บทที่ 491.2 แสดงอำนาจที่เมืองฟูนี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ส่วนการเดินทางไปเมืองหลันเซ่อนั้น เนื่องจากต้องอ้อมผ่านภูเขาแม่น้ำจำนวนมาก เป็นเหตุให้ระยะทางยาวไกลถึงแปดร้อยกว่าลี้ เรื่องที่คิดจะขี่กระบี่ บังคับลมบินทะยาน หรือบังคับสมบัติอาคมบินไปนั้น ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมา ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งก็ยังคงเป็นการรนหาที่ตายอยู่ดี ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนผี หาไม่แล้วเมื่อมาเยือนหุบเขาผีร้ายที่มีปราณหยินอึมครึม ปราณเยียบเย็นไหลทะลักดุจกระแสน้ำขึ้นแห่งนี้ก็ไม่มีความหมายของการฝึกฝนประสบการณ์อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่ายังจะเป็นการลดทอนตบะให้เสียหาย แล้วนับประสาอะไรกับที่แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ไม่ยินดีข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลก น้อยครั้งนักที่จะออกจากถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลของตัวเอง เพราะไม่เพียงแต่ถ่วงเวลาในการฝึกตน ยังไร้ประโยชน์อีกด้วย

ก็เหมือนการที่ก่อกำเนิดแซ่ซูของสำนักพีหมาที่มาดูแลเรือข้ามทวีปหนึ่งลำ นั่นเป็นการกระทำด้วยความจนใจเนื่องจากไม่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นอีกแล้ว ก็โทษไม่ได้ที่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนี้จะรู้สึกอัดอั้นตันใจ

ดังนั้นขอบเขตก่อกำเนิดและขอบเขตบินทะยานต่างก็ถูกเรียกขานอย่างขบขันว่าเต่าพันปีและตะพาบหมื่นปี

เฉินผิงอันเลือกจะตรงไปที่เมืองชิงหลู อีกทั้งยังไม่เลือกเดินไปบน ‘ทางหลวง’ ที่สำนักพีหมาบุกเบิกอย่างยากลำบากเส้นนั้นด้วย

เด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาใหญ่ กับกลุ่มคนสามคนที่เป็นผู้ฝึกตนผีจับกลุ่มกับผู้ฝึกตนอิสระสำนักการทหารเลือกจะไปที่เมืองหลันเซ่อ ส่วนหลังจากนั้นจะเสี่ยงอันตรายไปเยือนเมืองชิงหลูอีกครั้งหรือไม่ก็เดาได้ยากแล้ว

ที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจก็คือคู่รักคู่นั้น มองดูเหมือนตบะไม่สูง แต่กลับเลือกเส้นทางอันตรายอย่างเมืองชิงหลูนี้

คู่รักที่มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่ามีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระพูดคุยกันเสียงเบา พวกเขาจับมือกันเดินทางขึ้นเหนือ ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน แม้จะดูเพ้อฝันไปบ้าง แต่สีหน้ากลับเผยให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยว

สมกับคำว่าหาเงินโดยเอาหัวผูกไว้ตรงสายรัดเอวจริงๆ (เปรียบเปรยว่าทำอะไรบางอย่างโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความปลอดภัยของตัวเอง)

เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง ทิ้งระยะห่างจากพวกเขามาค่อนข้างไกล ตนเดินอยู่ด้านหน้า ถึงอย่างไรก็ดีกว่าติดตามอยู่ด้านหลังอีกฝ่าย หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายเกิดการคาดเดาส่งเดช

อีกฝ่ายเองก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเหมือนจงใจ แต่ก็คล้ายไม่เจตนา อีกทั้งยังมักจะหยุดเดินอยู่บ่อยๆ บ้างก็หยิบดิน บ้างก็ดึงต้นหญ้า ถึงขั้นยังขุดดินหาก้อนหิน พินิจพิเคราะห์เลือกไปทีละก้อน

ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายห่างกันมากขึ้นทุกที

พอคู่รักผู้ฝึกตนอิสระคู่นั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็มองไม่เห็นเงาร่างของจอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว

ท้องฟ้าในหุบเขาผีร้ายเป็นสีเทาขมุกขมัว เหมือนสภาพบรรยากาศเวลาฝนตก จึงเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

