GGS:บทที่ 1136 แรงกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่
ชายเคราดกที่นั่งขับรถอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากที่นั่งข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดู เขานั้นสับสนในทันทีก่อนที่จะรีบถามออกมาว่า “เฮ้ย…เป็นอะไรของเอ็งวะอยู่ๆก็ร้องไห้ออกมา แค่ดูการสตรีมนี่เอ็งถึงกับร้องไห้เลยเหรอ”
“ฮือออ……ลูกพี่ เราเอาหมาสามตัวนี่ไปคืนเขาไม่ได้เหรอ สิ่งที่พวกเราทำมันไม่ถูกต้องนะ สิ่งที่พวกเราทำมันโหดร้ายเหลือเกิน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสารได้ขอร้องออกมาด้วยสายตาที่ชุ่มแฉะ
ชายเคราดกที่ได้ยินถึงกับโง่งมและนิ่งอึ้งจนเกือบจะขับรถไถลลงข้างทางไปในทันที
ทันทีที่เขานั้นประคองรถกลับมาเป็นปกติได้ เขาได้รีบทำการจอดเข้าข้างทางในทันทีก่อนที่จะตบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังร้องไห้เสียงดังชาดใหญ่จนคนที่นั่งอยู่ที่กระบะก็ยังได้ยิน
ชายไว้หนวดตะคอกออกมาว่า “เป็นห่าอะไรของเอ็งเนี่ย อยู่ๆนึกจะมีจิตใจอ่อนโบนขึ้นมารึไงกันเหอะถึงได้ร้องไห้เป็นผู้หญิงแบบนี้”
“ผม…ผม…ฮึก..ผมก็แค่คิดว่าการที่พวกเรานำสุนัขสามตัวนี้มา….มา….ฮึก..มาจากเจ้าของที่คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแบบนี้มัน…ฮึก..โหดร้ายเกินไป แถม….ฮึก..ที่เราจะทำนั้น….เป็นฮึก..การจับไปฆ่าเพื่อขายเป็นเนื้ออีก…ฮึก..”
“หากลูกพี่ฮึก..ได้ฟังบทเพลงของพี่จิ้งล่ะก็ฮึก..ลูกพี่จะรู้ว่าพวกเรานั้นทำผิดแค่ไหนฮึก..พวกเรานั้นคือคนบาปฮึก..” ชายหนุ่มพยายามอธิบายออกมาด้วยจิตใจที่รู้สึกสำนึกผิดจนร้องไห้หนักขึ้น
ชายหนุ่มไว้หนวดถึงกับอารมณ์เสียจนประเคนมือและเท้าไปอีกชุดหนึ่งพร้อมทั้งตะคอกขู่เข็ญต่างๆนานา แต่จนที่สุดแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงขอร้องแทนสุนัขทั้งสามตัวที่อยู่ด้านหลังต่อไป
หนุ่มไว้หนวดเองก็รู้สึกจนไปยาจนในที่สุดเขาก็ต้องหยิบโทรศัพท์มาดูว่าเป็นเพระอะไร อยู่ๆ มีเพชรฆาตสังหารหมาของเขาถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
ด้วยการที่การสตรีมของซูจิ้งนั้นจบไปแล้ว เขาจึงได้กดย้อนดูการสตรีมดู แต่เพียงหลังจากที่ได้ยินนั้น หนุ่มไว้หนวดก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“ผมพูดถูกใช่รึเปล่าลูกพี่ ผมว่าเราควรเอาสุนัขสามตัวนี้ไปคืนนะ” ชายหนุ่มคนที่ร้องไห้ในตอนนี้พยายามเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม…ได้…ใช่แล้ว นายพูดถูก” ชายหนุ่มไว้เครานั้นไม่ได้มีมีท่าทางอะไรมากนัก เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เขาเดินไปข้างหลังรถก่อที่จะเปิดท้ายกระบะและปลุกหมาทั้งสามตัว
หมาทั้งสามที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นได้พยายามลุกขึ้นอยู่หลายครั้งก่อนที่จะพากันเดินออกมาจากรถอย่างุนงงและเดินแทบจะไม่ตรงราวกับพึ่งสร่างเมา จนในที่สุด สุนัขทั้งสามก็ค่อยๆเดินลับหายไป
ชายหนุ่มที่มองไปยังสุนัขทั้งสามที่เดินลับหายไปนั้นเขาได้ยิ้มออกมาอย่างละไม แต่ในใจของเขานั้นกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆอันโหดร้ายที่ตัวเองนั้นได้กระทำมา แต่อีกใจหนึ่งนั้นเขาก็คิดอยู่ว่าทำไมตัวเขานั้นต้องปล่อยสุนัขทั้งสามนี้ไปด้วย
ชายไว้หนวดในตอนนี้เริ่มนึกสงสัยขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เรื่องแบบนี้สำหรับเขาแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
