ตอนที่ 2166 มหาสงครามแดนพฤกษา (13)

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ครึ่งชั่วยามต่อมา เสียงพึมพำก็ดังออกมาจากความว่างเปล่า ประกายแสงสีเขียวสว่างวาบเข้ามา จานแปดเหลี่ยมสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา

ในตอนนั้นเองเสียงของชายหนุ่มชาวเผ่าพฤกษาก็ดังขึ้นมา

“พี่หาน ทางพี่ไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ทางข้าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้ากระตุ้นการใช้งานเขตต้องห้ามได้แล้ว ตอนนี้พี่ล่อให้พวกร่างจำแลงบรรพชนมารมากลางเทือกเขาได้เลย ข้าจะสั่งค่ายกลเพื่อดักจับมันเอง”

“ไม่ต้องรบกวนทางนั้นแล้วก็ได้ เขตต้องห้ามก็เก็บไว้ก่อนก็ได้ ใช้มันสำหรับศัตรูคนถัดไปก็ดี ทางด้านข้า ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” หานลี่ถือจานแปดเหลี่ยมไว้ในมือหนึ่ง เขาตอบกลับเบาๆ ส่วนมืออีกข้างก็ถือขวานสีดำเอาไว้ และกำลังมองดูอย่างสนใจ

ขวานสีดำอันนี้เคยเป็นอาวุธของชายสวมชุดเกราะสีทองมาก่อน ในตอนนี้นอกจากนักพรตเซี่ยและร่างวิญญาณที่เหนื่อยล้าแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก แต่อย่างไรก็ตามพื้นที่ในระยะร้อยลี้ก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อจำนวนมาก ไม่มีพื้นที่ไหนดูเหมือนสภาพเดิมเลย

เห็นได้ชัดว่าเมื่อไม่นานมานี้ ที่นี่เคยมีสงครามครั้งใหญ่มาก่อน “อะไรนะ พี่หานหมายความว่า…” จานแปดเหลี่ยมนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงของเขาดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินมาก

“ร่างจำแลงบรรพบุรุษพวกนั้นโดนข้ากับนักพรตเซี่ยจัดการไปแล้ว ตอนนี้สหายยังควบคุมเขตต้องห้ามอยู่สินะ เช่นนั้นก็ปล่อยมันไปก่อนก็แล้วกัน” หานลี่สะบัดมืออีกครั้ง ขวานสีดำที่อยู่มือก็หายไปแล้ว เขาตอบเบาๆ

ในสงครามเมื่อครู่ เขากับนักพรตเซี่ยร่วมมือกันต่อสู้กับมารทั้งสามอย่างสบายๆ มีเพียงมารทั้งสามเท่านั้นที่วุ่นอยากหนีไปน่ะ พวกเขาจึงต้องเสียเวลานิดหน่อยที่ต้องไล่ฆ่าพวกมันทีละคน

“พี่หานกับพี่เซี่ยนี่ฝีมือสุดยอดจริงๆ ข้าคาดไม่ถึงเลย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายอันที่สองของพวกเราก็ไม่มีเสียหายแล้ว” ชายหนุ่มเผ่าพฤกษาพูดออกมาด้วยความดีใจ น้ำเสียงที่ดังออกมาจากจานแปดเหลี่ยมเหมือนจะเพิ่มความให้เกียรติเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าเมื่อหานลี่แสดงฝีมือที่แท้จริงไป ทำให้กองทัพพันธมิตรไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนธรรมดาอีกแล้ว น้ำเสียงยังเพิ่มความเคารพอีกหลายส่วนด้วย

หานลี่หัวเราะเบาๆ ในตอนที่เขากำลังจะตอบอะไรบางอย่างไป เขากลับได้ยินเสียงฟ้าร้องดังออกมาต้นสาย พื้นที่รอบข้างกลายเป็นสีขาวสว่างจ้า ระลอกคลื่นขนาดใหญ่ก็กระจายออกมาจนทั่ว พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนรุนแรง แทบจะในเวลาเดียว เสียงของชายหนุ่มเผ่าพฤกษาก็ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา หานลี่ยกยิ้มขึ้น สายตาเขามองไปรอบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับจานแปดเหลี่ยมอย่างช้าๆ