เฉินผิงอันยิ่งเดินก็ยิ่งเร็ว

ทางสายเล็กคับแคบที่มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลูเส้นนั้นถูกสร้างขึ้นโดยพยายามหลีกเลี่ยงนครน้อยใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายให้มากที่สุด แต่เดิมทีการที่คนเป็นในโลกมนุษย์มาเดินอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของปราณอาฆาตแค้นของคนตายก็เหมือนแสงไฟท่ามกลางม่านราตรีที่โดดเด่นสะดุดตามากอยู่แล้ว และผีร้ายหลายตนที่สูญเสียสติปัญญาไปอย่างสิ้นเชิงก็มีการรรับกลิ่นที่เฉียบไวต่อปราณหยาง หากไม่ทันระวัง เคลื่อนไหวรุนแรงเกินไปก็อาจจะชักนำให้ผีร้ายกรูเข้ามาหากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า สำหรับวิญญาณหยินแข็งแกร่งที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่งแล้ว ผีร้ายที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดาพวกนี้ก็เหมือนซี่โครงไก่ รับสมัครมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา พวกมันก็ทั้งไม่ยอมรับพันธนาการ ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่แน่ว่าอาจเข่นฆ่ากันเอง ทำให้กองกำลังของตัวเองเสียหาย ดังนั้นจึงปล่อยให้พวกมันร่อนเร่ไปเรื่อยแบบนี้ และบางครั้งก็จับเอาพวกมันมาเป็นคู่ซ้อมมือ

ในผืนป่าข้างทางแห่งหนึ่งที่มีกลุ่มอีกาเกาะกิ่งไม้กันอยู่อย่างสงบ เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้าไปมองก็เห็นว่าในจุดลึกของผืนป่ามีเงาวูบวาบ ชุดสีขาวล่องลอยไปมา เดี๋ยวก็ปรากฏตัว เดี๋ยวก็วูบหายไป

เฉินผิงอันจึงถือโอกาสออกจากทางสายเล็ก เดินเข้าไปในป่ารก อีกากระพือปีกบินหนี กิ่งไม้สั่นไหว มองดูคล้ายภูตผีที่แสยะเขี้ยวกางเล็บอยู่ตรงนั้น

เพียงแต่เมื่อเฉินผิงอันเดินเข้ามาในป่า นอกจากเกราะผุพัง หรือไม่ก็อาวุธขึ้นสนิมที่โผล่ปลายส่วนหนึ่งมาจากในพื้นดินแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก

เฉินผิงอันดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงกิ่งหนึ่งของต้นไม้แห้งเหี่ยว พอกวาดตามองไปรอบด้านก็ยังคงมองไม่ออกถึงเบาะแสของความผิดปกติ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันย้ายสายตาไปมองมุมหนึ่งกะทันหัน แล้วเพ่งตามองไป ในที่สุดก็มองเห็นว่าด้านหลังต้นไม้ต้นหนึ่งมีใบหน้าซีดขาวโผล่มาครึ่งซีก ริมฝีปากแดงฉาน ลักษณะคือสตรีผู้หนึ่ง ท่ามกลางผืนป่าที่ไร้กลิ่นอายของความมีชีวิตแห่งนี้ นางจ้องตาอยู่กับเฉินผิงอันเพียงลำพัง ดวงตาคู่นั้นกลอกไปมาอย่างแข็งทื่อ คล้ายกำลังมองประเมินเฉินผิงอันอยู่

เฉินผิงอันจับประคองงอบ คิดว่าจะไม่สนใจวัตถุหยินภูตผีตนนั้น กำลังจะกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงกลับสังเกตเห็นว่าอยู่ดีๆ กิ่งไม้ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดหักออกดังเปาะอย่างไม่มีลางบอกเหตุ เฉินผิงอันขยับเท้าเบี่ยงหลบไปหนึ่งก้าว ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าตรงจุดที่กิ่งไม้หักออกจากกันมีเลือดสดไหลซึมออกมาช้าๆ แล้วหยดลงบนพื้นดินใต้ต้นไม้ จากนั้นเกราะเหล็กทั้งหลายที่ขึ้นสนิมมานานซึ่งถูกฝังลึกอยู่ใต้ดินก็เหมือนถูกคนหยิบมาสวมลงบนร่าง อาวุธก็ถูก ‘ดึงออกมา’ จากใต้ดิน สุดท้าย ‘นักรบสวมเกราะ’ สิบกว่าตนก็พากันลุกขึ้นยืนโงนเงน โอบล้อมต้นไม้แห้งเหี่ยวสูงใหญ่ที่เฉินผิงอันยืนอยู่ต้นนี้เอาไว้