สำหรับเขาแล้วหากว่าไม่โหดร้ายแบบนี้แล้วเขาก็จะไม่สามารถมีชีวิตดีๆอยู่ได้ สำหรับคนอื่นพวกมันคือครอบครัวแล้วยังไง สำหรับเขาแล้วพวกมันก็แค่เนื้ออย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
“แม่…เอ๊ย ฉันไม่หน้าหลงไปฟังสตรีมนั่นเลยจริงๆ ฉันเป็นไอ้ขี้แพ้ใจอ่อนในทันทีที่ฟังสตรีมนั่น” ชายไว้หนวดในตอนนี้เริ่มแสดงความโกรธอีกครั้งก่อนที่จะหันไปต่อยและเตะใส่ชายหนุ่มต้นเหตุเรื่องอีกทีสองทีอย่างหมั่นเขี้ยว
นี่คือผลพวงที่เกิดขึ้นจากการได้ฟัง บทเพลงแห่งนิจนิรันดร ผู้คนที่ได้ยินนั้นแน่นอนว่าจะซาบซึ้งในรสพระธรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะสามารถซึมซับได้เท่ากัน
โดยทั่วไปแล้วผู้คนนั้นต่างก็คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในฝากฝั่งหนึ่งแห่งการกระทำ ไม่ดีไปเลยก็ชั่วไปเลย แต่ในความเป็นจริงนั้นช่างต่างออกไป ในคนที่คิดว่าตัวเองดีนั้นก็ยังมีด้านไม่ดีอยู่บ้าง หรือกับบางคนนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้มีจิตใจที่โหดร้ายอะไรแต่โดนสถานการณ์บังคับเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
แต่ก็ยังมีบางคนเช่นกันที่จิตใจนั้นผิดบาปไปจนถึงแก่นก็ไม่น้อย คนแบบนี้แน่นอนว่าย่อมทำให้เห็นธรรมนั้นช่างยากยิ่ง
แต่ในที่สุดแล้วไม่ว่าใครก็ตาม ไม่อาจจะต้านทานบทเพลงแห่งนิจนิรันดรนี้ได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ทั่วทั้งประเทศนั้นได้มีผู้คนไม่ต่ำกว่าสามล้านคนได้ซึมซับธรรมะและความสงบจากบทเพลงแห่งนิจนิรันดรนี้ และยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเพื่อย้อนดูวิดีโอย้อนหลัง และจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว และด้วยการที่ผู้คนศรัทธาบทเพลงนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบด้านดีที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เล่นบทเพลงอรหันต์ทองคำที่นอกจากจะทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนเข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิ
เขายังได้เล่นเพลงอรหันต์เพชรแท้ที่ช่วยผู้รับฟังนั้นละทิ้งจิตใจที่อ่อนแอและสับสน และช่วยให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นไป
ผลจากเพลงแต่ละเพลงนั้นถึงแม้จะแตกต่างกันไปแต่ล้วนแล้วช่วยส่งเสริมจิตใจของผู้คนทั้งสิ้น และนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการสะกดจิตแต่อย่างใด
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าแต่ละคนนั้นย่อมซึมซับธรรมะได้ไม่เท่ากัน คนไหนที่มีความดีอยู่เป็นพื้นเดิมนั้นเมื่อฟังแล้วจิตใจก็ยิ่งเข้าถึงธรรมะในใจได้อย่างกระจ่างชัด
ส่วนเหล่าผู้คนที่ทำไม่ดีมาตลอดชีวิตนั้น บทเพลงนี้ก็ไม่ได้ต่างจากบทเพลงต้องสาปแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะละทิ้งจิตใจด้านมืดแล้วเข้าสู่ด้านสว่างอย่างเต็มตัว
ในตอนนี้จำนวนของผู้ชมในช่องสตรีมของซูจิ้งนั้นเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม สี่ล้าน…. ห้าล้าน…. หกล้าน…. เจ็ดล้าน…. ราวกับว่าทุกคนที่เข้ามานั้นต้องการแสวงหาการล้างบาปของตน
ณ วัดหลานเร่อ ที่นี่มีการเปิดช่องสตรีมของซูจิ้งอยู่เช่นกัน ไม่เพียงแต่โจวฮงหยวนเท่านั้น แม้แต่ปรมาจารย์เฉินหยาน เจ้าอาวาสซูหยุน เสี่ยวไจ่ และพระรูปอื่นๆเองต่างก็ฟังด้วยจิตใจที่เลื่อมใส
