บทที่ 925 ความจริง

Mars เจ้าสงครามครองโลก

Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 925 ความจริง
เย่เซิ่งเทียนสูดหายใจลึก พร้อมกับแอบกัดฟัน

พลทหารที่ข้ามแม่น้ำมาแล้ว ก็คงไม่มีโอกาสที่จะถอยหลังกลับไปได้

ครั้งนี้ ถ้าไม่ทำลายสรวงสวรรค์จนสำเร็จ

ก็คงต้องตาย!

แต่เมื่อตนเองตายลงแล้ว คนในครอบครัวและเพื่อนของตน ก็จะได้รับความเดือดร้อนกันไปด้วย

ไอ้พวกสรวงสวรรค์ที่เดรัจฉาน จะต้องนำตัวซือซือมาเป็นหนูทดลองอย่างแน่นอน

ฉะนั้น ตนเองจะต้องสำเร็จให้ได้

นอกจากจะต้องทำให้สำเร็จแล้ว ตนเองก็ไม่มีทางอื่นอีกแต่อย่างใด

เมื่อพูดคุยปรึกษากันในเรื่องพื้นฐานพอสมควรแล้ว เหล่าอู๋ก็ขึ้นมาบนรถ

เย่เซิ่งเทียนมองไปที่เหล่าอู๋ และพูดขึ้นว่า: “ตอนนั้นที่ฉันกลับไปยังเมืองเฉียนถัง ภรรยาของฉันถูกจ้าวเจิ้งลักพาตัวไป ซือซือถูกคนข่มเหงทำร้าย ต่อมาฉันได้สั่งให้คนไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พบว่าเบื้องหลังมีคนบงการ ซึ่งคนนั้นก็มีชื่อว่าเหล่าอู๋ เธอช่วยชี้แจงเรื่องนี้ให้ฉันฟังหน่อยสิ”

เหล่าอู๋สีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก โดยที่ไม่ได้พูดอะไร

เหย้ซูหลิงรีบพูดขึ้นว่า: “นายอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามนะ เป็นฉันเองที่สั่งให้เหล่าอู๋ไปดำเนินการ เรื่องนี้มันซับซ้อนอย่างมาก”

แววตาของเย่เซิ่งเทียนเกิดความอาฆาตแค้น พร้อมกับฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวและพูดขึ้นว่า: “ขอเหตุผลที่ไม่ให้ฉันฆ่าหล่อนมาหน่อยสิ”

เหย้ซูหลิงถอนหายใจอย่างจำใจ และพูดขึ้นว่า: “หากไม่ทำแบบนั้น นายคิดว่าภรรยาของนายและแม่ยายของนายจะมีชีวิตรอดอยู่อีกไหม? ”

“หมายความว่าอย่างไร? ”

เย่เซิ่งเทียนก็ยังคงไม่คิดที่จะไว้ชีวิตของเหล่าอู๋อยู่ดี

เพราะเรื่องราวมากมายเกี่ยวเนื่องกับเหล่าอู๋ทั้งสิ้น

ตอนนั้นที่หวางซีเกือบจะโดนจ้าวเจิ้งเหยียบย่ำทำให้อับอาย ซือซือถูกคนทำร้ายข่มเหง เขานั้นยังจดจำมาโดยตลอด

ต่อมาแอบตรวจสอบแล้วพบว่า เหล่าอู๋นั้นเป็นผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังทั้งหมด

ก่อนหน้านี้เขาตามหาเหล่าอู๋ไม่พบ แต่ตอนนี้พบเจอตัวแล้ว จะปล่อยตัวเธอไปอีกได้อย่างไร

ไม่ทันรอให้เหย้ซูหลิงพูด เหล่าอู๋ก็พูดขึ้นว่า: “ตอนนั้นพวกเราได้รับทราบข่าวว่า สรวงสวรรค์ต้องการที่จะปลุกเร้าให้เลือดเทพในร่างกายของนายได้ตื่นตัวขึ้น จึงคิดที่จะให้จ้าวเจิ้งกับหวางเอี๋ยนมาสังหารภรรยาและลูกของนาย ครั้นแล้วคุณหนูก็สั่งให้ฉันเข้าไปแทรกแซงอย่างลับ ๆ“

