ตอนที่ 779 โอกาสที่ยิ่งใหญ่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

นัยน์ตาสีโลหิตของบุรุษใบ้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาด และเมื่อนางกล่าวออกไปอย่างหนักแน่นเช่นนั้น ผู้คนทั้งห้องโถงก็อดตกตะลึงไม่ได้

เฉินเซี่ยวลั่วไม่ต้องการมีปัญหาและยอมถอยจากการประมูลไปก่อน และเวลานี้คู่แข่งเพียงคนเดียวของฉินอวี้โม่ก็คือโหรวฉิง

แม้โหรวฉิงจะสนใจในตัวบุรุษใบ้ผู้มีนัยน์ตาโลหิตอย่างมาก ทว่าในเมื่อฉินอวี้โม่ประกาศอย่างชัดเจนว่าต้องการครอบครอง นางก็ย่อมหลีกทางให้ได้

อย่างไรก็ตาม โหรวฉิงสนใจเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มากยิ่งกว่า ถึงอย่างไรข่าวสารต่าง ๆ ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ก็ระบุอย่างชัดเจนว่านางเป็นคนธรรมดาที่ไร้ชื่อเสียงทว่าได้รับการยอมรับจากตระกูลหลานจนถึงขั้นได้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทรจากหลานเผิงในฐานะแขกคนสำคัญ ทุกอย่างเกี่ยวกับสตรีจอมยุทธ์ลึกลับผู้นี้น่าสนใจอย่างแท้จริง

“ไม่ต้องห่วงไปเลย น้องอวี้โม่ ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่จวนตระกูลโหรวเพื่อต้อนรับเจ้าและเหล่าสหาย เพียงเจ้ารับปากว่าจะไปที่นั่น ข้าจะยอมล้มเลิกตัดใจจากการประมูลนี้”

โหรวฉิงไม่ปล่อยให้ฉินอวี้โม่คาดเดานานเกินไปและกล่าวเงื่อนไขของตนอย่างไม่อ้อมค้อม

เงื่อนไขของนางเรียบง่ายอย่างที่สุด นั่นคือนางต้องการเชิญฉินอวี้โม่ไปเป็นแขกเพื่อร่วมรับประทานอาหารกันที่จวนตระกูลของตน

“สำหรับการต้อนรับอย่างเป็นมิตรจากผู้นำโหรว แน่นอนว่าข้ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อท่านเสนอเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเลยเจ้าค่ะ”

ในเมื่อเป็นเงื่อนไขที่เรียบง่ายและชัดเจนเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน นอกจากนี้ การได้สานสัมพันธ์อันดีกับตระกูลโหรวก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว

“แม่นางโหรว ไม่ทราบว่าสะดวกรึไม่หากข้าจะขอร่วมสนุกด้วย ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครอื่นอีก”

เฉินเซี่ยวลั่วอดกล่าวออกมาไม่ได้และต้องการเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน

“จริงอย่างที่ว่า นานเหลือเกินที่ข้าไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารกับแม่นางโหรวฉิง เช่นนั้นข้าจะขอเข้าร่วมด้วยได้รึไม่ ?”

ซ่างสี่ซานกล่าวขึ้นเช่นกัน เขาและผู้นำตระกูลทั้งสองยังไม่เคยพบปะพูดคุยกับฉินอวี้โม่อย่างจริงจังและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนของนางยิ่งนัก พวกเขาจึงต้องการใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักฉินอวี้โม่ให้มากขึ้น

“ฮ่า ๆ ๆ ในเมื่อท่านทั้งสองเอ่ยปากออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรอีก ?”

โหรวฉิงหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ข้าจัดงานเลี้ยงนี้ก็เพื่อต้อนรับน้องอวี้โม่และสหายของนาง หากน้องอวี้โม่ปฏิเสธละก็ ข้าก็คงต้องปฏิเสธพวกท่านเช่นกัน”

นางเอ่ยถามความเห็นของฉินอวี้โม่เพื่อให้อีกฝ่ายตัดสินใจ

“ในเมื่อผู้นำโหรวต้องการเปิดจวนต้อนรับข้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่คัดค้านสิ่งใด”

ในเมื่อโหรวฉิงให้เกียรตินางเช่นนี้ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ก็จะไม่มีทางฉีกหน้าอีกฝ่าย นางคาดเดาความคิดของผู้นำตระกูลอีกสองคนได้ทันทีและคิดว่าไม่มีสิ่งใดต้องกังวล พวกเขาเพียงต้องการทราบเกี่ยวกับตัวตนของนางมากขึ้นเท่านั้นและฉินอวี้โม่เองก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องการปิดบัง

“ถ้าเช่นนั้นช่วงเที่ยงของวันพรุ่งนี้ เชิญทุกคนที่จวนตระกูลโหรว”

โหรวฉิงตัดสินใจทันทีโดยไม่คิดที่จะเชิญชวนคนของตระกูลโจวหรือตระกูลเฝิง

สีหน้าของเฝิงรุ่ยเฉิงในตอนนี้เจื่อนลงเล็กน้อยทว่าเจือด้วยความฉุนเฉียวเช่นกัน พวกเขาเป็นถึงตระกูลอันดับห้าของเมืองเทียนหยวน การถูกเมินเฉยอย่างซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าพอใจเอาเสียเลย

ในทางกลับกัน โจวเฉียนยังคงสงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกใด เขามิใช่ผู้นำของตระกูลโจวและไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้โจวปิ่งฮุยมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาเองก็คงจะไม่รู้สึกอะไรเช่นเดียวกัน

ถึงอย่างไรส่วนใหญ่ตระกูลโจวก็มักจะถูกเมินอยู่เสมอและการที่สามตระกูลไม่เชิญพวกเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาคุ้นชินไปเสียแล้ว

การที่ฉินอวี้โม่สนทนากับพวกเขาอย่างถูกคอและเปิดเผยต่อทุกคนเช่นนี้ แน่นอนว่าผู้อื่นในโรงประมูลก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือคัดค้านสิ่งใด

“ถ้าเช่นนั้น…บุรุษใบ้ผู้นี้จะตกเป็นของท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่”

พิธีกรงานประมูลตระหนักดีถึงความสำคัญของฉินอวี้โม่ต่อศูนย์การค้าจ้าวสมุทรและรีบประกาศผลการประมูลอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดถามด้วยซ้ำว่าจอมยุทธ์จากอำเภอเล็ก ๆ ที่ห่างไกลผู้นี้มีแก่นหินวิญญาณมากพอหรือไม่

เนื่องจากป้ายจ้าวสมุทรที่อยู่ในการครอบครองของนาง เงินทองมหาศาลก็สามารถถ่ายโอนมาได้จากทุกหนแห่ง และต่อให้ฉินอวี้โม่ไม่คิดจ่ายจริง ๆ มันก็คงมิใช่เรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ

“ขอบคุณทุกท่านมากเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณผู้นำจากสามตระกูลด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“น้องอวี้โม่เอ๋ย ไม่ต้องสุภาพเกินไปหรอก”

โหรวชิงกล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ ด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์ดึงดูดเช่นเดิม เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกถูกชะตากับฉินอวี้โม่อย่างมาก

“แม่นางอวี้โม่ ข้าจะให้คนส่งบุรุษใบ้มาให้ท่านหลังจากจบงานประมูล สถานการณ์ของบุรุษผู้นั้นซับซ้อนมาก ข้าจะคุยเรื่องนี้กับท่านในภายหลัง”

หลานเผิงกล่าวกับฉินอวี้โม่เพื่อมิให้นางกังวลเกี่ยวกับบุรุษใบ้มากจนเกินไปและหันกลับไปจดจ่อกับของประมูลชิ้นต่อไป

“เข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าขั้นตอนและกระบวนการของโรงประมูลทุกแห่งย่อมคล้ายคลึงกัน ในเมื่อชนะการประมูลแล้ว นางก็ไม่จำเป็นต้องคิดสิ่งใดให้ปวดหัว

