GGS:บทที่ 1140 รังเวทย์มนต์
“มันมีวิธีบ่มเพาะด้วยวิญญาณสัตว์ร้ายมาสถิตย์อยู่ในร่างนี่นา….น่าลองแหะ ถ้าฉันสามารถนำวิญญาณมังกรนั่นมาสถิตในร่างฉันได้ล่ะก็
ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิดวิญญาณต้องเพิ่มขึ้นอย่างสุดๆแน่ๆ และคราวนี้ขอบเขตของลำแสงชำระล้างก็จะขยายออกไปอีกเหลือคณานับ
ยิ่งไปกว่านั้น แค่วิญญาณมังกรนั่นมาสถิตในร่างฉันล่ะก็ คราวนี้ฉันจะได้ตีกับไอ้เงาดำนั่นได้ตรงๆสักที”
ซูจิ้งคิดได้ดังนี้จึงได้กลับไปศึกษาเอกสารที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดรดีๆอีกรอบ แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง นั่นก็เพราะตัวเขานั้นอ่อนแอเกินไป
การบ่มเพาะโดยใช้วัญญาณสัตว์มาสถิตอยู่ในร่างนั้นไม่เพียงต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น จะเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณและพลังภายในด้วย
แถมยังต้องแข็งแกร่งกว่าวิญญาณที่นำมาสถิตไว้ในร่างเสียอีก ให้พูดตรงๆนั้นแค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียว ซูจิ้งก็อ่อนด้อยกว่ามังกรนั่นหลายขุมแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงด้านอื่นเลย นั่นก็เพราะหากว่าวิญญาณเหล่านี้ถูกบังคับ พวกมันมีสิทธิขัดขืนและโต้ตอบได้ทุกเมื่อ
“ความแข็งแกร่ง….. ฉันต้องเพิ่มความแข็งแกร่งเดี๋ยวนี้” ซูจิ้งไม่สามารถอดทนรอได้แม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายของเขานั้นเป็นเรื่องอย่ากในตอนนี้ก็ตาม
เขาในตอนนี้นั้นฝึกฝนทั้งวิถีแห่งใต้หล้า วิถีแห่งมังกร และราชันย์แห่งสายน้ำ กินทั้งข้าวสีน้ำเงิน เนื้อกิ้งก่างูเหล็ก ปลาเขี้ยวหยก และอาหารที่เสริมสร้างร่างกายต่างๆจนร่างกายนี้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ทำให้ในตอนนี้ยากที่จะเสริมสร้างแข็งแกร่งได้ในทันที
“….ถ้าฉันเจอวิธีการบ่มเพาะใหม่ๆ หรืออาหารที่ส่งเสริมร่างกายจากห้วงเวลาฯนิจนิรันดรล่ะก็ ฉันก็น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้อีกล่ะนะ” ด้วยความตั้งใจที่แรงกล้านี้ทำให้ซูจิ้งรีบกลับยังพื้นที่รองรับขยะห้วงเวลาฯและทำการจัดการขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันตรต่อ
เขาได้ทำการค้นหาในขยะฯกองไม้ต่อเพราะค่อนข้างสนใจตัวอักขระที่อยู่บนใบไม้ร่วงเหล่านั้น เขาค่อยคัดแยกใบไม้ทีละชิ้นจนกองสุมและมั่นใจว่าใบไม้ที่มีอักขระเหล่านั้น ถึงแม้จะฉีกขาดแต่ก็น่าจะอยู่ที่นี่หมด เขาจึงคิดจะให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมใบไม้เหล่านี้ดู
ซูจิ้งได้เรียกเสี่ยวไป๋มาเพื่อซ่อมแซมใบไม้เหล่านี้ เศษใบไม้ที่ขาดกระจัดกระจายนั้นค่อยรวมตัวกันอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปสักพัก เสี่ยวไป๋แสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมา นี่แสดงให้เห็นว่าใบไม้เหล่านี้ซ่อมแซมได้ยากกว่าที่คิด
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนี้จะไม่ได้บ่นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวไป๋หยุดพักแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะไปจัดการขยะฯกองอื่นเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ
สามวันถัดไป ใบไม้ร่วงเหล่านั้นก็ซ่อมใกล้เสร็จในที่สุด นี่ทำให้ซูจิ้งต้องรู้สึกสับสนในทันที เพราะในครั้งนี้มันช้าเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากพอดู แต่ที่ทำให้เขานั้นสับสนยิ่งกว่าก็คือหลังจากซ่อมแซมแล้ว กลายเป็นว่า ใบไม้เหล่านั้นคือรังนกขนาดยักษ์
“เหอะเหอะเหอะ จะบ้าตาย ฉันเฝ้ารอถึงสามวันแต่กลับได้มาเป็นรังนกเนี่ยนะ….แล้ว…ทำไมรังนกนี่ถึงได้ซ่อมแซมเสร็จได้ช้านักล่ะ” ซูจิ้งนั้นถึงแม้จะบ่น แต่ในเมื่อเสียเวลามานานขนาดนี้แล้วเขานั้นไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน เขายังคงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมต่อไป
สองวันถัดมาในที่สุดรังนกนี่ก็ซ่อมแซมเสร็จ เจ้ารังนกยักษ์นี้ไม่เพียงจะดูพิลักพิลั่นแล้ว มันนั้นยังมีลำแสงเรืองรองออกมาจนราวกับว่าไม่ใช่รังนกเลยแม้แต่น้อย
“สิ่งนี้ไม่ใช่รังนกธรรมดาสินะ ทั้งยังใบอู่ถังยักษ์นั่น ไหนจะตัวอักขระประหลาดนั่นอีก ไหนจะซ่อมแซมได้ยากเย็น ไหนจะรังใหญ่ยักษ์………รังนกเพลิงงั้นเหรอ” ซูจิ้งเมื่อคิดออกมาได้ดังนั้นก็อดที่จะมีหัวใจเต้นแรงไม่ได้เลยทีเดียว เพราะสิ่งนี้มันยอดมาก
ที่ห้วงเวลาฯนิจนิรันดรนั้นย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านกเพลิงอย่างแน่นอน ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงรังของนกเพลิงแต่นั่นแน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา เพราะตัวอักษรที่อยู่ในรังนี้นั้น สมควรจะเป็นตัวอักษรที่ใช้ในการรวบรวมพลังแห่งสวรรค์และโลกเอาไหว้
“ขอลองสักหน่อยนะ” ซูจิ้งได้นำรังนกนี้ไปไว้ยังสวนด้านนอกโดยวางไว้บนสนามหญ้า ทันทีที่นำออกมาวาง รังนกไม่ได้สัมผัสพื้นหญ้าแต่อย่างใด มันลอยอยู่แม้จะไม่สูงมากนักแต่ก็เห็นได้ชัดอยู่ดี
นอกจากจะลอยแล้ว ซูจิ้งยังได้เห็นว่ามีออร่าไหลผ่านอากาศไปรวบรวมยังรังนกจากทั่วทุกสารทิศและรวบรวมไว้ในรังนกนี้
ซูจิ้งได้เข้าไปในรังนกนี้และนั่งลงเพื่อทำการบ่อเพาะ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นออร่ามากมายไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของเขา เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นหมุนเวียนได้พลังทำให้เขามีความสุขอย่างมาก
การบ่มเพาะของเขานั้นสูงขึ้นมากกว่าสิบเท่า เรียกได้ว่าสูงกว่าวิธีการบ่มเพาะต่างๆของเขามากนัก
“สวรรค์โปรดจนได้สินะ” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดี เขานั้นกังวลมาตลอดว่าจะไม่มีวิธีการเร่งการบ่มเพราะความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขารู้สึกได้ทันทีว่ารังนกเพลิงนี้มาได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ
“รังนกเพลิงนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิตวิญญาณ น่าจะเป็นว่าก่อนหน้านี้ใบไม้เหล่านี้นั้นอาจจะกองทัพวัตถุจิตวิญญาณเอาไว้ทำให้หลงเหลือร่องรอบบนใบไม้
เมื่อนกเพลิงมาเห็นเข้าจึงได้นำมาทำเป็นรังของพวกมัน น่าจะมีเหตุผลบางอย่างทำให้พวกมันนั้นต้องทำลายรังนี้ทั้ง ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงไม่หลงเหลืออักขระเหล่านี้ไว้บนใบไม้เหล่านี้อย่างแน่นอน” ซูจิ้งนึกถึงความเป็นไปได้ขึ้นมาอยู่ในใจ รู้สึกโชคดีที่เขานั้นไม่ได้ตัดใจไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้วัตถุวิญญาณดีๆแบบนี้มาฝึกอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูจิ งก็เริ่มคิดว่าของอย่างอื่นจะใช้รังนกนี้ด้วยได้รึเปล่า