เฉินผิงอันกระโดดผลุงลงมา มายืนอยู่บนไหล่ของทหารชุดเกราะคนหนึ่งพอดี คิดไม่ถึงว่าเกราะเหล็กนั้นจะพลันกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายหล่นฮวบลงบนพื้นดิน เฉินผิงอันยกชายแขนเสื้อขึ้นโบกหนึ่งครั้ง พายุลมกรดส่วนหนึ่งปัดผ่านไป ทหารชุดเกราะทั้งหมดก็พากันแหลกสลายเป็นผุยผงเหมือนกับตนแรกอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองมุมหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง สตรีชุดขาวที่ยังคงโผล่ใบหน้ามาแค่ครึ่งหน้าหลบอยู่หลังต้นไม้ผู้นั้นปิดปากหัวเราะชอบใจ แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ภูเขาแม่น้ำบริเวณใกล้เคียงนี้ ตรงไหนมีผีร้ายเข้าออกบ้าง?”

สตรีค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวเองอย่างแข็งทื่อ

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าหมายถึงผีร้ายประเภทที่ไม่ตายด้วยหมัดเดียว”

สตรีชุดขาวอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเหี้ยมอำมหิต ภายใต้ผิวพรรณที่ขาวซีดเหมือนมีไส้เดือนหลายตัวเลื้อยยั้วเยี้ย นางทำมือต่างมีด ฟันให้ต้นไม้ใหญ่ที่ลำต้นหนาเท่าปากบ่อน้ำต้นนั้นหักโค่นได้อย่างง่ายดายเหมือนใช้มีดหั่นก้อนเต้าหู้ จากนั้นก็ยกฝ่ามือตบหนักๆ หนึ่งครั้ง ผลักต้นไม้ให้กระแทกเข้าหาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า พายุลมกรดเหมือนผนังที่สกัดกั้นอยู่ตรงหน้าเขา พอต้นไม้ที่หักโค่นกระแทกมาโดนก็ระเบิดแหลกลาญ เศษฝุ่นผงลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดินในเสี้ยววินาที

ความเย็นแผ่มาจากใต้ฝ่าเท้าเป็นระลอก ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะสองข้างรัดพันเท้าทั้งสองของเฉินผิงอัน จากนั้นในดินก็มีศีรษะของสตรีผู้หนึ่งโผล่ออกมา

มิน่าเล่าถึงปรากฏตัวให้คนเห็นเพียงครึ่งหน้า ที่แท้ถึงแม้ครึ่งใบหน้านั้นของนางจะซีดขาว แต่จะดีจะชั่วก็ยังมีความงดงามของสตรี ทว่าอีกครึ่งหน้าที่เหลือกลับมีเพียงกระดูกขาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยผิวหนังบางๆ มองปราดๆ จึงเหมือนสตรีอัปลักษณ์ที่มีใบหน้าเพียงแค่ครึ่งเดียว

ใบหน้าครึ่งนั้นของนางน้ำตาคลอเจียนหยดอย่างน่าเวทนา พูดเสียงสั่นว่า “หากท่านแม่ทัพเกลียดแค้นที่ข้าทรยศก็ฆ่าข้าเถิด อย่าได้ใช้มีดกรีดเถือใบหน้าของข้า ข้าทนรับความเจ็บปวดไม่ไหว”

เฉินผิงอันปล่อยให้นางใช้ชายแขนเสื้อทั้งสองรัดพันเท้าของตัวเองเอาไว้ เขาก้มหน้าลงเอ่ยว่า “เจ้าก็คือหนึ่งในสี่ขุนพลผีคนสนิทของเจ้านครฟูนี่ที่อยู่ใกล้ๆ นี้กระมัง? เหตุใดต้องเข้ามาใกล้ถนนขนาดนี้? ข้ามีแผ่นหยกของสำนักพีหมาติดตัว เจ้าไม่ควรมาหาของกินแถวนี้ ไม่กลัวว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะมาเอาเรื่องเจ้าหรอกหรือ?”