“ของประมูลลำดับก่อนสุดท้ายถือว่าเป็นดาวเด่นของงานประมูลครั้งนี้…มันคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่”

หลังจากส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลง พิธีกรผู้ดำเนินงานก็ก้าวขึ้นไปตรงกลางแท่นยกสูงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความลึกลับเล็กน้อย

“โอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ที่โรงประมูลของเราโดยจอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้าที่ระดับพลังทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้า พวกเราตามหานายของมันมาตลอดหลายปี ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสของตระกูลหลานก็พยากรณ์ได้ว่าผู้ครอบครองโอกาสที่ยิ่งใหญ่จะปรากฏในเมืองเทียนหยวน เราจึงนำมันออกมาในงานประมูลครานี้”

พิธีกรเริ่มจากการกล่าวอธิบายรายละเอียดซึ่งทำให้ทุกคนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับ ‘โอกาสที่ยิ่งใหญ่’ มากขึ้นไปอีก

ทุกคนในดินแดนมหาเทพทราบดีว่าการทะยานสู่ชั้นฟ้าหมายความว่าอย่างไร จากตำนานที่ผ่านมาช้านาน กล่าวกันว่าเมื่อจอมยุทธ์มีความแข็งแกร่งที่สูงถึงระดับหนึ่ง คนผู้นั้นจะสามารถทะยานขึ้นไปสู่ขอบเขตที่เหนือมนุษย์ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นขอบเขตแห่งเทพเจ้า และผู้ที่สามารถบรรลุถึงระดับนั้นต่างก็เป็นผู้ที่แกร่งกล้าที่สุดในดินแดนมหาเทพแห่งนี้

โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาทิ้งไว้จะต้องเป็นผลประโยชน์ที่มหาศาลสำหรับจอมยุทธ์ทั่วไปอย่างแน่นอน แม้สำหรับจอมยุทธ์ทรงพลังบางคนก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างมากเช่นกันหากได้มันไปครอง

ตระกูลหลานได้รับโอกาสนี้เมื่อนานมาแล้วและผู้ก่อตั้งตระกูลก็อาศัยพลังส่วนหนึ่งของ ‘โอกาส’ ดังกล่าวเพื่อเสริมสร้างตระกูลหลานจนทรงอิทธิพลมาได้ถึงทุกวันนี้และเป็นขุมกำลังอันดับต้นๆของดินแดนมหาเทพ

น่าเสียดายที่ตระกูลหลานไม่สามารถไขปริศนาเกี่ยวกับโอกาสนั้นได้อย่างสมบูรณ์แม้จะใช้เวลามานานหลายปีก็ตาม จอมยุทธ์ผู้แกร่งกล้ากล่าวเพียงว่าผู้ที่จะได้รับโอกาสของเขาจะต้องเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับเขา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลหลานก็พยายามตามหาผู้ที่ถูกลิขิตไว้ให้เป็นผู้ครอบครองโอกาสนั้น ทว่าไม่ได้ความคืบหน้าใด ๆ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้อาวุโสของตระกูลหลานที่ชำนาญในศาสตร์การพยากรณ์ด้วยประตูเข็มทิศแปดเหลี่ยมได้กล่าวว่าผู้ที่ถูกเลือกจะปรากฏตัวในการคัดเลือกของเมืองเทียนหยวน

เพราะเหตุนั้น ตระกูลหลานจึงตัดสินใจในทันทีว่าจะใช้งานประมูลครานี้เป็นโอกาสในการตามหาคนผู้นั้น

สาเหตุที่หลานเผิงเดินทางมาที่เมืองเทียนหยวนเพื่อจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองก็เป็นเพราะเรื่องนี้เช่นกัน