ซูจิ้งได้เข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือน เขาได้เก็บโสมเจ็ดใบที่ใหญ่ราวกับหัวแครอท ต้นไผ่จากห้วงเวลาฯจักรพรรดิดวงดารา ต้นไผ่จากห้วงเวลาจักพรรดิฉิงเทียน ลูกท้อจากห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน ต้นสนจากห้วงเวลาฯกลืนดารา ต้นดอกบ้านเช้า(ต้นไม้กินคน)จากห้วงเวลาฯเขตแดนนองเลือด ต้นหลิวจากห้วงเวลาฯจูเซียน(กระบี่เทพสังหาร) และต้นประกายแดงเพลิงจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่า
ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าต้นไม้เหล่านี้นั้นต้องใช้กลิ่นอายแห่งสวรรค์และโลกในการเติมโต ทำให้เขานั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพืชพันธุ์เหล่านี้ได้มากนักจึงทำได้เพียงชุบเลี้ยงพวกมันให้อยู่รอดไว้เท่านั้น
ถึงแม้ว่าต้นไม้เหล่านี้จะไม่ได้ปลูกบนดินธรรมดาก็ตามแต่ก็ยังแคะแกลนและไม่เติบโตเลยสักนิด นี่ทำให้เขาค่อนข้างปวดใจไม่น้อย
ซูจิ้งได้กลับลงไปในรังนกเพลิงอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ผลที่เกิดขึ้นก็คือกลิ่นอายแห่งสวรรค์และโลกได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก
ต้นไม้เหล่านี้ที่ซูจิ้งเสียเวลาชุบเลี้ยงมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็เป็นประโยชน์กับเขาได้สักที ถึงแม้โสมเจ็ดใบนั้นจะดีต่อร่างกายของเขาแต่ก็ยังถือได้ว่าห่างไกลมากเมื่อเขานำมาใช้กับรังนกเพลิงนี้
ไม่กี่วันถัดมา ซูจิ้งได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในรังนกเพลิงนี้จนแทบจะลืมกินลืมนอนไปเลย และในตอนนี้ร่างกาย พลังภายใน และพลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นในทุกส่วน
ในด้านร่างกาย หมัดของเขาในตอนนี้ก่อนหน้านี้หมัดของเขาเพิ่มขึ้นจาก 2,200 กิโลกรัม ไปเป็น 2,400 กิโลกรัมในช่วงห้าวันแรก และพุ่งไปที่ 2,500 กิโลกรัมในวันที่สิบ
พลังจิตของซูจิ้งนั้นในห้าวันแรก พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นจาก890ชั่งเป็น950ชั่งในห้าวันแรก และเพิ่มเป็น 1,000 ชั่งในวันที่สิบ
ในวันที่ยี่สิบ ซูจิ้งได้บรรลุเคล็ดวิชาในตำราวิถีมังกรถึงขั้นที่สามและสามารถเรียนรู้ตราประทับมังกรได้แล้ว ในส่วนของตำราหัวใจพระสูตรรูปพระพุทธนั้นมีความก้าวหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย
ถึงแม้จะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ซูจิ้งก็ยังไม่รีบร้อนในการจับวิญญาณมังกรนั่นแต่อย่างใด เขายังคงฝึกฝนอย่างแต่เนื่องเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของเขา จนเมื่อผ่านไปอีกสิบวัน การบ่มเพราะของซูจิ้งจึงเริ่มถึงจุดอิ่มตัว
“น่าจะถึงเวลาแล้วสินะที่จะต้องจับวิญญาณมังกรนั่น” ในตอนเช้า ซูจิ้งที่นั่งอยู่ในรังนกแทบจะตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็ได้เดินออกมา
เขากลับเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและตรงไปยังโลงศพ ในวันนี้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาตัดสินใจไว้แล้วว่ายังไงซะเขาจะตั้งจับมังกรนั่นให้มาเป็นวิญญาณสถิตย์ร่างของเขาให้ได้