บทที่ 1415 : หลิงหยุนช่วยฉินจิวยื่อ (8)
เย่ซิงเฉินเหาะไปด้วยความเร็วหนึ่งพันห้าร้อยเมตรต่อวินาทีโดยประมาณด้วยอัตราความเร็วระดับนี้ ระยะทางสิบกิโลเมตรนี้ นางสามารถเหาะไปโดยใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดวินาทีเท่านั้น
แต่เวลานี้หลัวหย่งฉีแห่งคุนหลุนและตี๋เฮ่อหมิงแห่งสำนักกระบี่เทียนซาน ต่างก็บังคับกระบี่เหินของตนให้พุ่งเข้าสะกัดร่างของเย่ซิงเฉินไว้ และความเร็วของกระบี่เหินทั้งสองนั้น ก็หาได้ช้าไปกว่าขีปนาวุธความเร็วสูงในโลกยุคนี้เลย
กระบี่เหินของผู้บ่มเพาะพลังนั้นล้วนแล้วแต่เคลื่อนที่ไปได้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าตนเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว หากกระบี่เหินเคลื่อนที่ได้ในอัตราความเร็วเช่นเดียวกับการเหาะเหินของคนผู้นั้น กระบี่เหินยังจะมีความหมาย หรือประโยชน์อันใดอีกเล่า..
เพื่อที่จะหลบหลีกกระบี่เหินที่พุ่งตามมานั้นเย่ซิงเฉินจำเป็นต้องหยุดเป็นระยะๆ ไม่สามารถเหาะตรงมาตลอดเส้นทางอย่างต่อเนื่องได้ พายุหมุนดวงดาวจึงต้องหมุนโค้งไปโค้งมาเพื่อหลบหลีกกระบี่เหินทั้งสองเล่ม
เย่ซิงเฉินรู้ดีว่ายอดฝีมือทั้งสองที่ไล่ล่าตามหลังตนมานั้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นพลังหรือความแข็งแกร่ง ล้วนแล้วแต่เหนือกว่าตนทั้งสิ้น นางจึงมิกล้าที่จะประมาท และได้ใช้พายุหมุนดวงดาวเป็นโล่ปกป้องตนเองไว้หนึ่งชั้น
เคร้ง..ปัง!
แต่กระบี่เหินทั้งสองเล่มยังคงไล่ล่าตามมาไม่หยุดเย่ซิงเฉินจำต้องใช้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะตอบโต้ และต้านทานกระบี่ทั้งสองมิให้เข้าใกล้ตัวของนางได้
แม้เย่ซิงเฉินจะแข็งแกร่งพอที่จะสังหารยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นจิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-9) ได้ แต่นางก็มิได้แข็งแกร่งดังเช่นหลิงหยุน อีกทั้งยอดฝีมือทั้งสองก็อยู่ในขั้นก่อสร้างรากฐาน และนางรู้ดีว่าพวกเขาทั้งสองสามารถสังหารนางได้ทุกเมื่อหากพลาดพลั้ง แต่ถึงแม้จะไม่สามารถสังหารนางได้หากนางได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะกระบี่เหินทั้งสองนี้ นางก็จะกลายเป็นภาระของหลิงหยุนไปในทันที และเมื่อถึงเวลานั้น หลิงหยุนคงต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และรอเพียงว่าอีกฝ่ายจะจับเป็น หรือจับตายเท่านั้น
แต่นับว่าโชคดีที่พายุหมุนดวงดาวช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนักมันไม่เพียงช่วยให้เย่ซิงเฉินเหาะได้เร็วขึ้น แต่ยังสามารถเป็นโล่ป้องกันให้กับนางได้อีกด้วย นั่นเพราะทุกครั้งที่กระบี่เหินพุ่งผ่านพายุหมุนดวงดาวมาได้ ความเร็วและความรุนแรงของมันก็จะถูกแรงพายุลดทอนลง อีกทั้งยังทำให้กระบี่หักเหเปลี่ยนทิศทาง ทำให้นางสามารถหลบหลีกได้ง่าย และมีโอกาสใช้ดาบคู่ของตนตอบโต้กลับไปได้เป็นครั้งคราว
“นางมารน้อยอย่าคิดว่าเจ้าจะทำสำเร็จ!”