อันที่จริง หลานเผิงคาดเดาไว้แล้วว่าฉินอวี้โม่คงจะเป็นผู้ที่ถูกกำหนดไว้ให้ครอบครองโอกาสนั้น ทว่าในเมื่อป่าวประกาศว่าจะนำมันออกประมูลแล้ว พวกเขาจึงผิดคำพูดไม่ได้ ถึงอย่างไรหากฉินอวี้โม่เป็นผู้ที่ถูกเลือกจริง โอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้นก็จะไม่หลบหนีไปที่ใดอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หากนางมิใช่คนผู้นั้น พวกเขาก็มีโอกาสที่จะตามหาผู้ถูกเลือกในงานที่ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้ได้

บนแท่นยกสูงในเวลานี้ พิธีกรหยิบกล่องสีทองอร่ามออกมาอย่างช้า ๆ

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน เราไม่ต้องการเงินทองหรือสมบัติใดในการประมูลโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ พวกท่านเพียงแค่ต้องพึ่งดวงชะตาของพวกท่านเอง ไม่ว่าผู้ใดเป็นผู้ถูกลิขิตไว้สำหรับโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ ท่านจะได้มันไปโดยไม่ต้องจ่ายเราแม้แต่แดงเดียว ทว่าหากมิใช่ผู้ที่ถูกเลือก ต่อให้มีแก่นหินวิญญาณมากมายเพียงใด ท่านก็ไม่มีทางครอบครองมันไปได้”

เขากล่าวอธิบายเพิ่มเติมเพื่อมิให้ทุกคนตื่นเต้นจนเกินไป ในเมื่อเรียกว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่ามันต้องคู่ควรกับผู้ที่มากพรสวรรค์ที่ไม่ว่าเงินทองทรัพย์สินมากเพียงใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้

ทุกคนพยักศีรษะแสดงความเข้าใจและหน้าต่างของห้องพิเศษหลายห้องบนชั้นที่สองก็เปิดออก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนใจในโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้มากเช่นกัน

สิ่งที่ได้รับการยอมรับจากตระกูลหลานว่าเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หากได้มันมาครอง พวกเขาเชื่อว่ามันจะช่วยตนได้มาก

“ภายในกล่องนี้คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ มันจะยอมรับผู้เป็นนายด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นทุกท่านไม่ต้องกังวล”

พิธีกรชี้ไปที่กล่องที่อยู่ในมือของตนก่อนเปิดมันออกอย่างช้า ๆ

ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองอร่ามสว่างวาบขึ้นมาและที่สิ่งบินออกมาจากในกล่องนั้นคือร่างเล็กจิ๋วที่เล็กกว่าฝ่ามือซึ่งมีลักษณะโปร่งแสงทั้งตัวและมีปีกสีทองสวยงาม

“จิ๊บ จิ๊บ~”

เจ้าตัวน้อยดูสับสนอย่างชัดเจนและกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“ว้าวว ! น่ารักชะมัด !”

เสียงอุทานดังมาจากฝูงชนทันที ด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักของสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วนี้ทำให้สตรีหลายคนชื่นชอบมันตั้งแต่แรกเห็น

“นั่นมันตัวอะไรกัน ?”

บรรดาอสูรในคฤหาสน์เฟิงหัวก็มองเห็นลักษณะของ ‘เจ้าตัวน้อย’ นั้นเช่นกันและเสี่ยวเฮยก็กล่าวด้วยความสงสัยใคร่รู้

ก่อนหน้านี้พวกมันก็เคยได้ไปเยือนชนเผ่าเอลฟ์และสิ่งมีชีวิตตัวน้อยตรงหน้าก็มีลักษณะบางส่วนคล้ายคลึงกับเอลฟ์ทว่าไม่เหมือนกันจนเกินไป คลื่นพลังที่แผ่มาจากร่างของเจ้าตัวน้อยหนาแน่นอย่างยิ่งและเจือด้วยพลังประหลาดบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าร่างเล็กจิ๋วที่เห็นในตอนนี้จะมิใช่ร่างที่ประกอบขึ้นมาจากกายเนื้อด้วยซ้ำ แต่ก็เหมือนว่าจะมีจิตวิญญาณเป็นของตนเองซึ่งดูประหลาดยิ่งนัก

“กุ๊ก กุ๊ก~”

เจ้าตัวน้อยบินไปรอบ ๆ กลางอากาศและส่งเสียงร้องประหลาด จากนั้นมันก็บินไปมาอย่างรวดเร็วราวกับค้นพบบางอย่างที่น่าสนใจ

ฟิ้ววว~

แสงสีทองสว่างวาบและร่างเล็ก ๆ ก็หายวับไปกลางอากาศ

“โอ๊ะ !”

เสียงอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้นและเจ้าตัวจิ๋วปรากฏตัวเหนือศีรษะของใครคนหนึ่ง

บุรุษผู้นั้นเอื้อมมือหมายจะแตะมัน ทว่าจู่ ๆ เจ้าตัวจิ๋วก็หายวับไปอีกครา

คนจากตระกูลจูซึ่งนั่งอยู่ในมุมหนึ่งมีสีหน้ากังวลและเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านพ่อ หากเราได้โอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้มาครอง เราก็ไม่ต้องกลัวฉินอวี้โม่อีกต่อไป”

จูโหย่วจ้วงกล่าวกับจูปี้และจูยงเบาๆ หากพวกเขาได้ครอบครองโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในครานี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดหวั่นต่อฉินอวี้โม่อีกต่อไป

“ไม่ต้องห่วง ดูจากรูปลักษณ์ของเจ้าเอลฟ์ตัวจิ๋วนั่น ผู้ถูกเลือกจะต้องอยู่ในห้องโถงนี้แน่ ใจเย็นและรอต่อไปเถอะ ไม่มีใครที่สามารถคาดเดาได้”

จูยงกล่าวอย่างใจเย็น ทว่าในใจของเขาก็ตื่นเต้นอย่างที่สุด

สำหรับโอกาสที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาทราบดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร ด้วยพรสวรรค์ของเขาและด้วยพลังเพียงระดับนี้ทั้ง ๆ มีอายุปูนนี้แล้วนั้น มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่เขาจะพัฒนาต่อไปได้อีก ทว่าหากได้โอกาสที่ยิ่งใหญ่นั้นมา เขาก็อาจมีโอกาสได้พัฒนากลายเป็นจอมยุทธ์อันดับต้น ๆ ของดินแดนได้ และนั่นทำให้เขาตื่นเต้นและกังวลใจอยู่ลึก ๆ

“กุ๊ก กุ๊ก~”

ทันใดนั้นเสียงร้องประหลาดก็ดังขึ้นเหนือศีรษะและทำให้คนทั้งสามตื่นเต้นอย่างที่สุด พวกเขาเงยหน้าขึ้นและชะงักเล็กน้อยก่อนที่จูโหย่วจ้วงจะเอื้อมมือออกไปหมายจะจับมัน

“พุ้ย !”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูทุกคนและก็เป็นเจ้าตัวน้อยที่ถุยน้ำลายใส่จูโหย่วจ้วงพร้อมแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างชัดเจน

“จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ~”

เห็นได้ชัดว่ามันรังเกียจจูโหย่วจ้วงอย่างยิ่งและส่งเสียงออกมาราวกับกำลังต่อว่าด่าทอจูโหย่วจ้วงซึ่งไม่มีใครที่เข้าใจความหมายของมันก่อนที่มันจะหายวับไปกลางอากาศอีกครั้ง

ทุกคนในห้องโถงตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนหัวเราะลั่นและบรรยากาศความกังวลหายไปทันที ไม่คิดเลยว่าเจ้าตัวน้อยจะกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวาเช่นนี้ รวมถึงการแสดงออกว่าไม่ชอบหน้าเขาอย่างชัดเจน

จูโหย่วจ้วงหน้าเจื่อนไปด้วยความอับอายทันทีและคนตระกูลจูทั้งหมดก็อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไป

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวจิ๋วก็เหมือนว่าจะยังเล่นสนุกไม่มากพอและยังคงบินออกไปรอบ ๆ ห้องโถงอย่างไม่หยุดนิ่ง