ผีสาวชุดขาวไม่คิดจะฟัง ยื่นนิ้วสองข้างมาฉีกผิวหนังครึ่งหน้าที่ไม่มีเนื้อออก กระดูกขาวโพลนด้านในยังคงเต็มไปด้วยรอยกรีดเถือของวัตถุแหลมคม มากพอจะแสดงให้เห็นได้ถึงความเจ็บปวดจากการถูกกรีดผิวหนังที่ทรมานเกินกว่าปกติซึ่งนางได้รับก่อนตาย นางร้องไห้ไร้เสียง ใช้นิ้วชี้ไปยังกระดูกขาวที่โผล่อยู่ครึ่งหน้านั้น “ท่านแม่ทัพ เจ็บ เจ็บ”

เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองสบตากับนาง “พอเถอะ วิชามัวเมาจิตใจของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผล ข้าได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ระหว่างนครฟูนี่กับสำนักพีหมาไม่เลวเลย แต่พวกเจ้ามีศัตรูคู่อาฆาตอยู่กลุ่มหนึ่ง ผู้นำคือวิญญาณหยินเซียนดินที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว กองกำลังใต้บังคับบัญชามีอยู่น้อยนิด แค่ผีร้ายสิบกว่าตนเท่านั้น แต่มักจะออกมาสร้างเรื่องก่อราวเป็นประจำ เหมือนทหารลาดตระเวนชายแดนที่ไปมาไม่แน่นอน วิญญาณหยินโอสถทองตนนั้นชอบกินคนเป็นๆ มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ฝึกลมปราณที่หากตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกมันก็จะอยู่ไม่สู้ตาย เหมือนหมูเหมือนหมาที่คนเลี้ยงเอาไว้ วันนี้ถูกตัดขาหนึ่งข้าง พรุ่งนี้ถูกเฉือนเนื้อหนึ่งก้อน ไม่ถึงแก่ชีวิต พวกมันเองก็รู้จักกาลเทศะ ไม่กล้าล่วงเกินภูตผีของเมืองใหญ่ ชอบเลือกรังแกคนอ่อนแอมากที่สุด กับผีนครฟูนี่อย่างพวกเจ้าก็มักจะมาแอบจับตัววัตถุหยินที่เป็นสตรีหนึ่งถึงสองตนทุกๆ สามวันห้าวัน สภาพการณ์อเนจอนาถยิ่งกว่าเสียอีก”

ผีสาวชุดขาวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงพึมพำต่อว่า “เจ็บจริงๆ เจ็บจริงๆ …ข้าผิดไปแล้ว ท่านแม่ทัพลงมีดเบาๆ หน่อย”

และเวลานี้เอง รอบกายของเฉินผิงอันก็เต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวอบอวล เหมือนถูกรังไหมที่มองไม่เห็นรังหนึ่งห่อหุ้ม

เฉินผิงอันขยับไหล่เล็กน้อย พายุลมกรดก็ซัดกระเทือน ไอหมอกขาวแหลกเป็นจุล

ผีหญิงรู้ว่าท่าไม่ดีแล้ว กำลังจะมุดลงดินหนีไป กลับถูกเฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดต่อยลงกลางหน้าผากอย่างรวดเร็ว หมัดของเขาทำให้ปราณหยินที่ไหลวนอยู่ทั่วร่างของนางหยุดชะงัก จากนั้นก็เฉินผิงอันก็ยื่นมือมากุมลำคอนางแล้วกระชากลากออกมาจากดิน เขาสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง ร่างของนางก็กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ผีสาวชุดขาวขดตัวเหมือนงูสีขาวหิมะที่ถูกคนตีจนกระดูกแตก ได้แต่นอนพังพาบอยู่บนพื้น

เฉินผิงอันถอนหายใจ “หากยังอืดอาดอยู่อย่างนี้ต่อไป ข้าคงต้องลงมือรุนแรงจริงๆ แล้ว”

ผีสาวชุดขาวหัวเราะคิกๆ ร่างลอยพลิ้วขึ้น แล้วพลันเปลี่ยนไปเป็นวัตถุหยินสูงสามจั้งตนหนึ่ง ชุดสีขาวบนร่างก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย

ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ เคยใช้ไม่กี่ประโยคที่กระชับได้ใจความมาอธิบายถึงวัตถุหยินของเมืองฟูนี่แห่งนี้

ผีสาวเรียกตัวเองว่าปั้นเมี่ยนจวง (ประทินโฉมครึ่งหน้า) ตอนมีชีวิตอยู่คืออนุภรรยาของแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการคนหนึ่ง หลังจากตายไปก็กลายเป็นวิญญาณอาฆาต เนื่องจากได้ครอบครองชุดคลุมอาคมไม่ทราบที่มาตัวหนึ่งจึงเชี่ยวชาญการจำแลงกายให้เป็นสาวงาม ใช้หมอกอำพรางตาบดบังจิตใจของผู้ฝึกตน จากนั้นก็จะถูกนางสังหาร เลาะกระดูกดูดไขในร่างกาย ดูดกลืนปราณวิญญาณเหมือนดื่มเหล้า ยากที่จะสังหารอย่างถึงที่สุด เคยถูกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวในหุบเขาผีร้ายใช้กระบี่แทงไปหนึ่งทีก็ยังคงมีชีวิตรอดมาได้

