ตอนที่ 983 กลับบ้าน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 983 กลับบ้าน

ในอดีตชายอ้วนเคยนำกล่องดำที่บรรจุปืนกระบอกยาวไปยังสำนักเต๋า

ซูฉางเซิงเคยพยายามเปิดกล่องนี้ ทว่าที่กล่องมิพบรูกุญแจใด ๆ แม้แต่ปรมาจารย์อันดับหนึ่งในใต้หล้าเยี่ยงเขาก็มิอาจทำลายกล่องดำด้วยพลังภายในได้ !

แม้จะมิเต็มใจสักเท่าใด ทว่าก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจในการทำลายกล่องนี้ไป

ความโชคดีอย่างหนึ่งคือ บัดนี้ซูฉางเซิงยังมิทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเหลือกระสุนแล้ว มิเช่นนั้นซูฉางเซิงคงลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาวแสดงความโล่งอก เพราะสุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการสังหารเขาไปเสียแล้ว

การคาดการณ์นี้ยังคงเป็นเพียงสมมติฐานในขณะนี้เท่านั้น เพราะทุกอย่างจะต้องได้รับการยืนยันก่อนตัดสินใจ ทว่ามันก็ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความสนใจในตัวซูฉางเซิงขึ้นมา เขาจะได้เตรียมการป้องกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

“บรรดาศิษย์พี่ผิดปกติด้วยหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ

สวี่หยุนชิงส่ายศีรษะ “พวกเขาเป็นต้นกล้าชั้นเลิศที่ซูฉางเซิงเก็บมาฝึกวรยุทธ์ และซูฉางเซิงก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่อสู้ของสำนักเต๋าให้พวกเขาอย่างจริงจัง”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเยี่ยงไรเสียบัดนี้ซูซูก็เป็นภรรยาของเขาแล้ว !

เขามิต้องการเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ใหญ่ผู้เปี่ยมคุณธรรมและฝีมือสูงส่ง มิต้องการเป็นศัตรูกับศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนผู้อ้วนกลม และศิษย์พี่สามซูโหรวที่กลายเป็นคนสายตาสั้นเพราะเย็บปักถักร้อยมากเกินไป

แต่ก่อนเหล่าศิษย์พี่ได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้มากมาย พร้อมบุกไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญโดยมิยอมหวนกลับก็เพื่อเขา มิว่าจะมองทางศีลธรรมและสัจธรรม เขาก็มิอาจยอมรับได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ

“อ้อ ! รู้หรือไม่ว่าบัดนี้ซูฉางเซิงอยู่ที่ใด ? ” สวี่หยุนชิงเอ่ยถามขึ้นมา

“เขาเอ่ยว่าจะไปตามหาศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รอง”

“แล้วพวกเขาไปที่ใดเล่า ? ”

“ข้าก็มิอาจรู้ได้ เพราะศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองตามหลิวจิ่นออกทะเล ทว่าผลที่ตามมาคือพวกเขามิได้กลับมาพร้อมเรือ แต่เลือกเดินเท้าตามเส้นทางบนบกแทน บัดนี้น่าจะอยู่ที่ต่างแดนและบัดนี้พวกเขาคงกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับ”

สวี่หยุนชิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เกรงว่าที่ซูฉางเซิงเดินทางจากไปนั้น เขามิได้ไปตามหาศิษย์ทั้งสองของตนหรอก จากนั้นนางก็ยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าต้องการให้แม่กลับไปอยู่ข้างกายจริงหรือ ? ”

“จริงขอรับ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

“เช่นนั้นเจ้าจงส่งคนไปสืบว่าเรื่องที่ฝานอู๋เซียงเอ่ยเป็นจริงหรือไม่ ! ”

“ได้ ! ท่านแม่… บัดนี้พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถิด”

“ได้…กลับบ้านกัน ! ”

สวี่หยุนชิงได้ผ่านการต่อสู้ทางด้านจิตใจอันรุนแรงมาแล้ว เดิมทีนางเคยคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนอาจจะต้องใช้เวลาสองหรือสามปีในการรวมทั้งห้าแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว และเขาจะต้องปราบปรามความวุ่นวายภายในจิตใจของผู้คนทั่วทุกสารทิศให้สงบลงเสียก่อน

เช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็คงจะหมดพลังงานไปมากโขและนางที่อยู่ในฐานะมารดาก็เอ็นดูบุตรชายผู้นี้มากยิ่งนัก นางจึงมิอยากให้บุตรชายต้องไร้สมาธิเพราะเรื่องของซูฉางเซิง

