใจ ก็พุ่งตามวิหคสีดำจนทัน

ดูเหมือนว่าวิหคตาข่ายเทาจะหวาดกลัวรุ้งกระบี่นี้มาก พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องอย่างลนลาน แสงสีดำเปล่งประกายบนปีกทั้งคู่ ขณะที่กำลังจะเพิ่มความเร็วนั้น ก็ไม่อยากจะกระตุกโดนบาดแผล จึงเอียงตัวทำให้ความเร็วลดลงไปมาก

“ฟิ้ว!”

รุ้งทองคำอาศัยจังหวะนี้พร่ามัวหนึ่งที จากนั้นก็เพิ่มความเร็วไปแทงปีกขวาจนทะลุ

วิหคตาข่ายเทาส่งเสียงร้องอย่างเวทนา รูเลือดบนปีกขวาไหลออกมาอยู่ไม่หยุด ไอปีศาจสีเทาพุ่งออกจากหัวไหล่ของมัน

ไอปีศาจแผ่ขยายออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุหมุนที่สูงหลายสิบจั้ง คมวายุสีดำเทาจำนวนมากพุ่งออกจากพายุหมุน และพุ่งเข้าใส่รุ้งทองคำที่อยู่ตรงหน้า

แต่ว่าทั้งหมดนี้ล้วนไร้ผล แสงกระบี่สีทองม้วนตัวหนึ่งที ก็ทำลายพายุหมุนสีเทาได้อย่างอย่างง่ายดาย

หลังจากแสงกระบี่สีทองฟันคมวายุจนแตกกระจายแล้ว ความเร็วของมันก็ดูเหมือนจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แสงสีทองลำหนึ่งหมุนวนรอบๆ คอวิหคตาข่ายเทาหนึ่งรอบ ครู่ต่อมา โลหิตจำนวนมากก็ทะลักออกมา หัวของปีศาจวิหคกับร่างของมันขาดออกจากกัน และร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง

ครู่ต่อมา พอแสงกระบี่สีทองดับลง ก็มีเงาร่างสีดำพุ่งออกมา เขามีไอดำจางๆ ปกคลุมอยู่บนตัว และมาปรากฏตัวข้างศพวิหคตาข่ายเทาราวกับปีศาจ

เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

หลิ่วหมิงนำขวดเล็กๆ ออกมาดูดวิญญาณของวิหคตาข่ายเทาอย่างไม่รีบร้อน และเริ่มเก็บศพของมัน ชายชุดดำรู้สึกไม่พอใจจึงทะยานขึ้นฟ้าทันที แต่กลับถูกชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านคว้าตัวไว้ และตะคอกด้วยความโมโห

“เจ้าคิดจะทำอะไร รนหาที่ตายหรือ?

จากนั้นชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ส่งสายตาให้หญิงชุดแดงทีหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อ เมฆมงคลสามสีก็ปรากฏออกมา และม้วนตัวทั้งสามพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตาดูทั้งสามที่จากไปทีหนึ่ง แต่ยังคงยุ่งกับเรื่องของตนเองด้วยสีหน้าปกติ

ผ่านไปสักพัก แสงสีดำลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปยังส่วนลึกของเทือกเขา เหลือไว้เพียงเศษซากศพของปีศาจวิหคที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เท่านั้น

……

ห่างออกไปหลายสิบลี้ บนเมฆมงคลสามสีก้อนหนึ่ง ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านหันหน้าไปมองด้านหลังทีหนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

“พี่ใหญ่ เมื่อครู่ทำไมไม่ให้ข้าลงมือ ใยตรงข้ามมีแค่คนเดียวเท่านั้น มีท่านกับข้าและน้องสามอยู่ พวกเรายังต้องกลัวอะไรอีก?” ชายชุดดำพูดด้วยความไม่เข้าใจ

หญิงชุดแดงที่อยู่ด้านข้างก็แสดงสีหน้าฉงนออกมา และมองไปทางชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่าน