เสื้อผ้าของผีชุดขาวที่เรือนกายใหญ่โตลอยพลิ้วเหมือนริ้วคลื่นน้ำที่แผ่กระเพื่อม นางยื่นฝ่ามือที่ใหญ่โตเท่าใบลานออกมาปาดใบหน้าจากบนลงล่าง

นางสบตากับเฉินผิงอัน ใบหน้านั้นเหลือเพียงดวงตาข้างหนึ่งที่เปล่งประกายแสงแก้วเจ็ดสี

แล้วทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนแปลงไป

เฉินผิงอันหรี่ตาลง “เจ้ารนหาที่ตายเองนะ”

ผีสาวเริ่มโอบล้อมรอบกายเฉินผิงอัน เสื้อผ้าปลิวไสว ริมฝีปากไม่ได้ขยับ แต่กลับมีเสียงแว่วหวานดั่งเสียงสกุณาดังขึ้นรอบกายเฉินผิงอันไม่หยุด เป็นเสียงที่หวานเลี่ยน มัวเมาจิตใจคนอย่างยิ่ง “เจ้าตัดใจฆ่าข้าได้ลงหรือ? เจ้าฆ่าข้าได้หรือ? ไม่สู้คลอเคลียแนบชิดกับข้าสักครั้ง? ก็แค่สูญเสียพลังหยางปราณวิญญาณบางส่วนเท่านั้น แล้วก็จะได้สมใจปรารถนากับสตรีที่ตัวเองหมายปอง ข้าได้กำไร เจ้าเองก็ไม่ขาดทุน เหตุใดถึงไม่ยินดีเล่า?”

หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในแจกันสมบัติทวีปหรือใบถงทวีป หรือแม้แต่ครั้งนั้นที่พลัดหลงเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันก็จะต้องเก็บซ่อนความสามารถก้นกรุและที่พึ่งของตัวเองไว้อย่างระมัดระวัง อีกฝ่ายมีความสามารถเท่าไหร่ก็ค่อยแสดงฝีมือและความสามารถเท่านั้นออกไป เรียกได้ว่ารอบคอบระแวดระวัง วางแผนให้กับตัวเองทุกก้าวย่าง หากเจอกับวัตถุหยินชุดขาวตนนี้อยู่ในสถานที่อื่น เขาจะต้องใช้หมัดประเมินความสามารถของอีกฝ่ายก่อนแน่นอน จากนั้นค่อยใช้ยันต์ แล้วค่อยเป็นกระบี่บินสืออู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สุดท้ายถึงจะเป็นคราวของเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังซึ่งต้องออกจากฝัก

แต่วันนี้ตอนนี้ เฉินผิงอันกลับชักกระบี่ออกจากฝักโดยตรง มือถือเจี้ยนเซียนฟันฉับเข้าที่หัวของวัตถุหยินตนนี้อย่างง่ายๆ เมื่อหัวหลุดออกจากร่าง ศีรษะที่กลับคืนสู่ใบหน้าเดิมนั้นก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่วงดิ่งลงพื้น ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนสนั่นหวั่นไหวก็ระเบิดมาจากซีกหน้าหนึ่งครึ่งบนศีรษะนั้น ใบหน้านั้นกำลังจะเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช้หนึ่งกระบี่เสียบปักตรึงอยู่ที่เดิมเสียก่อน เขายื่นมือมาคว้าจับ กำชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะไว้ในฝ่ามือ มันก็เปลี่ยนมาเป็นผ้าผืนหนึ่งขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้า เบาดุจขนห่าน ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เมื่ออยู่ในมือก็ให้สัมผัสที่เย็นน้อยๆ แต่กลับไร้กลิ่นอายของความอึมครึมดุร้าย คือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่แน่ว่าอาจจะไม่เป็นรองชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวบนร่างของตนตัวนี้ก็เป็นได้