หลัวหย่งฉีแห่งคุนหลุนเห็นเย่ซิงเฉินมุ่งหน้าไปทางยอดเขาเทียนเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่านางต้องการไปสมทบกับหลิงหยุนที่นั่น เขาร้องตะโกนเย้ยหยันออกมา และเพิ่มอัตราความเร็วในการเหาะ ในที่สุดร่างของเขาก็มาปรากฏขวางหน้าเย่ซิงเฉินไว้!
เวลานี้เย่ซิงเฉินอยู่ห่างจากหลิงหยุนไปเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น!
“ซิงเฉินยันต์เตโช!”
ในที่สุดเย่ซิงเฉินก็เข้ามาอยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนเขาจึงรีบร้องตะโกนบอกทันที
บูม!
เย่ซิงเฉินไม่รอช้านางเรียกยันต์เตโชออกมาคราวเดียวสามแผ่น แล้วซัดใส่ร่างของหลัวหย่งฉิงพร้อมๆกัน
ท่ามกลางท้องนภาที่มืดมิดลูกไฟขนาดใหญ่สามลูกปรากฏขึ้น และกำลังลุกโชนล้อมร่างของหลัวหย่งฉีไว้!
“หึ..ยันต์นี่ใช้กับข้าไม่ได้!”
หลัวหย่งฉีเผชิญหน้ากับลูกไฟทั้งสามจากยันต์เตโชระดับเจ็ดไม่เพียงไม่รีบหลบหนีแต่ยังใช้เพียงกายที่ปราศจากเกราะป้องกันฝ่าออกมาโดยมิได้รับอันตราย!
–ยันต์วาโย!-
ครั้งนี้หลิงหยุนมิได้ใช้มังกรคำรามร้องบอกเย่ซิงเฉินเหมือนเช่นเคยแต่เขาสื่อสารกับนางผ่านทางกระแสจิต เย่ซิงเฉินทำตามที่หลิงหยุนบอกทันที และใช้ยันต์วาโยปิดที่ร่างเพิ่มความเร็วในการเหาะให้ตนเอง
ด้วยอานุภาพของยันต์วาโยอัตราความเร็วในการเหาะของเย่ซิงเฉินเพิ่มขึ้นในทันที และเพียงแค่ชั่วพริบตา ร่างของนางก็มาปรากฏขึ้นในระยะหนึ่งกิโลเมตรจากยอดเขาเทียนเฟิง..
“ข้าต้องรีบไปพบหลิงหยุนข้าคิดถึงเขาจะแย่แล้ว!”
หลัวหย่งฉีเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเดือดดาลยิ่งนักเขาเสกให้กระบี่เหินของตนเองขยายขึ้นจากเดิมนับสิบเท่า และพุ่งเข้าใส่ร่างของเย่ซิงเฉินด้วยความเร็วที่มิอาจประมาณได้! ตูม!
รัศมีของกระบี่เหินปะทะเข้ากับดาบมารคู่สะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินจนกระเด็นออกไปจากนั้นกระบี่เหินยาวกว่าสิบเมตรก็ได้แทงทะลุเข้าใส่พายุหมุนดวงดาวของเย่ซิงเฉินในทันที!
พายุหมุนดวงดาวขนาดใหญ่กว่าร้อยเมตรถูกกระบี่เหินของหลัวหย่งฉีทำลายจนแตกสลาย และไม่อาจกลับมาก่อตัวได้ใหม่อีกครั้ง!
พายุหมุนดวงดาวนี้เกิดจากอานุภาพของจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของเย่ซิงเฉินการที่พายุหมุนดวงดาวถูกทำลายแตกสลายเช่นนี้ เสมือนหนึ่งเย่ซิงเฉินถูกซัดด้วยพลังปราณที่รุนแรง ระหว่างที่เหาะไปด้วยความเร็วนั้น นางถึงกับกระอักโลหิตสีแดงออกมา และความเร็วในการเหาะก็ลดลงในทันที!
แต่ยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นหลังจากที่กระบี่เหินเล่มใหญ่ทำลายพายุหมุนดวงดาวจนแตกสลายแล้ว ความเร็วของมันก็มิได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย และได้พุ่งแทงเข้าใส่ร่างของเย่ซิงเฉินในทันที!
ร่างเล็กบอบบางของเย่ซิงเฉินเมื่อเทียบกับกระบี่เหินขนาดใหญ่กว่าสิบเมตร จึงไม่ต่างจากมดตัวน้อย หากถูกกระบี่เล่มยักษ์เช่นนั้นแทงทะลุเข้า แม้เพียงแค่ครั้งเดียว ผลก็คือต้องเสียชีวิตอย่างแน่นอน!