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่อาตมาได้รับรู้ว่าบนโลกนี้เองก็ยังมีบทเพลงที่แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบแบบนี้ แถมยังเข้าถึงทุกสรรพสิ่งแบบนี้ได้” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ระดับของอาจารย์สูงขึ้นอีกแล้ว” เสี่ยวไจ๋ดออกมาด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
เฉินฮงในตอนนี้มีสีหน้าที่อวบอิ่ม เขาเองก็ได้ดูการสตรีมของซูจิ้งในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ต้น เขาได้รับฟังบทเพลงต่างๆของซูจิ้งโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อยจนในตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ากำลังสดับฟังเสียงแห่งพระพุทธเจ้าอยู่เลยทีเดียว
ในห้องซ้อมดนตรีแห่งหนึ่ง เป่ยเจียฮ่าวกำลังสอนลูกศิษย์ในการเล่นกู่จิ้งอยู่ นี่คือเนื้อหาหลักของคอร์สการสอนนี้
ด้วยการที่เขานั้นเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับกู่จิ้งทั้งหมดที่มีแล้วทำให้เขานั้นค่อนข้างว่างจึงได้เปิดสอนการเล่นกู่จิ้งขึ้นมาฆ่าเวลา
ในขณะที่สอนอยู่นั้น เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นพ่อของเขาเป็นคนโทรมาจึงได้ออกจากห้องเพื่อรับสาย ตอนที่รับสาย พ่อของเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า “เจียฮ่าว ลูกดูช่องสตรีมของซูจิ้งอยู่รึเปล่า”
“เปล่าครับ ผมกำลังสอนอยู่” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“รีบเปิดดูเร็วเข้า มันช่างน่ามหัศจรรย์นัก”
“น่ามหัศจรรย์ยังไงพ่อ…อย่าบอกนะว่าเขาแต่งเพลงใหม่อีกแล้ว” เป่ยเจียฮ่าวถามออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย ในฐานะสุดยอดแฟนตัวยงคนหนึ่งมีหรือที่เขาจะไม่สนใจผลงานของซูจิ้ง
“ไม่เพียงจะเป็นผลงานใหม่ แต่บทเพลงนี้ยังเป็นบทเพลงแห่งพุทธอีกด้วย แถมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่ยังมีอีกหลายเพลง และล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบเอาไว้อีก”
เมื่อเป่ยเจียฮ่าวได้ยินแบบนี้ก็อดที่จะใจต้นแรงไม่ได้ในทันที ด้วยการที่พ่อของเขานั้นเลื่อมใสในพุทธศาสนาทำให้ตัวเขาเองนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เล็ก
ในตอนที่เขานั้นเคยเทียบเคียงฝีมือในครานั้น ด้วยบทเพลงท่วงทำนองแห่งพระเจ้าในตอนนั้นทำให้เขาต้องแพ้พ่ายไป แต่ในครานั้นต่อให้เพลงท่วงทำนองแห่งพระเจ้าจะดีขนาดไหนแต่เขาก็ยากที่จะยอมรับว่านั่นคือบทเพลงแห่งพุทธ นี่ทำให้เมื่อได้ยินแบบนี้ เป่ยเจียฮ่าวจึงยากที่จะหักห้ามใจตนเอง
เป่ยเจียฮ่าวได้ทำการเปิดช่องสตรีมของซูจิ้งขึ้นมาและเตรียมที่จะใส่หูฟังเพื่อฟังบทเพลงบรรเลงกู่จิ้งให้หนำใจ
แต่ทันใดนั้น เขาได้หยุดคิดสักพักก่อนที่จะตัดสินใจบอกให้นักเรียนเลิกฝึกและมานั่งดูการสตรีมนี้ด้วยกัน
ด้วยการที่ซูจิ้งถูกเรียกว่าปรมาจารย์ด้านกู่จิ้งอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ การได้ยินบทเพลงของซูจิ้งนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่สูญเปล่าแต่อย่างใด
เมื่อเป่ยเจียฮ่าวกดเข้าไปในช่องสตรีมของซูจิ้งนั้น ในตอนนี้เขากำลังขับร้องบทเพลงมหาวัจระ หลังจากได้ยินเพียงชั่วครู่ เป่ยเจียฮ่าวนั้นมีสายตาที่เปล่งประกายในทันที
