ตอนที่ 564 ห้องหอ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูเจวี๋ยครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆไปมากมาย แต่ก็ยังไม่มีสิ่งใดจะฉุดเขาออกจากปลักน้ำโคลนนี้ได้ 

 

 

โดยเฉพาะเทศกาลหมื่นบุปผชาตินี้ ยิ่งไม่มีทางเรียบง่ายเหมือนดั่งที่เห็นภายนอกอย่างแน่นอน 

 

 

ครั้งนี้ จะต้องมีคลื่นใต้น้ำแน่ๆ 

 

 

หนังสือเชื้อเชิญฉบับนั้น ถึงแม้ว่าเขาไม่อาจได้เห็นข้อความที่อยู่ด้านใน แต่ก็รู้ว่าจุดประสงค์ของท่านเจ้าตำหนักจะต้องไม่ธรรมดา เกรงว่าหากเจ้าสำนักหยินหยางไปตามนัดจริงๆ ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคงยากที่จะคาดเดาแล้ว 

 

 

เขาได้แต่ใช้ประกายตามองดูเจ้าสำนักผู้นั้นแวบหนึ่ง 

 

 

ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับจีเฉวียน….. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะคิดอย่างไร มือข้างหนึ่งของนางคว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้จนแน่น “พี่รอง ท่านอ่านนิยายรักๆใคร่ๆมากเกินไปแล้ว จำเป็นจะต้องเดินบนเส้นทางที่โศกเศร้าเช่นนี้ให้จงได้กระนั้นหรือ?” 

 

 

ละครที่นางเคยแสดงยังมีมากกว่าหนทางที่เขาเลือกเดินมากนัก 

 

 

ปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ หากว่าตามบนละครน้ำเน่าทั้งหลายแล้ว พี่รองก็คงจะยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเอาไว้อย่างเงียบงันเพียงผู้เดียว จากนั้นพอถูกทำร้ายและกดดันอย่างหนักหน่วงจนด้านชาเข้าเรื่อยๆ และสุดท้ายที่ได้คืนมาก็เป็นเพียงร่างกายที่เย็นเฉียบของคนที่ตนรัก เขาก็จะระเบิดตนเองจนเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง กลายเป็นเครื่องมือฆ่าฟันสังหารหมู่….. 

 

 

แค่นี้ ในสมองของตู๋กูซิงหลันก็มีภาพออกมาเรียบร้อยแล้ว 

 

 

ดังนั้นนางจึงยื่นมือออกไปตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ แววตาของนางราวกับเห็นทุกอย่างงทะลุปรุโปร่ง “พี่รอง….พวกเราอย่าได้เลือกเดินในเส้นทางโลหิตที่น่าโศกเศร้าเช่นนั้นเลย รักษาความสุขที่มีอยู่เอาไว้จะไม่ดีกว่าหรือ?” 

 

 

นางสูญเสียอาจารย์และจีเฉวียนไปแล้ว….นางไม่ต้องการจะสูญเสียพี่รองไปกับการนองเลือดอีก 

 

 

พี่ชายตัวน้อยผู้นี้คิดอะไรไม่เหมือนกับผู้อื่น ตู๋กูซิงหลันเกรงว่าเกิดเขาคิดอะไรไม่ตก สติหลุดขึ้นมา ก็จะก่อเหตุนองเลือดขึ้นอีก 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ยฟังคำพูดของนางไม่ค่อยเข้าใจนัก เป็นเพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ก้นทะเลลึก สมองของน้องเล็กได้รับบาดเจ็บ จึงไม่ค่อยปกติไปหรือไม่? 

 

 

พอคิดดูให้ละเอียด ตอนนั้นพอเห็นนางหอบดาบเล่มหนึ่งออกไปต่อสู้เพียงลำพัง ทำลายล้างเมืองหลวงของเผ่ามังกรทมิฬทั้งหมด…. เขาก็สมควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า น้องเล็กไม่ใช่คนธรรมดา 

 

 

“อืม ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ก้นทะเลลึก เนื่องเพราะพลังกระหายเลือดในร่างของท่านตื่นขึ้นมา …ดังนั้นจึงยังไม่มีโอกาสได้บอกกับท่าน พวกเรายังโชคดีมากนัก…..บิดาท่าน ….ไม่ใช่สิ ท่านพ่อของพวกเราทั้งงดงามและแข็งแกร่ง….” 

 

 

“พี่รองท่านเองก็นับว่าเป็นองค์ชายรองของเผ่ามังกรทมิฬ พวกเราจะต้องมีความกล้าหาญที่จะมีชีวิต เผชิญหน้ากับฟ้าดินและคลื่นลมต่อไป เข้าใจไหม? 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “……” 

 

 

ทำไมเขาฟังแล้วถึงได้รู้สึกว่านางกำลังพูดอะไรที่น่าสับสนจับความไม่ได้? 

