หมิงเย่ว์ตอบรับ หลังจากห่มผ้าให้นางเสร็จ ก็เดินออกไปอย่างเงียบๆ
ขันทีปั๋วรีบถาม พวกหมิงเย่ว์จึงตอบตามความจริง
เมื่อฟังคำพูดของหมิงเยว์จบ ขันทีปั๋วเลยรีบบอกว่า “ฮองเฮาประชวร เป็นเรื่องใหญ่นัก จะรอให้ฟ้าสว่างได้อย่างไร พวกเจ้าดูแลฮองเฮาไว้ให้ดี ข้าจะออกไปเรียกหมอหลวงมาด้วยตัวเอง”
พูดจบ ก็รีบเดินออกไปหยิบป้ายห้อยเอวแล้วออกจากวังดิ่งตรงไปที่จวนของหัวหน้าหมอหลวง ลากเขาจากใต้ผ้าห่มออกมา แล้วเร่งรัดให้เขามาโดยเร็ว
หัวหน้าหมอหลวงรีบร้อนใส่เสื้อผ้า หยิบกล่องยามา เดินตามเขามาที่ตำหนักหลวนเฟิ่งด้วยความร้อนใจ หลังจากที่ขันทีปั๋วรายงานเสร็จ ทั้งสองคนก็เข้าไปด้านใน
หวงฝู่เย่าเย่ว์นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง
ขันทีปั๋วตกใจ เหงื่อเริ่มไหลออกมา แล้วเร่งหัวหน้าหมอหลวงว่า “เร็วเข้าๆ รีบตรวจอาการฮองเฮาเร็วเข้า”
หัวหน้าหมอหลวงคุกเข่าลง หยิบหินจับชีพจรออกมา หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกมา วางด้านบน จากนั้นหมิงเย่ว์ก็เอาผ้ามาวางไว้บนฝ่ามือของนาง
หัวหน้าหมอหลวงยื่นมือออกมา จับลงไปที่ชีพจรของนาง
หวงฝู่เย่าเยว์เม้มปาก สีหน้าเปี่ยมไปด้วยการรอคอย
หมิงเย่ว์กับขันทีปั๋วและคนอื่นๆ ก็แทบจะหยุดหายใจ ได้แต่มองตาไม่กระพริบไปที่หัวหน้าหมอหลวง
หัวหน้าหมอหลวงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทุกคนจึงตระหนกด้วยเช่นกัน
“ฮองเฮา ขอมืออีกข้างหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนมือให้เขา
สีหน้าของหัวหน้าหมอหลวงก็เครียดเข้าไปอีก
ทุกคนจึงตกใจ ขนาดลืมหายใจกันเลยทีเดียว
สีหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เครียดตามด้วยเช่นกัน
พักหนึ่ง หมอหลวงวางมือของหวงฝู่เย่าเย่ว์ลง แล้วก้มกราบลงไป แล้วพูดด้วยความดีใจ “ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงพระครรภ์พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนชะงักไป หลังจากนั้นก็รู้สึกตัว คุกเข่าลงพร้อมๆ กัน “ยินดีด้วยเพคะๆ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ยื่นมือออกมาลูบไปที่ท้อง ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แล้วออกคำสั่งว่า “หมิงเย่ว์ มอบรางวัล”
หมิงเย่ว์ตอบรับด้วยความปีติ
กระทั่งขันทีปั๋ว ไปจนถึงสาวใช้ที่กำลังกวาดตำหนักอยู่นั้น รวมไปถึงหัวหน้าหมอหลวง ทุกคนล้วนได้รางวัลหมด ตำหนักหลวนเฟิ่งเต็มไปด้วยความปีติยินดี
ท่าป๋าหั่นหลินที่หลังจากประชุมเช้าเสร็จ ก็มาตรวจฎีกาที่ห้องทรงพระอักษร มองอัครเสนาบดีที่อยู่ตรงหน้า อีกทั้งเสนาบดีกรมคลัง และเสนาบดีกรมทหารสามคน ด้วยสีหน้าดำถมึงทึง
“นี่พวกเจ้ากำลังขู่ข้าอยู่งั้นหรือ” เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงดุดัน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยไฟโกรธที่ราวกับจะเผาห้องทรงพระอักษรได้เลยทีเดียว
“กระหม่อมมิอาจ” ทั้งสามคนโค้งคำนับด้วยความนอบน้อม
“ผู้ใดไม่กล้า แล้วที่อยู่ตรงหน้าข้านี่มันคืออะไร”
อัครเสนาบดีเอ่ยหน้าตาเฉย “ฝ่าบาท นี่เป็นคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อน ตอนนั้นที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต ได้สั่งให้พวกเราคอยจับตาดูฝ่าบาท ขอเพียงท่านได้บรรลุคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อน รัฐอิงนี้ และบัลลังก์นี้ก็จะเป็นของท่านตลอดไป”
“แล้วหากข้าไม่ทำตามล่ะ” ท่าป๋าหั่นหลินพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ในมือของพวกกระหม่อมยังมีคำสั่งเสียอีกฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ประกาศออกไป ก็จะเป็นวันที่ท่านถูกถอดออกจากตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินกำมือแน่น มองไปที่ราชโองการสั่งเสียที่วางอยู่บนโต๊ะ อยากจะฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ ให้สิ้นเรื่อง