แต่ในเสี้ยวแห่งวิกฤติชีวิตนั้นหอกมังกรทองก็ได้พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ และตรงเข้าสะกัดกระบี่เหินยักษ์นั่นไว้ได้ทันเวลา..
ปัง!
หอกมังกรทองปะทะเข้ากับกระบี่เหินขนาดสิบเมตรจนกระเด็นเปลี่ยนทิศทางแต่ถึงอย่างนั้น พลังปราณที่รุนแรงจากการปะทะกันของอาวุธทรงพลังทั้งสองชนิด ก็ได้กระแทกเข้าใส่ร่างของเย่ซิงเฉิน ทำให้นางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง แต่คลื่นรุนแรงจากการปะทะนั้นก็ยังไม่สิ้นสุด และได้ซัดร่างของเย่ซิงเฉินลอยออกไปไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตร “แกจะเป็นคนแรกที่ต้องตาย!”
หลิงหยุนเห็นเย่ซิงเฉินได้รับบาดเจ็บเช่นนั้นเขาจึงทำการเผาเสินหยวนทันที และใช้ทั้งตราหยกจักรพรรดิ กระบี่กังฉี และกระบี่เหินเงาธนู ให้พุ่งเข้าจู่โจมใส่หลัวหย่งฉีในคราวเดียวพร้อมกัน!
“ศิษย์น้องตู้เจี๋ยเจ้ารีบไปช่วยหลัวหย่งฉีรับมือเร็วเข้า!”
จ้าวหมิงถังเห็นหลิงหยุนจู่โจมหลัวหย่งฉีด้วยความโกรธแค้นเช่นนั้นจึงได้สั่งให้ศิษย์น้องตู้เจี๋ยซึ่งอยู่ในระดับกลางขั้นก่อสร้างรากฐานเช่นเดียวกับตนออกไปช่วย
“ศิษย์พี่อย่าได้กังวลใจไปข้ารับมือได้ไม่ยาก!”
แขนเสื้อของหลัวหย่งฉีสะบัดปลิวไปตามแรงลมเขาหยุดการไล่ล่าเย่ซิงเฉิน และเรียกกระบี่เหินใหญ่นั้นกลับมาป้องกันตนเอง ในขณะเดียวกันก็เรียกขวานใหญ่ออกมาสะกัดตราหยกจักรพรรดิไว้! ในบรรดายุทธภัณฑ์ทั้งหมดของหลิงหยุนเวลานี้หอกมังกรทองนับว่าทรงพลังที่สุด ตามมาด้วยตราหยกจักรพรรดิ กระบี่กังฉี และกระบี่เหินเงาธนูเป็นลำดับสุดท้าย
นับตั้งแต่ที่หลิงหยุนพัฒนาขั้นขึ้นมานั้นเขาก็ยังไม่มีเวลาหลอมตีกระบี่เหินเงาธนูใหม่อีกครั้ง หากเผชิญกับยอดฝีมือด่านสุดท้ายขั้นพลังชี่ ก็ไม่สามารถใช้ได้ผลนัก ยิ่งเป็นยอดฝีมือขั้นก่อสร้างรากฐาน แทบไม่มีผลอันใด หลิงหยุนจึงไม่ค่อยได้นำมันออกมาใช้อีก
แต่ตราหยกจักรพรรดินั้นต่างกันด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้ เขาสามารถขยายให้มันใหญ่ขึ้นจนมีน้ำหนักกว่าห้าหมื่นกิโลกรัมได้ และหากน้ำหนักเช่นนี้พุ่งไปด้วยความเร็วสูง จะมีพลังโจมตีที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้
ด้วยเหตุนี้หลัวหย่งฉีจึงสนใจสะกัดกั้นเพียงแค่ตราหยกจักรพรรดิ และหอกมังกรทองเท่านั้น ส่วนกระบี่กังฉีและกระบี่เหินเงาธนู เขาหาได้ใส่ใจมากนัก
ในขณะที่ตู้เจี๋ยซึ่งเหาะมาช่วยนั้นก็ได้บังคับกระบี่เหินของตนพุ่งเข้าสะกัดหอกมังกรทองของหลิงหยุนด้วยเช่นกัน!
แต่การจู่โจมของหลิงหนุนในครั้งนี้นหากได้ประสงค์ทำร้ายผู้ใดในเวลานี้ เขาเพียงแค่ต้องการปกป้องเย่ซิงเฉินเท่านั้น..