“สหายเฉ่า เหมือนว่าตาค่ายหมายเลขหนึ่งจะถูกทำลายแล้วใช่หรือไม่”

“พี่หานคาดเดาได้ถูกต้อง เมื่อครู่มีสัญญาณเตือนจากกองหนุนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ว่าตาค่ายหมายเลขหนึ่งโดนทำลายแล้ว ฝ่ายนั้นมีร่างจำแลงบรรพชนเผ่ามารสามตนโจมตีพร้อมกัน” น้ำเสียงอันขมขื่นจากปลายเสียงดังออกมาจากจานแปดเหลี่ยม

“นี่เป็นสิ่งที่ข้าคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว หากพวกเราอยู่ที่นาน แขกกลุ่มถัดมาก็จะต้องมาหาเราเองแน่” หานลี่ตอบกลับพร้อมหัวเราะเย็นๆ

“พี่หาน พี่กับสหายเซี่ยกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ หากร่างจำแลงบรรพชนมาจริงๆ เกรงว่าข้าจะต้องรบกวนพี่และสหายเซี่ยมาช่วยรับมือ ตอนนี้พี่ไปพักผ่อนฟื้นพลังก่อนดีกว่า” ชายฉกรรจ์ชาวพฤกษาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับพวกเขาเสียงเรียบ

“มีเหตุผล ข้ากับสหายเซี่ยไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน” แววตาของหานลี่เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรมากอีก เมื่อเขาเก็บจานแปดเหลี่ยมลงไปแล้ว เขาก็หันไปบอกกับนักพรตเซี่ยแล้วเดินทางจากไปทันที ทั้งสองคนควบคุมสายรุ้งให้เดินทางกลับไปที่กลางเทือกเขา

อีกทั้งพื้นที่เดิมที่พวกเขายืนอยู่นั้นก็เกิดแสงสีเขียวกระจายออกมาจนทั่ว แผ่นดินที่เป็นหลุมเป็นบ่อก็มีต้นหญ้าและพุ่มไม้จำนวนมากปกคลุมจนทั่ว ต้นไม้จำนวนมากมายเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มันเติบโตขึ้นใหม่จนทั่วกลายเป็นพื้นป่าเขียวขจี

ครึ่งชั่วยามต่อมา ท่ามกลางความว่างเปล่าในเทือกเขาที่ห่างไปหลายหมื่นลี้ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดัง “ตู้มๆ” บนท้องฟ้ามีเส้นแสงสีดำปราณมารก็แผ่ออกมาอย่างท่วมท้น เส้นแสงนั้นมุ่งหน้าไปทางใจกลางของเทือกเขา

ปราณมารที่แผ่ออกมานั้นทำให้คนที่เห็นตกใจมาก มันขนาดใหญ่มาก คล้ายภูเขาเล็กๆ หรือพระราชวังซ่อนอยู่ในนั้น ภายในห้องโถงของพระราชวังนั้นมีมารชายหญิงแต่งตัวต่างกันออกไปเจ็ดตน ยืนเรียงแถวกันอยู่ พวกเขากำลังคุยกันด้วยเสียงทุ้มต่ำ บนร่างกายของมารทั้งเจ็ดแผ่ปราณที่แข็งแกร่งออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่แค่จอมมารธรรมดา

“พวกตาแก่พวกนั้นล้วนเป็นขยะทั้งสิ้น พวกเราสองกลุ่มจัดการได้อย่างง่ายดายแท้ๆ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ขาดการติดต่อไป จนถึงตอนนี้ ยังเพิ่มภาระให้พวกเราอีก” ชายเผ่ามารชั้นสูงผู้หนึ่งที่มีประกายสีเงินบ่นขึ้นอย่างไม่พอใจ