“หึๆ! หากเมื่อครู่เจ้าลงมือจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นศพแล้ว ข้ากับน้องสามเองก็คงยากที่จะรอดไปได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านมองดูชายชุดดำด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา

ชายชุดดำได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที

“พี่ใหญ่ ท่านบอกว่าคนเมื่อครู่……” ดูเหมือนหญิงชุดแดงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที

“ไม่ผิด!” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านนำผลึกกลมๆ สีแดงเพลิงออกมา มันมีขนาดแค่กำปั้น และเปล่งแสงสีแดงแวววาวอยู่

“พวกเจ้าเองก็รู้ เคล็ดวิชาแปลงจิตที่ข้าฝึกฝน ทำให้จิตรับรู้เหนือว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ก็ไม่เห็นจะมีที่เหนือกว่าข้าเลย เมื่อครู่ข้าใช้สมบัติที่อาจารย์มอบให้ วัดความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของจิตรับรู้ดูแล้ว จิตรับรู้ของเขาแข็งแกร่งมาก แม้แต่อาจารย์ของเราก็ไม่อาจเทียบได้” ชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง

ชายชุดดำได้ยินย่อมมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“พี่ใหญ่กล่าวได้ถูกต้อง คนผู้นั้นสังหารวิหคตาข่ายเทาได้ภายในเวลาเทียบเท่ากับการชูแขนยกขาเท่านั้น ความแข็งแกร่งของพลังไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถต่อกรได้” หญิงสาวชุดแดงเองก็กล่าวด้วยความตกใจเล็กน้อย

“แต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้น ข้ารู้สึกคุ้นหน้ามาก ไม่รู้ว่าเป็นยอดฝีมือจากนิกายใด กลับไปแล้วจะต้องรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์อย่างละเอียด” ขณะที่พูดชายฉกรรจ์ชุดผ้าป่านก็ทำท่ามือไปด้วย ทำให้เมฆมงคลสามสีเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย และพาทั้งสามพุ่งออกไปไกลๆ

……

ผ่านไปเกือบยี่สิบวัน เหนือหุบเขาที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง

แสงหลบหลีกสีดำพุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ หลังจากหยุดลงเหนือหุบเขาเล็กน้อยแล้ว ก็ร่อนลงไปด้านล่าง

พอแสงสีดำดับลง เผยให้เห็นชายที่สวมชุดคลุมสีเทาคนหนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

เขาใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณขุดถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่งภายในหุบเขาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเข้าไปอยู่ในนั้น

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินภายในถ้ำ และใช้จิตกวาดดูหมึกแปดขาสีฟ้าที่แนบติดกับหน้าอก

หนึ่งปีก่อน หลังจากเขากับอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองบรรลุระดับสำเร็จแล้ว อสูรสมุทรแปดขาตัวนี้ ก็บรรลุสู่ระดับของเหลวขั้นกลางเช่นกัน ไม่เพียงมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวก็ชัดเจนขึ้นมาไม่น้อย กลิ่นไอยังคงเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในเวลาหนึ่งปีมานี้ ตอนนี้ได้เข้าใกล้ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว

ดูเหมือนว่าผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์ที่มีต่อปีศาจอสูรตัวนี้ จะแข็งแกร่งกว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินเล็กน้อย เพียงแต่ว่ามันไร้ซึ่งสติปัญญาโดยสิ้นเชิง อาศัยเพียงแค่สัญชาตญาณในการดูดซับ ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนแปลงจึงเชื่องช้าอย่างหาที่เปรียบมิได้

หลิ่วมิงตัดสินใจไม่รบกวนสหายน้อยผู้นี้ แต่กลับทำความเข้าใจเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิชาสายฟ้าสวรรค์ ในที่สุดเขาก็เริ่มเตรียมการสำหรับเหนี่ยวนำสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว

เพราะผ่านการทำระดับให้มั่นคงมาเป็นเวลานานแล้ว และพลังเวทในร่างเขาก็อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว

แต่ตามที่บรรยายไว้ในคัมภีร์สายฟ้าสวรรค์ ประกอบกับที่หลัวโหวพูดมา การเหนี่ยวนำสายฟ้าสวรรค์เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก ก่อนอื่นต้องเตรียมการมากมาย และต้องวางค่ายกลใหญ่เพื่อเหนี่ยวนำโดยเฉพาะ

สำหรับเรื่องค่ายกล หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกหน้าแต่อย่างใด ก่อนหน้านั้นก็เคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับจินเทียนชื่อมาจำนวนหนึ่ง รู้ว่าค่ายกลเหนี่ยวนำนี้ง่ายกว่าค่ายกลดารามาก ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องมีหินจิตวิญญาณมิติที่เพียงพอ

ผลึกหินที่พบเจอได้น้อยนี้ ล้ำค่าและหาได้ยากกว่าผลึกหินธาตุไฟและธาตุน้ำมาก ด้วยเหตุนี้สิบวันก่อน เขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ปิดบังกลิ่นไอ และปลอมตัวเข้าไปในตลาดบริเวณนั้น เขาจ่ายไปเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณอย่างไม่เสียดาย รวมถึงกวาดซื้อหินมิติจากหลายๆ ร้านไปจนหมด จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่แสดงร่องรอยแม้แต่น้อย

ต่อมา ภายใต้การชี้แนะของหลัวโหว หลิ่วหมิงก็ใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน วางค่ายกลใหญ่ไว้ขนยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณนี้สำเร็จ

จากนั้นก็รอพายุฟ้าฝนแล้ว

ดีที่ว่าในช่วงเวลานี้ ในเขตพื้นที่หนานฮวงมีฝนตกค่อนข้างมาก ทำให้ลดความกังวลของเขาไปไม่น้อย

คืนวันหนึ่งหลังจากผ่านไปเจ็ดวัน

พายุบ้าระห่ำส่งเสียงดังอื้ออึง ทำให้ค่ำคืนที่มืดมิดดูมืดยิ่งกว่าเดิม

ทันใดนั้น เมฆครึ้มก็ปกคลุมเต็มท้องฟ้า สายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างราวกับอสรพิษฟาดผ่านตรงขอบฟ้าราวกับคมกระบี่เทพสวรรค์ ครู่เดียวก็ฉีกม่านฟ้าอันมืดมิดออกมา และหยาดฝนก็ตกลงมาเต็มฟ้า

บนพื้นที่ว่างใจกลางยอดเขาบางแห่งในขณะนี้ ค่ายกลยักษ์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบสิบจั้งกำลังเปล่งแสงสีดำจางๆ อยู่

หลิ่วหมิงค่อยๆ แยกขาทั้งสองแล้วยืนอยู่บนดวงตาค่ายกล และจ้องมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าสงบ

ด้านนอกค่ายกลขนาดใหญ่ หญิงสาวชุดดำกับเด็กชายชุดเขียวต่างจับจองอยู่ที่มุมหนึ่ง และสังเกตดูความเคลื่อนไหวรอบด้านด้วยสีหน้าสงบ

อย่างที่รู้ว่า การเหนี่ยวนำพลังสายฟ้าเทพนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่อาจถูกรบกวนได้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากหลิ่วหมิงวางค่ายกลใหญ่เสร็จ ก็วางค่ายกลป้องกันไว้บริเวณนั้นอีกสองสามแห่ง ประกอบกับมีอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณทั้งสองคอยคุ้มกันอยู่ ถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา

เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ!

หลังจากเกิดสายฟ้าแลบติดต่อกันแล้ว ก็ตามด้วยเสียงฟ้าร้องอันน่าตกใจ อสรพิษสายฟ้าขนาดใหญ่แต่ละตัวมุดไปมุดบนท้องฟ้า

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ดวงตาเป็นประกาย มือทั้งสองโบกสะบัดติดต่อกัน พลังเวทเป็นสายๆ ร่วงบนธงค่ายกลที่อยู่รอบด้าน ภายใต้การร่ายคาถา ทำให้ค่ายกลใหญ่เปล่งแสงสีดำออกมา และเริ่มทำการหมุนวนแล้ว