เวลานี้หลัวหย่งชิงกำลังรับมือกับตราหยกจักรพรรดิตู้เจี๋ยรับมือกับหอกมังกรทอง ในขณะที่จ้าวหมิงถังและเหวียนถงยังคงเฝ้าน่านฟ้ายอดเขาเทียนเฟิง
ทันทีที่เป็นอิสระจากการไล่ล่าของหลัวหย่งฉีเย่ซิงเฉินก็อาศัยโอกาสที่ศิษย์ทั้งสี่ของคุนหลุนกำลังสนใจช่วยเหลือหลัวหย่งฉี รวบรวมพลังปราณเหาะตรงไปยังค่ายกลวราหกของหลิงหยุนด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนจะหายวับไปในทันที
หลิงหยุนเรียกอาวุธทั้งสี่ของตนกลับมาทันทีและให้ลอยอยู่กลางอากาศเช่นนั้น ก่อนจะรีบตรงเข้าไปช่วยเย่ซิงเฉิน ส่วนจ้าวหมิงถังตู้เจี๋ย และหลัวหย่งฉี ก็เหาะเข้ามาล้อมบริเวณหน้าผาที่หลิงหยุนอยู่ และอาวุธทั้งหมดก็พุ่งเป้าไปทางค่ายกลวราหกอย่างพร้อมเพรียง และพร้อมที่จะจู่โจมได้ทุกเมื่อ
แต่ศิษย์คุนหลุนทั้งสามยังมิได้จู่โจมหลิงหยุนในทันทีทั้งสามเฝ้าสังเกตการณ์ และแอบปรึกษากันอยู่เงียบๆ
….
ภายในค่ายกลวราหกหลิงหยุนเห็นเย่ซิงเฉินกระอักเลือดออกมามากมายเช่นนั้น จึงรีบถ่ายเทพลังอมตะลงไปในร่างของนาง
“ซิงเฉินเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง”
แต่ถึงจะกระอักเลือดออกมาเช่นนั้นเย่ซิงเฉินก็เพียงแค่บอบช้ำภายในเล็กน้อย แต่เมื่อหลิงหยุนถ่ายพลังอมตะล้ำค่าเข้าไปในร่างให้กับนางเช่นนั้น นางจึงสามารถฟื้นตัวได้เกือบจะทันที
“ข้าไม่เป็นไรแต่คิดไม่ถึงว่าคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งถึงเดียงนี้”
ถึงตอนนี้เย่ซิงเฉินจึงได้เข้าใจว่า เหตุใดหลิงหยุนจึงมิได้บุกมาช่วยฉินจิวยื่อตั้งแต่ก่อนหน้า
หลิงหยุนจูงมือเย่ซิงเฉินให้เดินไปหาแม่ของเขาพร้อมกับเอ่ยแนะนำ“ซิงเฉิน ท่านแม่ของข้า!”
เย่ซิงเฉินเห็นสภาพที่ผอมโซฉินจิวยื่อก็ถึงกับเดือดดาลแต่ก็พยายามกดข่มความโกรธนั้นไว้ พร้อมกับคุกเข่าทำการคาราวะ
“เย่ซิงเฉินธิดาพรรคมารคาราวะท่านป้าฉิน!”
ฉินจิวยื่อรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้มาพยุงร่างของเย่ซิงเฉินให้ลุกขึ้นจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นสำรวจนางขึ้นๆลงๆอยู่นาน จากนั้นจึงได้แต่พยักหน้าและเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าต้องได้รับบาดเจ็บเพราะมาช่วยข้าแท้ๆข้าทำให้เจ้าต้องเจ็บตัว!”
เย่ซิงเฉินส่ายหน้าไปมา“ท่านป้า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น เป็นเพราะข้ากับหลิงหยุนมาช่วยท่านช้าไปต่างหาก ท่านจึงต้องได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนี้!”
หลิงหยุนเป็นฝ่ายพูดขึ้นว่า“ซิงเฉิน ตั้งแต่ท่านแม่ก้าวเท้าเข้ามาในสำนักกระบี่เทียนซาน ท่านไม่เคยได้กินอิ่มเลยสักมื้อ ครั้งนี้หากข้าไม่ถล่มสำนักกระบี่เทียนซานให้ราบเป็นหน้ากอง ข้าจะไม่ไปจากที่นี่แน่!”