“ฉันจึงได้ไปหาจ้าวเจิ้งกับหวางเอี๋ยนก่อน เพื่อสร้างอิทธิพลต่อจิตสำนึกของพวกเขา ให้พวกเขาทรมานภรรยาและลูกของนายเท่านั้น ห้ามลงมือสังหารเด็ดขาด จากนั้นฉันก็ไปหาผู้พิทักษ์ความพ่ายแพ้บนสวรรค์ เพื่อเสนอแนะว่าการที่จะกระตุ้นปลุกเร้านายให้สำเร็จนั้น ควรจะทรมานภรรยาและลูกของนายยิ่งจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ง่ายมากกว่า ผู้พิทักษ์ความพ่ายแพ้บนสวรรค์ก็รับฟังข้อเสนอแนะของฉัน พร้อมกับรายงานต่อไปยังเทพแห่งดวงดาว หลังจากที่เทพแห่งดวงดาวเห็นด้วยแล้ว ก็จัดวางแผนการตามข้อเสนอแนะของฉัน”

พูดถึงตรงนี้ เหล่าอู๋ก็หยุดชะงักชั่วครู่ และพูดต่อว่า: “แน่นอน ฉันไม่ได้จะแก้ต่างอะไร แต่ก็แค่ไม่อยากให้นายเข้าใจผิดคุณหนูของฉัน เพราะว่าเป็นข้อเสนอแนะของฉันเอง ที่ทำให้ภรรยาและลูกของนายต้องถูกทำร้าย หากนายต้องการจะฆ่าฉัน ก็เชิญได้เลย ฉันไม่มีอะไรที่ต้องชี้แจงอีกแล้ว”

เย่เซิ่งเทียนกระพริบดวงตาไปมา เขาไม่แน่ใจว่าที่เหล่าอู๋พูดนั้นเป็นความจริงหรือความเท็จกันแน่

เหย้ซูหลิงพูดขึ้นว่า: “นายห้ามลงมือกับเหล่าอู๋เด็ดขาด นี่ก็คือหนึ่งในเงื่อนไขของฉัน ทุกสิ่งที่เหล่าอู๋ทำลงไปล้วนเป็นเพราะคำสั่งของฉัน หากว่านายจะฆ่าหล่อน ความร่วมมือระหว่างพวกเราก็จะสิ้นสุดลงทันที”

เย่เซิ่งเทียนระงับความอาฆาตแค้นนั้นลง สีหน้าท่าทางก็พลันเปลี่ยนไป ยิ้มแย้ม และพูดขึ้นอย่างไม่เป็นพิษเป็นภัยว่า: “ทำไมจะต้องเคร่งเครียดขนาดนี้ด้วย ฉันก็แค่สอบถามดูเท่านั้น ฉันเองก็ประหลาดใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมภรรยาและลูกของฉันถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ และยังจะมีเวลาให้ฉันกลับไปหาอีก ที่จริงแล้วเป็นเพราะพวกเธอที่ถ่วงเวลา หากพูดแบบนี้ พวกเธอเป็นถึงผู้มีบุญคุณของฉันเลย แล้วฉันจะลงมือกับผู้มีบุญคุณของฉันได้อย่างไรล่ะ”

อย่ามองว่าใบหน้าของเย่เซิ่งเทียนกำลังยิ้มหัวเราะอยู่ แต่ที่จริงแล้วเขาไม่เชื่อเลย

เพียงแต่เวลานี้ยังไม่สามารถจะแตกหักกับเหย้ซูหลิงได้ ส่วนที่เหล่าอู๋พูดนั้นจะเป็นจริงหรือเท็จ เขาจะต้องไปสอบถามเพื่อยืนยันกับผู้พิทักษ์ความพ่ายแพ้บนสวรรค์และเทพแห่งดวงดาวเสียก่อน

ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้จักสองคนนี้ แต่ตอนนี้รู้จักแล้ว ก็จะต้องสังหารพวกเขาให้ได้

เหย้ซูหลิงเชื่อในคำพูดของเย่เซิ่งเทียนซะที่ไหน เธอพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า: “หากว่านายไม่เชื่อ ก็ไปพิสูจน์ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเราตัดสินใจว่าจะร่วมมือกัน ฉันรู้สึกว่าควรที่จะจริงใจและเชื่อมั่นซึ่งกันและกันให้มากขึ้น หากต่างฝ่ายยังคงต่างมีข้อคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะร่วมมือกันแล้ว”