ผีสาวตนนี้ไม่ได้มีพลังการต่อสู้อะไร ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันบอก จะต่อยหนึ่งหมัดให้นางร่อแร่ใกล้ตายก็ไม่ยากเลยสักนิด แต่หนึ่งเพราะแท้จริงแล้วร่างจริงของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะสังหารอย่างไรก็ไม่อาจทำร้ายไปถึงรากฐานของนางได้ นี่จึงเป็นจุดที่ทำให้นางรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ที่นี่คือสถานที่ที่มีปราณหยินเข้มข้น ผีสาวที่ไม่มีร่างจริงอาจจะยังสามารถอาศัยวิชาลับบางอย่างช่วยให้นางเป็นตายอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันได้นับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งปราณวิญญาณที่ฟูมฟักอยู่ใน ‘เนื้อหนังมังสา’ ซึ่งคล้ายคลึงกับการปล่อยจิตหยินออกเดินทางไกลนี้ถูกเผาผลาญจนหมด ส่งผลกระทบไปถึงร่างจริง นางถึงจะยอมหยุด

กระบี่บินชูอีกับสืออู่ก็เหมือนกัน ถึงอย่างไรพวกมันก็ยังไม่อาจเป็นเหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเทพเซียนพสุธาอย่างที่กล่าวถึงในตำนานซึ่งสามารถลอดทะลวงข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา มองข้ามสิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำร้อยลี้พันลี้ แค่ไล่ตามเบาะแสน้อยนิดไปก็จะสามารถสังหารศัตรูอย่างไม่ทิ้งร่องรอยได้

มีเพียงเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังนี้เท่านั้นที่แตกต่าง

ผีสาวของนครฟูนี่ที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา แล้วอยู่ดีๆ ก็จากไป ไม่เพียงแต่เนื้อหนังมังสานี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณแหลกสลายอย่างสิ้นเชิงในเสี้ยววินาที ร่างจริงแห่งชะตาชีวิตของนางก็ต้องได้รับบาดเจ็บส่วนใดส่วนหนึ่งด้วย เจี้ยนเซียนบินกลับเข้าฝักด้วยตัวเองอย่างเงียบเชียบ

เฉินผิงอันเพิ่งจะเก็บชุดคลุมอาคมเล็กจิ๋วชิ้นนั้นใส่เข้าไปในชายแขนเสื้อก็มองเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีหญิงชราหลังค่อมคนหนึ่ง มองดูเหมือนฝีเท้าเนิบช้า แต่แท้จริงแล้วกลับย่อพื้นที่ขยับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นางหยุดยืนนิ่งห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปหลายสิบก้าว หญิงชราสีหน้ามืดทะมึน “ก็แค่การหยั่งเชิงที่ไม่เจ็บไม่คันเท่านั้น เจ้าจำเป็นต้องลงมืออย่างอำมหิตขนาดนี้เชียวหรือ? คิดว่านครฟูนี่ของพวกเราเป็นมะพลับนิ่มจริงๆ หรือไร? เจ้านครกำลังเดินทางมาแล้ว เจ้าก็รอความตายได้เลย”

เฉินผิงอันเงยหน้ามองก็เห็นว่ากลางอากาศมีรถลากคันมหึมาทะยานลมมาถึง รอบด้านมีขบวนผู้คนเอิกเกริก นางกำนัลหญิงที่รายล้อมมากมายดุจก้อนเมฆ บางคนถือฉัตรบังแสงแดด บางคนถือแผ่นหยกเปิดทาง และยังมีพัดขนนกเล่มใหญ่ยักษ์ที่ใช้ป้องกันฝุ่นป้องกันลม ประดุจดาวห้อมล้อมดวงเดือน ทำให้ขบวนรถนี้เหมือนขบวนของฮ่องเต้ที่เสด็จออกประพาส

ดูท่าแล้วเจ้านครฟูนี่จะเดินทางมาเยือนด้วยตัวเองจริงๆ

ในหุบเขาผีร้าย วิญญาณวีรบุรุษที่แยกตัวตั้งตนเป็นราชาก็ดี วิญญาณหยินแข็งแกร่งที่ยึดครองภูเขาแม่น้ำหนึ่งแห่งก็ช่าง ล้วนไร้ขื่อไร้แปยิ่งกว่าเจ้าเกาะน้อยใหญ่บนทะเลสาบซูเจี่ยนเสียอีก พวกผีหญิงของนครฟูนี่แห่งนี้ก็แค่มีกำลังไม่มากพอ เรื่องชั่วร้ายที่สามารถทำได้จึงไม่ยิ่งใหญ่สักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับนครแห่งอื่นๆ ชื่อเสียงของพวกนางถึงได้ดีกว่าเล็กน้อย

เฉินผิงอันขยับงอบ ถอนสายตากลับมามองหญิงชราที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างผู้นั้น “ข้าก็ไม่ได้ข่มขู่อะไรมากมายเสียหน่อย”

—–