สำหรับนักเรียนของเขานั้น ทั่วทุกคนต่างสับสนในตอนแรก แต่ก็รู้สึกประหลาดใจในตอนหลัง นั่นก็เพราะบทเพลงนี้มีเสียงบรรเลงที่แปลกประหลาด คำร้องที่ไม่เหมือนเพลงธรรมดา แต่เมื่อผสมรวมกันแล้วกลับกลายเป็นส่งเสริมและแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศแห่งความสงบอย่างน่าประหลาดใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งสงบ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกลุ่มลึก หลังจากฟังไปได้สักพัก ทั้งเป่ยเจียฮ่าวและลูกศิษย์ของเขานั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างช่วยไม่ได้
ณ บ้านตระกูลหลักของมู่หรงเซียนเอ๋อ มู่หรงเซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และคนอื่นๆเองก็ได้ดูการสตรีมของซูจิ้งอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ยิ่งทุกคนได้ฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง แม้แต่มู่หลงฉินเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะนำมือทาบอกตัวเองบ่อยครั้ง
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่รู้ว่าบทเพลงแห่งพุทธนั้นจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้” แม่ของมู่หลงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่
“หนูเหมือนกันค่ะ” มู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“นี่ไม่ใช่เพลงแห่งพุทธทั่วไปหรอกนะ แต่เพลงนี้แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ เรียกได้ว่าแฝงไว้อย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว อาจิ้งได้สร้างโลกใหม่ของวงการกู่จิ้งขึ้นมาแล้วล่ะนะ บทเพลงนี้จะนำพาให้กู่จิ้งนั้นไปต่อได้อย่างไม่มีสิ้นสุด”
มู่หลงฉินได้พูดออกมาบ่งบอกถึงการให้คุณค่าแก่บทเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงในการสตรีมในครั้งนี้อย่างสูงล้ำ ในฐานะผู้นำสมาคมกู่จิ้งแล้ว เขานั้นต้องยอมในตัวซูจิ้งอย่างที่สุด
อีกเหตุผลหนึ่งนั้นเพราะเขารู้ว่าระดับการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งนั้นได้สูงขึ้นเกินกว่าที่ประวัติศาสตร์ของวงการกุ่จิ้งนั้นเคยบันทึกไว้
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ในตอนนี้การสตรีมของซูจิ้งนั้นได้จบลงพร้อมทั้งการเล่นบทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดเพลง
ถึงแม้ว่าการสตรีมครั้งนี้จะจบลงแต่การพูดคุยในเรื่องนี้นั้นหาได้จบสิ้นแต่อย่างใด วิดีโอบันทึกการสตรีมของซูจิ้งนั้นได้ถูกโพสต์ขึ้นบนอินเตอร์เน็ตและถูกส่งต่อไปในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับวงการเพลงอย่างรวดเร็ว
นี่จึงทำให้บทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดของซูจิ้งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วราวกับนักร้องมืออาชีพที่ออกบทเพลงใหม่เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนทุกผู้ทุกระดับในวงการบันเทิงนั้นต่างก็สับสนกันในทันที
พวกเขานั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นทำตัวไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดอยู่ แต่ในครั้งนี้ พวกเขานั้นอดที่จะคิดไม่ได้ว่าซูจิ้งนั้นจะไม่มากไปหน่อยรีไงกัน
ถึงแม้ว่าบทเพลงนั้นจะเป็นการเล่นกู้จิ้งธรรมดาทั่วไป
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นบทเพลงแห่งพุทธที่น่ามหัศจรรย์ล้ำลึกขนาดไหน
แต่นี่เขานั้นไม่คิดจะเหลือทางเดินให้ผู้คนเลยรึไงกัน