“ถ้าพูดความแข็งแกร่ง สหายทั้งห้านั้นคงจะมีฝีมือไม่ต่างจากพวกเราทั้งเจ็ดคนมากนัก ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่สามารถร่วมเดินทางมาพร้อมกับพวกเราได้ แต่แค่ทำลายตาค่าย จนถึงตอนนั้นยังไม่สำเร็จอีก เป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะโดนเขตต้องห้ามจับตัวเอาไว้แล้ว” มารสาวสวมชุดนางสนมในวังกล่าวขึ้นอย่างยิ้มๆ

“หึ พวกเราและสหายซายังจัดการได้อย่างง่ายดาย มีเพียงทางตาแก่นั่นแหละที่มีเรื่อง พวกเขาทั้งช่างไร้ประโยชน์จริงๆ” ชายเผ่ามารร่างสูงใหญ่กรอกตามองบนแล้วพูด เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบ “พวกตาแก่ เหล่านั้น”

“ถ้าแค่โดนจับอยู่ ก็ดีไป แต่ถ้าเขาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งล่ะ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงพวกเราทั้งเจ็ดก็ต้องระวังตัวหน่อยแล้ว” ชายผมสีเหลือง พูดด้วยเสียงเย็นเยียบ

“ไม่น่าจะเป็นไปได้หรอก ด้วยฝีมือของพวกเขา ถ้าไม่ได้เจอระดับมหาเมธี พวกเขาสามารถปกป้องตัวเองได้แน่นอน ที่ติดต่อไม่ได้เป็นเพราะติดอยู่ในเขตต้องห้ามนั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” มารสาวที่สวมชุดนางสนมพูดขึ้น ด้วยท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ

“แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ค่ายกลที่สามารถขวางทางมารทั้งห้าได้ พวกเราต้องระวังเอาไว้ นั่นถูกต้องแล้ว” ชายชราพูดต่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

“ในเมื่อจี้เหล่าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าเองก็ระวังให้มากขึ้น” มารส่วนใหญ่ในกลุ่มก็พูดอย่างคล้อยตาม

มารตนอื่นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ชายผมสีเหลืองพยักหน้าพร้อมเตรียมจะสั่งการอีกสองสามคำ แต่จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีเขาเงยหน้าขึ้น แล้วใช้สายตากวาดไปทั่วท้องฟ้า

“มีอะไรหรือ จี้เหล่าเจออะไรเข้าหรือ” มารตนอื่นๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ มารรูปกำยำตนอื่นก็อดถามขึ้นมาไม่ได้

ชายผมสีเหลืองกลับไม่ได้ตอบอะไร แต่มีระลอกคลื่นขนาดใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อปรากฏอยู่กลางอากาศ แสงสีเขียวกะพริบถี่ขึ้น ม่านแสงสีเขียวจางๆ ก็ปรากฏขึ้น จากนั้นกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งท้องฟ้า “แย่แล้ว หนีเร็ว” ชายผมสีเหลืองหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกลิ้งลงไปที่พื้น กลายร่างเป็นนกอินทรีขนาดใหญ่ขนสีเหลือง เมื่อมันกระพือปีกขึ้น ก็เปลี่ยนร่างเป็นลูกบอลแสงสีเหลืองบินหายไปจากห้องโถง

มารทั้งหกตนที่เหลือยังคงตกใจอยู่ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาหลบหนีหายออกไปทุกทิศทุกทาง

ม่านสีเขียวนั้นปกคลุมทั่วมีขนาดใหญ่มากกว่าหนึ่งร้อยหมู่ หลังจากนั้นก็มีสายฟ้าฟาดลงมาอย่างรุนแรง รวดเร็ว จนปราณมารสีดำถูกดูดกลับเข้าไปอีกด้วย อย่างน้อยมีมารสี่ตนที่หนีไม่พ้น และถูกจับตัวไว้ในม่านสีเขียว

มารสามตนที่หนีออกมาได้หันหลังกลับทันที พวกเขาโจมตีไปที่ม่านแสงนั้นเพื่อจะช่วยเพื่อนพ้องโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

แต่เมื่อม่านแสงค่อยๆ ดับลงไปชั่วครู่ จากนั้นมันก็ระเบิดแสงออกมากลายเป็นลูกบอลแสงขนาดใหญ่ ส่งเสียงร้องคำรามลั่นท้องฟ้า แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มารทั้งสามอยู่ยืนอยู่ด้านนอกตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกโมโหอย่างมาก เตรียมตัวจะไล่ตามแสงนั้นออกไป