 

 

“ท่านต้องจดจำเอาไว้อยู่เสมอว่า ท่านไม่ได้ตัวคนเดียว ข้างหลังของท่านยังมีข้า มีท่านตา มีพี่ใหญ่ มีบิดาคนงาม พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน” 

 

 

“ท่านต้องการช่วยชือหลี ข้าเองก็ต้องการช่วยนาง นางก็เป็นสตรีของข้าเช่นกัน” 

 

 

ขณะที่ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมา แววตาของนางมีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม 

 

 

แม้แต่ฝ่ามือที่ตบลงมาบนบ่าของตู๋กูเจวี๋ยก็ยังเพิ่มแรงลงไปด้วย 

 

 

ขอเพียงดวงจิตของชื่อหลียังไม่สูญสลาย นางย่อมมีหนทางที่จะพาชือหลีกลับมา….หากว่าเป็นอย่างท่านแม่ที่จิตวิญญาณแตกสลายไปแล้ว…..นั่นจึงจะถือว่ายากที่สุด 

 

 

เรื่องของชือหลี ย่อมไม่ควรให้พี่รองแบกรับเพียงลำพัง 

 

 

ประโยคที่ว่า ‘นางก็เป็นสตรีของข้า’ ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ระหว่างที่เขาไม่ทันได้สังเกต เทพธิดากับน้องเล็กใช่ว่ามีอะไรที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือไม่? 

 

 

เดิมเขาก็เป็นพวกใสซื่อในเรื่องนี้อยู่แล้ว สมองจึงคิดอะไรไม่ค่อยออก 

 

 

นางพึ่งจะพูดจบก็ได้ยินท่าเจ้าสำนักเอ่ยปากว่า “ที่ด้านหลังของเจ้า ยังมีข้า” 

 

 

‘เจ้า’ที่เขาเอ่ยปากถึง ย่อมต้องหมายถึงศิษย์น้อยของตนเอง  

 

 

คำพูดนี้หากว่าเปลี่ยนเป็นจีเฉวียนมาพูดละก็จะต้องฟังแล้วจับใจอย่างยิ่งแน่นอน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันตะลึงไปเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านเจ้าสำนักผู้นี้แม้ว่าจะเขียมไปสักหน่อย แต่ว่านับตั้งแต่ที่นางกลายเป็นศิษย์ เขาก็ดีต่อนางมากเลย 

 

 

เป็นเพราะว่ารับนางเป็นศิษย์ จึงได้ดีต่อนางกระนั้นหรือ? 

 

 

จะอย่างไรตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง 

 

 

คำพูดนั้นของท่านเจ้าสำนัก ทำเอาพี่รองถึงกับกรอกตาขาว สำนักหยินหยางอย่างมากก็มีแต่เขาเพียงคนเดียวที่นับว่ามีความสามารถ ข้างหลังของน้องเล็กจะมีเขาหรือไม่ ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกัน ….ดังนั้นคนผู้นี้ไปเอาความมั่นใจว่าจะสามารถยืนหนุนหลังนางได้เช่นนั้นมาจากที่ใดกัน? 

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเอาชนะในสุดยอดการประลองได้ แต่ก็เป็นเพียงกำลังของคนผู้เดียวเท่านั้น หากว่าขุมกำลังต่างๆเคลื่อนไหว…..อย่างเช่นตำหนักซิวหลัวเตี้ยน เขาจะต้านทานได้อย่างไร? 

 

 

ท่านเจ้าสำนักทำเป็นไม่เห็นสายตาของเขา เพียงแต่เหลือบตาไปมองดูหนังสือเชิญเล่มนั้นครั้งหนึ่ง จากนั้นเพียงกระดิกนิ้วเรียวยาวเบาๆ รอบหนึ่ง หนังสือเชิญเล่มนั้นก็ลอยเข้ามา 

 

 

“กำหนดนัดในวันพรุ่งนี้ ข้าจะไป” 

 

 

อยู่ๆเขาก็ตัดสินใจเช่นนี้ขึ้นมา ทำเอาตู๋กูเจวี๋ยชะงักไปเล็กน้อย 

 

 

เขายืนตัวตรง สายตาวนอยู่บนร่างของเจ้าสำนักหยินหยางรอบหนึ่ง ด้วยความไม่เข้าใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่เขามิใช่ปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแล้วหรือ ตอนนี้อยู่ๆทำไมถึงได้ตอบตกลงขึ้นมา? 