อัครเสนาบดีก็พูดต่อว่า “พวกกระหม่อมไม่อยากทำเช่นนี้ แต่สิ่งที่ฝ่าบาททำในช่วงนี้นั้นมันเกินไปจริง ไม่เพียงแต่เอาราชโองการสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อนไว้ท้ายสุด แถมยังโปรดปรานฮองเฮาเพียงผู้เดียวโดยลืมฮ่องเต้องค์จนสิ้น พวกกระหม่อมเลยอดไม่ได้ที่จะเข้าเฝ้าในวันนี้อย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าป๋าหั่นหลินเข้าใจในความหมายของเขา จึงหรี่ตา ถามด้วยความโกรธว่า “เรื่องวังหลังของข้า ท่านอัครเสนาบดีรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
อัครเสนาบดีแอบวอกแวก ไม่พูดตอบ
ท่าป๋าหั่นหลินข่มความโกรธเอาไว้ มองไปที่ทั้งสามคน แล้วแสยะยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าเรื่องในวังของข้า ท่านทั้งหลายต่างรู้แจ้งแล้วสินะ”
ทั้งสามคนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก รีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมได้ยินข่าวลือมาจากในเมือง เลยเข้าวังมาเพื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ อย่าลืมคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อนเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
“คำสั่งเสียของเสด็จพ่อ ข้าจำได้ขึ้นใจ ไม่เคยลืม พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาเตือนข้าตลอดเวลา ส่วนเรื่องฮองเฮา ข้ามีวิธีการจัดการของข้า พวกเจ้ารอดูไปก็แล้วกัน”
พูดจบ ก็มองไปที่ราชโองการสั่งเสียที่อยู่บนโต๊ะ หยิบขึ้นมา แล้วจุดไฟ “ในเมื่อเอาราชโองการสั่งเสียนี้ออกมาแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วสินะ”
ทุกคนตกตะลึง อยากจะแย่งคืนมา แต่เห็นสายตาพิฆาตของท่าป๋าหั่นหลินแล้ว เลยไม่กล้าทำอะไร
ในห้องทรงพระอักษรที่เงียบสงัด มีแต่เสียงไฟที่เผาราชโองการสั่งเสียงนั้นดังก้องไปทั่วตำหนัก
ให้ทุกคนได้เห็นมันมอดไหม้ไปกับตา ท่าป๋าหั่นหลินโบกมือ “ออกไปให้หมด!”
ทุกคนตอบรับ ยืนขึ้น เดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรด้วยขาแข้งที่อ่อนแรง เหงื่อไหลท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม รู้สึกว่าวันนี้เสี่ยงเกินไป หากไม่มีราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่ในมือล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงได้ถูกตัดคอไปแล้วเป็นแน่
มองหน้ากันไปมา ก็ขนหัวลุกที่ต้นคอ แล้วเดินออกจากวังหลวงไปอย่างรวดเร็ว
ในห้องทรงพระอักษร ท่าป๋าหั่นหลินมองไปที่เปลวไฟที่ลุกโชนตรงหน้าด้วยแววตานุ่มลึก
หลายวันมานี้ เขากำลังหลงไหลในกามารมณ์และความสุขที่เขาไม่เคยมีมาก่อน จนลืมไปเสียหมดเลยว่าบัลลังก์แห่งนี้เขาได้มาอย่างไร แล้วทำไมเขาถึงต้องสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ จนกระทั่งทั้งสามคนมาที่ห้องทรงพระอักษร เขาจึงตื่นจากความฝัน ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์นั้น เหมือนเขากำลังจะออกห่างจากจุดประสงค์เดิมที่ได้ตั้งเอาไว้
ได้แต่มองฎีกาที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ในใจมีแต่ความโกรธที่ปะทุขึ้นมาไม่ขาดสาย จึงยื่นมือออกไปกวาดฎีกาตรงหน้าลงกับพื้น
เสียงเล่มฎีกาตกสู่พื้น ดังก้องไปทั่วห้องทรงพระอักษร หัวหน้าขันทีฮูและขันทีที่อยู่เฝ้าเวร ก็สะดุ้ง ฝ่าบาทไม่ได้โกรธเช่นนี้มาหลายเดือนแล้ว วันนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอย่างนั้นหรือ