ครู่ต่อมา แสงสีดำก็ปิดบังร่างหลิ่วหมิงไว้ ทั้งยังมีเสียงแผดร้องออกมาอยู่รำไร

เมฆดำบนท้องฟ้าค่อยๆ มารวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือค่ายกลขนาดใหญ่ ราวกับกลุ่มภูเขาที่ถูกเหนี่ยวนำเข้ามา

ภายใต้การรวมตัวของหมอกดำ มันก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ ชี้ไปทางค่ายกลใหญ่ที่อยู่ด้านล่างพอดี

ค่ายกลเหนี่ยวนำที่บันทึกไว้ในวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ มีอานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ!

หลิ่วหมิงทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยจิตออกไปควบคุมการโคจรของค่ายกลใหญ่ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

โชคดีที่เวลาเป็นเวลากลางคืน มิเช่นนั้นปรากฏการณ์อันน่าตกใจ อาจจะสั่นสะเทือนถึงผู้ฝึกฝนที่อยู่บริเวณนี้ก็ได้

แต่จะเห็นว่ามีสายฟ้าเปล่งประกายในรูขนาดใหญ่ภายในเมฆดำ สายฟ้าแต่ละเส้นพัวพันกันอุตลุด ก่อตัวเป็นเสาสายฟ้าที่มีลวดลายหลากสี

แม้จะอยู่ห่างกันไกล แต่เขายังสามารถรับรู้ได้ว่าเส้นขนบนผิวหนังเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย

หลิ่วหมิงเพ่งตามองทันที!

สายฟ้าห้าสีที่มีขนาดเล็กราวกับเส้นผม พุ่งออกมาจากส่วนลึกของเสียงฟ้าร้อง มันวนไปมาบนอากาศ ซึ่งดูไม่เตะตาเลยแม้แต่น้อย

แต่ไม่ว่าสายฟ้าทั้งห้าเส้นจะพุ่งไปที่ใด สายฟ้าแลบทั้งหมดก็พุ่งถอยกลับมา

“คือมันนั่นแหละ”

ตำนานเล่ากันว่า มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของระดับดาราพยากรณ์ และทำความเข้าใจความลึกลับของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ขณะที่ผ่านด่านเคราะห์สวรรค์ ถึงเกิดสายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่มีห้าสีนี้ได้

อานุภาพของมันยิ่งใหญ่มาก แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็พูดคุยกันจนหน้าเปลี่ยนสี

หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาของเขาดูราวกับบ่อเย็นที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบ่อ ร่างกายของเขาไม่ขยับเขยื้อน นิ้วทั้งสิบดีดออกไป แต่ละครั้งที่ดีด ก็จะมีธงขนาดเล็กพุ่งออกไป และร่วงลงบนค่ายกลใหญ่

หลังจากธงเสาสุดท้ายปักลงไปแล้ว ก็เกิดเสียงดังฟู่ๆ! ติดต่อกันมา ลำแสงสีดำขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งยิงออกจากมุมต่างๆ

หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา จะเห็นว่าลำแสงสีดำทั้งหมดพุ่งไปผสานกันอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ รวมตัวเป็นลำแสงสีดำขนาดหลายจั้งก่อนพุ่งไปบนอากาศ

สายฟ้าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภายในอัสนีบาตรหยุดชะงักเล็กน้อย และค่อยๆ พุ่งลงไปด้านล่าง

พลังเวทของหลิ่วหมิงพุ่งเข้าไปในค่ายกลใหญ่อยู่ไม่หยุด เพื่อควบคุมการโคจรของค่ายกล ลำแสงขนาดใหญ่ยิ่งจางลงเรื่อยๆ

สายฟ้าห้าสีหมุนตัวกลางอากาศรอบแล้วรอบเล่าราวกับสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าค่ายกลเหนี่ยวนำขนาดใหญ่จะปล่อยแรงดึงดูดออกไปมากแค่ไหน มันก็ยังไม่ยอมร่วงลงมา

………………………………