แต่ในตอนนั้นเอง กลางอากาศก็เกิดระลอกคลื่นขึ้นมาอีกครั้ง มีเงาคนสีเขียวและสีทองปรากฏตัวออกมา ยืนขวางทางเดินของมารทั้งสามพอดี

มารทั้งสามรู้สึกตกใจอย่างมาก เขากวาดสายตามองเงาทั้งสองร่างด้วยความระแวดระวัง

เงาร่างสีเขียวที่เดินออกมาก็คือหานลี่ เขากวาดสายตามองมารทั้งสามแล้วพูดเสียงเรียบว่า

“ในเมื่อพวกท่านทั้งสามโชคดีจากเขตอาคมต้องห้าม งั้นข้าจะเป็นคนส่งพวกท่านไปเอง วางใจเถอะ รอข้าจัดการพวกท่านทั้งสามเสร็จแล้วก็จะส่งสหายของท่านตามไปด้วย จะไม่ทำให้พวกท่านเหงาแน่นอน”

สิ้นเสียงของหานลี่ เขาก็ตบที่กลางศีรษะของตัวเอง ทันใดนั้นจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องมากมาย และยังมีกลุ่มควันสีทองอีกห้ากลุ่มลอยออกมาพร้อมกัน และกลายร่างเป็นวานรยักษ์ เฟิ่งสีรุ้ง วิหคสีเงิน นกยูง และมังกรสีทอง ห้ากลุ่มร่างเงาก็วิ่งวนอยู่รอบๆ ไม่หยุด

จิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดใช้มือเล็กๆ ขยับไปมา

จิตวิญญาณสัตว์ทั้งห้าก็ลอยหายเข้าไปร่างของจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิดคนนั้น

จากนั้นก็มีเสียงดังตู้ม

ทันใดนั้นก็มีแสงระยิบระยับสีทองออกมาจากจิตวิญญาณขั้นก่อกำเนิด หลังจากแสงสีทองค่อยๆ หายไป หานลี่และจิตวิญญาณของเขาก็หายตัวไปแล้ว แต่มีมารรูปร่างแปลกๆ ปรากฏตัวออกมาแทน

เงาร่างนั้นมีแสงสีทองส่องประกายออกมา ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือหน้าตาก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองทั้งสิ้น บนหัวของเขามีเขาสีเขียวอยู่คู่หนึ่ง ลูกตาที่สามสีดำเข้มปรากฏขึ้นอยู่ระหว่างคิ้ว

คาดไม่ถึงว่าหานลี่จะใช้วิชานี้ทันที เขาได้เพิ่มนิพานกลายร่างขึ้นอีกขั้น

นักพรตเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มลงมือบ้างเสียงฟ้าผ่าดังโครมคราม จากนั้นก็มีปูยักษ์ขนาดร้อยจั้งปรากฏออกมาท่ามกลางประจุสายฟ้าสีเงิน

มารทั้งสามที่เห็นเช่นนั้น สีหน้าก็ดูไม่ได้อย่างมาก

หลังจากตาค่ายหมายเลขหนึ่งโดนทำลาย ไม่กี่ชั่วยามถัดมาปราณมารเข้มข้นก็ปกคลุมที่แห่งนี้ด้านล่างมีทหารมารสวมชุดคลุมจำนวนนับไม่ถ้วยกำลังเดินต่อแถวเรียงเข้ามา

เหนือกองทัพมารเหล่านั้น มีมารระดับสูงยืนมองสถานการณ์ด้วยความมืดมน

“พวกเราขาดการติดต่อกับพวกสหายจี้เช่นกัน ดูเหมือนว่าตาค่ายหมายเลขสองจะมีอะไรผิดปกติแน่นอน ไม่เช่นนั้นสหายสองกลุ่มที่ส่งเข้าไป จะขาดการติดต่อเหมือนกันหรือ” มารหนุ่มสวมชุดเกราะสงครามสีดำพูดขึ้น