สิ่งที่นางคิดก็คือจะพึ่งพากำลังของตนเองเพื่อตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดของซูฉางเซิง นางต้องการรู้ถึงจุดประสงค์ของราชวงศ์เหลียว หรือจะให้จี้หยุนกุยไปยังแคว้นซีเซี่ยเพื่อปลุกปั่นให้แคว้นซีเซี่ยต่อต้านราชวงศ์เหลียวดี จะได้ถ่วงเวลาการโจมตีประเทศต้าเซี่ยจากราชวงศ์เหลียวให้ช้าลง

ต้องรอให้ประเทศต้าเซี่ยมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรงกว่านี้ก่อน รอให้บุตรชายปล่อยมือจากเรื่องของนาง และรอให้ระบบเศรษฐกิจอีกทั้งระบบการทหารของประเทศต้าเซี่ยแข็งแกร่งกว่านี้เสียก่อน

ทว่าบัดนี้ดูเหมือนสิ่งเหล่านั้นจะมิจำเป็นอีกต่อไปแล้ว เพราะบุตรชายใช้เวลาเพียงครึ่งปีก็สามารถทำให้ราษฎรทั่วทุกสารทิศหมอบกราบได้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่นางลุกขึ้นมาเล่าทุกอย่างให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง นางคิดว่าบุตรชายจะสามารถจัดการกับมันได้และทำมันได้ดีกว่าที่คิดอีกด้วย

หากตัวนางตกตายจริง ๆ เรื่องที่บุตรชายจะเป็นทุกข์นั้นยังมิใช่ประเด็น ทว่าหากมีผู้ใดหยิบยกเรื่องนี้มาใช้เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง บุตรชายก็ต้องแบกรับความผิดที่ว่าเป็นบุตรอกตัญญูต่อบิดามารดา ซึ่งนี่ถือว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงขององค์จักรพรรดิ !

เพื่อลูกแล้วนางจึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อ และจำต้องเปิดเผยตัวตนสู่สาธารณะชนเพื่อให้ราษฎรทุกคนได้ประจักษ์ด้วยสายตาของตนเอง

“…ลูกเอ๋ย เจ้า เจ้าโกรธแค้นแม่หรือไม่ ? ” สวี่หยุนชิงเอ่ยออกมาติด ๆ ขัด ๆ และมิกล้าสบตากับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าออกมาทันทีพลางตอบนางว่า “ท่านคือท่านแม่ของข้า ลูกจะโกรธแค้นมารดาได้เยี่ยงไรเล่า ? นอกจากนี้สิ่งที่ท่านแม่ทำลงไปทั้งหมดก็มิใช่เพื่อข้าหรอกหรือ ! ”

เมื่อสวี่หยุนชิงได้ยินดังนั้น นางก็ได้คลายความกังวลลง นางมิได้เอ่ยถึงชีวิตในอดีตและมิได้เอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่าดวงวิญญาณอีกดวงเข้ามาอยู่ในร่างบุตรชายของนางได้เยี่ยงไร

เรื่องเหล่านี้ล้วนมิสำคัญอีกต่อไป เพราะเขาคือฟู่เสี่ยวกวนและเป็นบุตรชายของนาง เป็นบุตรชายที่ทำให้นางภาคภูมิใจมากยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามสวี่หยุนชิงว่าเหตุใดถึงรู้เรื่องราวในอนาคต แล้วเหตุใดถึงรู้จักบทกวีอำลาเคมบริดจ์ เรื่องเหล่านี้มิสำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะนางได้เกิดใหม่และแสร้งตายมาแล้วสองคราในชั่วชีวิตนี้

ชีวิตมิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเรื่องราวในอดีตถ้ามีสิ่งที่ควรละทิ้งก็จงทิ้งมันไปเสีย

มนุษย์มิอาจแบกรับภาระที่หนักอึ้งไว้ได้ แบบนั้นจะทำให้เหนื่อยเสียเปล่า ๆ เหมือนดั่งที่ตนเคยเอ่ยเอาไว้ว่า ‘ข้าคิดว่าชีวิตของมนุษย์ควรเดินเอ้อระเหยลอยชายท่ามกลางแสงสว่างและความมีเมตตา เดินย่ำอยู่ในทุ่งดอกไม้อย่างสบายใจ มีจิตเมตตาล้นเหลือ อย่าโกรธแค้นและมิต้องหวาดกลัวสถานการณ์ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกเมื่อ สุราสาดใส่แขนเสื้อ เยาวชนเมามายมิอาจลืมตาตื่น’

เรื่องที่มารดายังมิสิ้นลม สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากยิ่งนักและนี่คือความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดราวกับสุริยาสีทองสาดแสงส่องผ่านจิตใจของเขา ส่วนเรื่องอื่น…เรื่องอื่นที่เหลือนั้นล้วนเป็นอดีต เหตุใดต้องเป็นทุกข์ด้วยเล่า

นางคือท่านแม่และนางยังมีชีวิตอยู่ นางสามารถเสวยสุขในยามแก่ชรากับครอบครัวได้ นี่ก็เพียงพอแล้ว