 

 

ยังจะเพราะอะไรได้อีก….ในเมื่อคนผู้นี้เป็นพี่ชายของศิษย์ตัวน้อย เขาที่เป็นอาจารย์ ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ 

 

 

ใช่แล้ว ผู้ที่เป็นอาจารย์สมควรส่งเสริมความตั้งใจทั้งหมดทั้งมวลของศิษย์น้อย นี่จึงจะเป็นอาจารย์ที่ดี 

 

 

 

 

 

วันนี้พอได้ยินนางเอ่ยจากปากคำหนึ่งว่า ‘ฉุยซือ’ ท่านเจ้าสำนักย่อมต้องพึงพอใจมากอยู่แล้ว 

 

 

อืม พรุ่งนี้เมื่อไปตามนัด จากนั้นซัดเจ้าตำหนักซิวหลัวเตี้ยนผู้นั้นให้ตายในฝ่ามือเดียว …..พี่ชายของศิษย์น้อยจะได้ไม่มีใครคุกคามอีก 

 

 

เช่นนี้ย่อมดีต่อทั้งสองฝ่าย 

 

 

ท่านเจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่ในใจอีกหลายอย่าง แต่บนใบหน้ากลับมิได้เปิดเผยสิ่งใดออกไป เขายังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง  

 

 

กลิ่นหอมของสุราอบอวลไปทั่วห้องเหมือนจะมอมเมาผู้คนอยู่บ้าง ทำเอาแม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกไม่เข้าใจเขาเช่นกัน 

 

 

ท่านเจ้าสำนักเองก็ไม่ต้องการให้นางมาเข้าใจ 

 

 

เขาไม่คิดจะอธิบายอะไร เรื่องบางเรื่องให้เขาไปจัดการด้วยตนเองอย่างเงียบๆจะสะดวกมากกกว่า ไม่จำเป็นจะต้องให้ศิษย์น้อยมาเข้าใจทั้งหมด 

 

 

…………………………. 

 

 

กระทั่งถึงค่ำแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่เห็นคนของจุ้ยเซียนจูมาคิดบัญชีเลยแม้แต่ครึ่งคน 

 

 

กลับเป็นท่านเจ้าสำนักพานางเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านข้างของห้องสวรรค์หมายเลขหนึ่ง 

 

 

เป็นห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องจุดเทียนสีแดงเอาไว้ มีเตียงทรงกลมสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่ตรงกลางหลังหนึ่ง เตียงหลังใหญ่ยังมีม่านโปร่งสีแดงโดยรอบ ด้านบนยังมีช่อดอกไม้ผ้าทรงกลมตกแต่งเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องล้วนเป็นสีแดง….. 

 

 

ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเข้าใจผิดไปชั่วขณะว่า…….ห้องนี้ดูเหมือนห้องหอเกินไปแล้ว 

 

 

แถมในห้องยังมีทุกสิ่งทุกอย่างตกแต่งเอาไว้อย่างครบครันอีกด้วย 

 

 

“นั่งรถม้ามาตลอดทาง คงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถอะ” 

 

 

ท่านเจ้าสำนักยืนอยู่ที่ประตู ดวงตาหงส์คู่นั้นมองไปที่นางอย่างอ่อนโยน 

 

 

พี่รองถูกเขาขวางเอาไว้ที่ประตู โดยไม่ยอมเปิดช่องว่างให้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

สองพี่น้องแยกจากกันนาน เมื่อได้พบกันก็มีวาจามากมาย กว่าจะพูดคุยกันจบฟ้าก็มืดมากแล้ว 

 

 

ท่านเจ้าสำนักจึงเห็นว่า ศิษย์น้อยก็ควรจะพักผ่อนได้แล้ว  

 

 

แต่ว่าพี่รองของนางกลับไม่เข้าใจ เขายืนอยู่ที่เดิมทำตัวเป็นท่อนซุงท่อนหนึ่ง ตลอดครึ่งปีมานี้สองมือของเขามีแต่เลือด ใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย…. 

 

 

แม้แต่ความเป็นมนุษย์ที่เคยมี ก็แทบจะถูกลบล้างไปจดหมดสิ้นเหมือนกับเลือดเหล่านั้น 

 

 

พอน้องเล็กปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหัน….หัวใจของเขาก็พลันเกิดความอบอุ่นขึ้นมา เขาย่อมไม่อยากจะไปจากนาง 

 

 

ท่านเจ้าสำนักขวางเขาเอาไว้ พอหันศีรษะไป ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ยังไม่กลับไปรายงานอีกหรือ?” 

 

 

ตู๋กูเจวี๋ย “…..” คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเหมือนกับฮ่องเต้สุนัขนั่นไม่มีผิด 

 

 

หากว่าเขาไปแล้ว ห้องหับหลังนี้…..ก็จะเหลือพวกเขาชายหญิงอยู่กันเพียงลำพัง ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสำนักหยินหยางผู้นี้จะทำอะไรไม่ดีไม่งามกับน้องเล็กหรือไม่? 

 

 

………………….