ณ ตำหนักหลวนเฟิ่ง ทุกคนต่างก็ดีใจ ฮองเฮาทรงพระครรภ์ นี่เป็นบุตรคนแรกของฮ่องเต้ และจะต้องเป็นไท่จื่อในภายภาคหน้า นับแต่นี้ต่อไป ทุกคนในตำหนักหลวนเฟิ่งจะถูกยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
หวงฝู่เย่าเย่ว์เองก็ดีใจไม่แพ้กัน จนไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย ได้แต่เอามือลูบท้องของตนเบาๆ มองออกไปด้านนอก รอให้ฟ้ารีบสว่าง ท่าป๋าหั่นหลินจะได้กลับตำหนักมาเสวยพระกายาหารเช้ากับนาง แล้วนางจะได้เอาข่าวดีนี้บอกกับเขา
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป เลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นวี่แววของท่าป๋าหั่นหลิน
รอยยิ้มของหวงฝู่เย่าเย่ว์หายไป ขมวดคิ้ว แล้วสั่งหมิงเย่ว์ว่า “ให้ขันทีปั๋วไปดูหน่อยสิ ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงยังไม่เสด็จมาอีก”
ขันทีปั๋วไปที่ห้องทรงพระอักษร ไม่นานก็กลับมา เห็นสีหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงรายงานอย่างระมัดระวังว่า “ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทตรัสว่าวันนี้งานราชการมากเป็นพิเศษ ไม่มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”
ขันทีปั๋วส่ายหน้า “บ่าวไม่ได้สืบมาพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินเพียงแค่ว่าวันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ค่อยดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนเช้าไปยังดีๆ อยู่เลย พอประชุมเช้าเสร็จทำไมถึงได้อารมณ์เสียแล้วล่ะ หวงฝู่เย่าเย่ว์รู้สึกได้ว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นในวังอย่างแน่นอน จึงออกคำสั่งขันทีปั๋ว “ไปสืบมาอีกที ว่าเกิดเรื่องขึ้นในราชสำนักหรือไม่”
ขันทีปั๋วก็ไปที่ห้องทรงพระอักษรอีกครั้ง แต่หัวหน้าขันทีฮูก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน เลยบอกอะไรไม่ได้ ขันทีปั๋วได้เพียงแต่กลับมา รายงานตามที่ไปสืบมา
หวงฝู่เย่าเย่ว์เริ่มกังวล ลุกจากเตียง แล้วให้หมิงเย่ว์ช่วยแต่งกายให้ตน นางจะไปดูที่ห้องทรงพระอักษร
ตอนนี้นางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หนึ่งร่างสองชีวิต หากเกิดอะไรขึ้นมา พวกนางคงมีแต่ตายกับตายสถานเดียว ทุกคนจึงโน้มน้าวว่า “ฮองเฮาเพคะ เรื่องในราชสำนักมีฮ่องเต้คอยจัดการอยู่ ท่านตอนนี้ไม่ควรคิดมากเพคะ ไม่ต้องออกไปจะดีกว่า หากท่านต้องการพบฝ่าบาทล่ะก็ บ่าวจะไปเชิญมาให้เดี๋ยวนี้เพคะ”
หลายวันมานี้ ท่าป๋าหั่นหลินพูดจาไพเราะตามประสาคนรักกัน หวงฝู่เย่าเย่ว์ลืมภาพเขาแต่ก่อนในตอนที่มีปัญหากันไปเสียหมดแล้ว มาวันนี้เห็นว่าเขาอารมณ์ไม่ดี จะให้นางทนได้อย่างไร จึงอยากไปหาเขาที่ห้องทรงพระอักษรเดี๋ยวนี้ตอนนี้เลย
หมิงเย่ว์เห็นว่าพูดโน้มน้าวไม่สำเร็จ จึงได้แต่จัดองค์ทรงเครื่องให้นาง แล้วเดินตามหลังนางมาที่ห้องทรงพระอักษรอย่างเงียบๆ
และก็เหมือนกับแต่ก่อน ไม่ต้องให้หัวหน้าขันทีฮูรายงาน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เดินตรงเข้าไปเลย
ภายในห้องทรงพระอักษรนั้นรกระเกะระกะ หน้าโต๊ะหนังสือกระจุยกระจายไปด้วยเล่มฎีกา ท่าป๋าหั่นหลินหลับตา นั่งเงยหน้าขึ้นด้านบน เมื่อได้ยินเสียงประตู ก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธ “เรื่องอันใด”
“ไม่สบายหรือเพคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้าไป แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
พอได้ยินว่าเป็นเสียงนาง ท่าป๋าหั่นหลินก็ลืมตาขึ้นทันที นั่งหลังตรง แล้วมองนางที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความหนักหน่วงใจ