“สายโลหิตของตระกูลอู๋นับว่าอ่อนแอมาโดยตลอด แม้ว่าเจ้าจะแต่งงานและมีภรรยามากถึง 10 คน ทว่าเจ้าก็มีบุตรเพียง 9 คนเท่านั้นและในภรรยาทั้งหมดก็มีเพียงคนเดียวที่…ลูกเอ๋ย ท่านพ่อของเจ้ามุ่งหวังให้เจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง”

เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก

ด้านสวี่หยุนชิงจ้องมองอู๋ฉางเฟิงที่นอนอยู่ในจื่อกงเป็นคราสุดท้าย จากนั้นนางก็ปิดฝาจื่อกงลง

นางจุดธูปหนึ่งดอกแล้วปักลงในกระถางธูป จากนั้นก็เผากระดาษทองสองกำมือ นางจ้องมองจื่อกงขนาดใหญ่นี้แล้วพึมพำว่า “ข้าอยู่กับท่านมาครึ่งปีในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หลังจากท่านตายข้าก็ได้อยู่กับท่านในจื่อกงมาเกือบครึ่งปีแล้วเช่นกัน บัดนี้ข้าจะไปแล้ว ท่านนอนอยู่ในนั้นอย่างสงบเถิด รอข้าสิ้นอายุขัยแล้วจะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านอีกครา”

“ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าคิดว่าท่านมีอุปนิสัยขลาดเขลาและอ่อนแอ บัดนี้ข้าขอกลับคำเอ่ยเพราะแท้ที่จริงแล้วท่านช่างยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก… ข้าเข้าใจท่านผิดไป ข้าต้องขออภัยด้วย”

“หากท่านคอยมองพวกเราจากบนสวรรค์แล้วได้ยินสิ่งที่ข้าเอ่ย ข้ามิต้องการให้ท่านคอยปกปักรักษาประเทศต้าเซี่ยให้อยู่ยาวนานหมื่นปี ทว่าสิ่งที่ข้าต้องการคือขอให้ท่านอวยพรให้แก่บุตรชายของเรา ให้เขามีบุตรชายและบุตรสาวอีกเยอะ ๆ… เช่นนี้วังหลังจะได้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น ในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเอ่ยว่ามิชอบความครึกครื้นจึงมักจะปล่อยให้วังหลังเป็นดั่งสุสานที่เงียบเหงาวังเวง”

“บัดนี้วังหลังเริ่มครึกครื้นขึ้นแล้ว รอให้ข้ากลับไปก็จะครึกครื้นมากกว่าเดิมเสียอีก”

“ข้าจะไปเสวยสุขในวังแล้ว ข้าจะกลับมาดูท่านพร้อมกับหลาน ๆ อีกครา”

สวี่หยุนชิงหลับตาลง สงบนิ่งเพื่อไว้อาลัย จากนั้นก็หันศีรษะไปทางฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับความโศกเศร้าบนใบหน้าที่หายไป นางยกยิ้มขึ้นพลางยื่นมือไปจับมือของบุตรชายเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ไปเถิด…กลับบ้านกัน ! ”

“อือ…กลับบ้านกัน ! ”

ทั้งสองเดินออกจากสุสานจักรพรรดิและพอดีกับแสงสุริยาที่สาดส่องลงมายังสุสานจักรพรรดิ

ดวงตาเล็กของชายอ้วนหรี่ลง จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปในอากาศด้วยความตื่นตระหนก “นี่… นี่มัน…”

จี้หยุนกุยเมื่อเห็นสวี่หยุนชิงก็พลันตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ตุ้บ ! พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งว่า “คุณหนู… ! ”

เป่ยหวังฉวนเมื่อเห็นดังนั้นก็เกิดคำถามขึ้นมามากมายทันใด เขามิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เขาถึงกับก้าวถอยหลังไปสามก้าวติดต่อกัน

สวี่หยุนชิงเหลือบมองชายอ้วน หรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้รับกับแสงที่สาดส่องลงมาได้ “พวกเจ้ามิยินดีที่ข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ ? ข้าตายเพียงสองครา ทำให้พวกเจ้ากลัวได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”

ชายอ้วนนั่งลงกับพื้นพลางยิ้มแหย “ไม่ ๆ ๆ สวี่หยุนชิง…ต่อไปเจ้าอย่าเล่นเช่นนี้อีกได้หรือไม่ ? ”

สวี่หยุนชิงหัวเราะคิกคัก ยื่นมือไปลูบหู ยืดเอวขึ้นแล้วเอ่ยว่า “จากนี้สืบไปข้าจะมิเล่นเช่นนี้อีกแล้ว”

“เจ้าจะทำอันใดต่อไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“กลับบ้าน กลับไปเลี้ยงหลาน ! ”